ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 609 ความหลังของจวิ๋นเส้า (1)
ตอนที่609 ความหลังของจวิ๋นเส้า (1)
ตอนที่609 ความหลังของจวิ๋นเส้า (1)
“แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำยังไงล่ะ?”
จวิ๋นเส้าสบตามองเซียถงเปี่ยมแน่นไปด้วยแววความมุ่งมั่น
“ข้าจะเลือกใช้สันติวิธี! ต้องการให้เจ้าหาทางปราบพญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิง! และขึ้นรับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่แห่งสภาสูงแทนเขา!”
“นายท่าน อย่ารับปากเด็ดขาด! ท่านไม่รู้ถึงความน่ากลัวของพญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงหรอกว่า มันทรงพลังไร้เทียมทานปานใด! แม้แต่นักอัญเชิญอสูรระดับเทพอสูรขั้นสุดที่มีตราผนึกจักรพรรดิเทวะโดยกำเนิดยังไม่สามารถปราบพยศมันได้! นี่จึงเป็นสาเหตุที่มันดำรงชีวิตอยู่ในน่านสมุทรได้ถึงทุกวันนี้! บางที จวิ๋นเส้าอาจตระหนักดีอยู่แล้วว่า แค่ผู้อาวุโสใหญ่เพียงลำพังไม่สามารถปราบมันได้ จึงพาท่านขึ้นเรือลำนี้เพื่อหลอกใช้เป็นเครื่องมือ!”
ซึ่งคราวนี้เองก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่หลิวซูและเสี่ยวฮั่วมีความคิดความเห็นตรงกัน แม้แต่ตัวหลิวซูเองก็ยังไม่คิดฝัน จะมีวันนี้ที่เสี่ยวฮั่วเห็นตรงกับตน! คือการกล่าวค้านสุดเสียง! เพราะเวลาที่เสี่ยวฮั่วไม่เห็นด้วยกับนาง อย่างน้อยที่สุดมันก็แค่ไม่ยื่นมือเข้าช่วย แต่ไม่เคยมีครั้นใดเลยที่ออกปากห้ามปรามแบบหลิวซู!
“ครั้งนี้เสี่ยวฮั่วกล่วาถูกต้อง! นี่มันอันตรายเกินไป! ปล่อยให้คนพวกนั้นต่อสู้กันเองเถอะ! ไฉนเราต้องไปหาปัญญาเข้าตัวด้วย?”
เซียถงย่อมทราบตระหนักดีอยู่แล้ว สิ่งที่ทั้งสองเอ่ยกล่าวล้วนสมเหตุสมผลทั้งสิ้น และอีกประการหนึ่ง นางไม่ใช่คนโง่ปัญญานิ่มที่จะไม่เข้าใจสถานการณ์และจุดยืนของตัวเอง
เซียถงชำเลืองมองขาคู่นั้นที่พิการของซ่งเหว่ย และกล่าวกับจวิ๋นเส้าว่า
“ข้าแค่ลำพังไม่มีทางปราบพญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงได้ แต่ข้าเองก็มีวิธีที่จะช่วยรักษาขาของน้องชายเจ้า เรื่องแบบนี้จำต้องเสียม้าแลกขุน ว่ายังไงล่ะ?”
ได้ยินดังว่าจวิ๋นเส้าใจสั่นยุ่งเหยิง เหลือบหาซ่งเหว่ยอยู่หนึ่งปราด เขามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะโค่นล้มอำนาจเก่าอย่างผู้อาวุโสใหญ่ลง กว่าที่ทุกอย่างจะดำเนินมาถึงวันนี้ จวิ๋นเส้าใช้เวลาวางแผนมานานนับหลายปี และจะไม่มีวันทำได้สำเร็จเลยหากปราศจากพลังของเซียถง เพราะอำนาจอิทธิพลที่อยู่ในมือของผู้อาวุโสใหญ่มันหยั่งลึกอยู่ในทวีปจวิ๋นเทียนมานับสิบแปดปีเต็ม แค่ตัวจวิ๋นเส้าและกลุ่มแนวร่วมอันน้อยนิดไม่สามารถโค่นลงได้แน่นอน
แต่ถึงแบบนั้น เรื่องขาที่พิการของซ่งเหว่ยเอง ตัวเขาก็มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรักษามันให้กลับเป็นปกติ ถึงแม้จะมีนามสกุลคนละแซ่ แต่พวกเขาสองคนกลับผูกพันดั่งพี่น้องจริงๆ ดังนั้นจวิ๋นเส้าก็ต้องการช่วยอีกฝ่ายให้กลับมาเดินได้เหมือนคนทั่วไปเช่นกัน
แม้ซ่งเหว่ยอายุยังน้อย แต่เขาเป็นถึงนักอัญเชิญอสูรธาตุน้ำที่มีพรสวรรค์หาได้ยากยิ่ง ทว่ามีอยู่ปัญหาเดียวคือ เขากลับไม่สามารถอยู่ใกล้น้ำ เมื่อใดที่อยู่ใกล้มหาสมุทร เจ้าตัวจะเริ่มมีอาการอ่อนแรงสุดขีด จนไม่สามารถแม้แต่จะพยุงตัวเดินได้อย่างที่เห็น หากเป็นบนบก ซ่งเหว่ยจะพอเดินได้เหมือนคนกะเผลก แต่ก็ยังเคลื่อนไหวได้ลำบากมาก อย่างไรเสีย เมื่อขึ้นเรือเดินสมุทรเมื่อใด แทบจะพิการโดยสมบูรณ์ กล่าวว่า บุญมีแต่กรรมบังก็คงจะมิผิด สำหรับโรคประหลาดที่ซ่งเหว่ยประสบพบเจอ ทุกคนต่างส่ายหัวให้ด้วยความเสียดายยิ่งยวด และที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือ เขายังเป็นเพียงคนเดียวในรอบหลายร้อยปี ที่เกิดมาพร้อมกับตราผนึกจักรพรรดิเทวะ! แต่เนื่องด้วยปัญหาที่ขาคู่นี้เอง จึงทำให้เขาจับได้เพียงสัตว์อสูรชนิดครึ่งบกครึ่งน้ำบางชนิดเท่านั้น ซึ่งนี่ทำให้ความสามารถของเขาถูกลดทอนลงอย่างมหาศาล และมิอาจรีดเค้นประสิทธิภาพทั้งหมดของนักอัญเชิญอสูรที่ซ่อนอยู่ออกมาได้!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวเลือกที่เซียถงเสนอมอบให้ จวิ๋นเส้าถึงกับเหงื่อตกรู้สึกตัดสินใจเลือกได้ยากยิ่ง!
ภายหลังจากลังเลอยู่สักครู่หนึ่ง จวิ๋นเส้าก็กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าสามารถรักษาขาของเสี่ยวเหว่ยให้หายได้จริงๆใช่ไหม?”
“ท่านพี่เซียถง! ไม่ต้องสนใจข้า! โปรดช่วยพี่ชายข้าด้วย!”
เกือบจะในพริบตาเดียวกัน ซ่งเหว่ยก็โพล่งตัวกล่าวตัดบทของจวิ๋นเส้าไปเสียดื้อๆ ราวกับว่าต่างคนต่างพยายามทำเพื่ออีกฝ่ายอยู่
เซียถงได้เห็นแบบนั้นพลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เท่าที่นางแอบฟังมาในช่วงเช้า พ่อของจวิ๋นเส้าเป็นกษัตริย์ของทวีปจวิ๋นเทียนแห่งนี้ เพียงว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาป่วยหนักจนไม่สามารถทรงงานพระราชกิจใดๆได้เลย จึงเป็นจวิ๋นเส้าที่ต้องอาสาแบกรับภาระและความรับผิดชอบแทนทั้งหมดตั้งแต่อายุยังน้อย โตขึ้นมาอีกเล็กน้อย ก็เริ่มได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากเหล่าผู้อาวุโสในสภาสูง บ้างก็โดนกลั่นแกล้ง โดนหยิบยกประเด็นเรื่องความไม่ไว้วางใจขึ้นมาโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน
แต่จวิ๋นเส้าก็สามารถผ่านพ้นเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้ด้วยลำแข้งตัวเอง และในท้ายที่สุดก็เริ่มเติบใหญ่ขึ้นมีอำนาจอยู่ในมือทีละเล็กละน้อย พร้อมกับกลุ่มก้อนพรรคพวกของตนเอง สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว นี่คงเป็นเรื่องยากเกินจินตนาการ กระทั่งใครต่อใครยังนึกไม่ออกเช่นกัน หากแทนที่ด้วยตัวเอง เราจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นไปได้เยี่ยงไร?
แต่เซียถงกลับเข้าใจเป็นอย่างดีเลยทีเดียว ได้เห็นจวิ๋นเส้าตอนนี้ก็เปรียบเสมือนเห็นเงาสะท้อนตัวเอง นางอดนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ยังเป็นองค์ราชินีแห่งดินแดนอี้เฉิงมิได้ ในตอนที่อยู่ในพระราชวังอี้เฉิง นางเองก็ต้องพยายามอย่างมากเพื่อจะพิสูจน์ตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นนางหรือเขา ทั้งคู่กลับมีอดีตภูมิหลังที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้างในแง่มุมนี้
และตอนนี้ ถึงเวลาที่จวิ๋นเส้าต้องเลือก จะยืนกรานขอยืมพลังของเซียถงมาช่วยเหลืออีกแรง หรือเลือกสุขภาพของน้องชายอันเป็นที่รักยิ่งของตนเอง?
เห็นจวิ๋นเส้าลังเลไม่สามารถเลือกได้ ดวงตาของซ่งเหว่ยพลันเห่อร้อนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ กล่าวทั้งน้ำตาคลอว่า
“พี่เส้า! ท่านหลงลืมไปแล้วหรอกรึ!? แผนการที่พวกเราลงน้ำพักน้ำแรงดำเนินตามกันมาตลอดหลายปีนี้? และในที่สุด เขาก็ค้นพบบุคคลที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะโค่นล้มผู้อาวุโสใหญ่ได้อย่างท่านพี่เซียถง! แล้วไฉนถึงมายอมแพ้ตัดใจง่ายๆตอนนี้เสียล่ะ? เพื่อแลกกับอนาคตที่สดใสของทวีปจวิ๋นเทียน อย่าว่าแต่ขาคู่นี้ของข้าเลย กระทั่งชีวิตนี้ก็ยอมสละได้! ท่านอยากเห็นนักรึ อนาคตที่ลูกหลานของเราต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้การกดขี่ของผู้อาวุโสใหญ่? อนาคตที่ขมขื่นที่ทุกคนได้รับจากความเห็นแก่ตัวของคนเพียงคนเดียว!”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น เสมือนเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นในตัวจวิ๋นเส้าก็ถูกปลุกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง ซ่งเหว่ยอาศัยจังหวะนี้รีบเลื่อนสายตาจับจ้องชุดแพรพรรณสีขาวที่เซียถงสวมใส่อยู่ตาเขม็ง และกล่าวเสริมต่ออีกว่า
“พี่เส้า! ท่านลืมไปแล้วรึว่า น้องสาวของท่านเสียชีวิตอย่างไร! กระทั่งถ้อยคำจากลาสักคำยังไม่มีโอกาสให้เอ่ยกล่าว ทิ้งไว้แค่เพียงชุดผ้าไหมสีขาวตัวเก่งของนางให้ดูต่างหน้า!”
เซียถงได้ยินเช่นนั้นถึงกับสะดุ้งเฮือก ค่อยๆกดสายตาก้มมองชุดแพรพรรณสีขาวชุดนี้บนเรือนร่าง ทำได้เพียงระบายยิ้มแห้งสีจางออกมาอย่างแช่มช้า จากนั้นก็หันหลังกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง พลางหยิบจอกสุราสบนโต๊ะขึ้นจิบเบาๆทีหนึ่ง
“ท่านเองก็เคยบอกกับข้ามิใช่รึ? ว่าอยากเห็นนางสวมชุดนี้อีกสักครั้ง? และนี่แหละถึงเวลาที่ต้องแก้แค้นให้แก่นางแล้ว! ไม่ต้องสนใจขาคู่นี้ของข้า อย่าคิดว่าพออยู่ในน่านสมุทรแล้ว ข้าจะเป็นง่อยทำอะไรไม่ได้! ใครผู้ใดคิดว่า ข้าคนนี้เป็นเพียงชายพิการคนหนึ่ง ขอบอกเลยว่า มันผู้นั้นประมาทเกินไปแล้ว!”
จวิ๋นเส้าได้ยินดังนั้น จากทีท่าการแสดงออกที่ดูลังเล ยามนี้กลายมาเป็นโล่งใจขึ้นหลายส่วน
“ตั้งแต่ที่ได้พบกับเจ้า ข้าเองก็ทราบ เจ้าเป็นเด็กใจสู้และแข็งแกร่งดุจหินผา เซียถง ขอบคุณเจ้าจริงๆที่ยอมอดทนอยู่ที่นี่นานตั้งหนึ่งปีเต็ม! แต่นี่คงถึงเวลาแล้ว!”
เซียถงพยักหน้า รับรู้ได้ถึงความหมายที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อ ขณะเดียวกันก็พลางจิบสุราในจอกไปพลาง
“ตั้งแต่ข้าเกิดและใช้ชีวิตมา ข้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง แต่เมื่อสามปีก่อน นาง…นางก็ได้จากไป!”
เมื่อจวิ๋นเส้าเอ่ยมาถึงจุดนี้ น้ำเสียงของเขาก็ดูขุ่นมัวหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน
“ตอนนั้นข้าเพิ่งจะเดินทางกลับขึ้นเกาะ และค่อยจะมาทราบเรื่องราวการชีวิตของนางในภายหลัง กระทั่งศพก็ยังไม่ได้เห็น ต่อมาข้าเดินทางพบเสี่ยวเหว่ย และเพิ่งจะมารู้ทีหลังว่า นางได้รับเลือกให้ขึ้นชิงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่ เนื่องด้วยพรสวรรค์เข้าขั้นอัจฉริยะของนาง แต่ก่อนวันแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่ง จู่ๆนางก็เมาหนักและตกมหาสมุทรจมหายไป แต่ข้ารู้จักนางดีกว่าใคร นางเป็นคนเกลียดการดื่มสุรา!”
ได้ยินดังนั้น เซียถงถึงกับรีบวางจอกสุรากลับโต๊ะโดยไว แต่อย่างไรนั้น ภายในใจกลับรู้สึกเศร้าสร้อยแทนอีกฝ่ายอย่างมากเช่นกัน นั่นคงเป็นการจากลาที่เจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง!