ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 61 พิษในกายท่านแม่ (1)
ตอนที่61 พิษในกายท่านแม่ (1)
ได้ยินเช่นนั้น ไป๋หลี่หานพลันอึดเหลียวหลังมองมิได้ ทั้งนี้ยังเสียการส่งตัวชั่วขณะในเวลาเดียวกัน ทำให้เซียถงได้จังหวะรีบลุกขึ้นยืน ระดมลมปราณกระแสใหญ่ที่โคจรอยู่นานกรอกเทลงบนมือและสะบัดทิ้งสุดแรงเกิด คว้าถุงผ้าขนาดจิ๋วกำหนึ่งออกจากอกเสื้อ นางสาดผงสีขาวทั้งหมดที่มีในมือโจมตีใส่ไป๋หลี่หานโดยตรง
ไป๋หลี่หานสะดุ้งเฮือกใหญ่ รีบยกไม้ยกมือขึ้นปัดป้องพร้อมเลี่ยงหลบผงสีขาวเหล่านั้น ถึงแม้การเคลื่อนไหวของเขาจะเร็วปานใด แต่ถูกลอบโจมตีระยะเผาขนปานนี้ย่อมต้องหลบไม่พ้นโดยสมบูรณ์ ซึ่งบนฝ่ามือขวาของเขาคล้ายว่าจะมีผงสีขาวติดอยู่เล็กน้อย
ทันใดนั้น กระแสความคันอันเผ็ดแสบโฉบแล่นผ่านหลังมือทะลวงถึงห้วงสมองในพริบตา ไป๋หลี่หานระงับมือไม้มิให้เกาสุดกำลัง พอเหลียวมองฝ่ามือขวาของตนเองอีกทีก็พอว่า ยามนี้มันบวมแดงขึ้นเป็นลูกมะนาวแล้ว เงยหน้าขึ้นจับจ้องเซียถง สีหน้าดูซีดเซียวลงถนัดตา
“นี่เจ้าทำอะไรกับข้า? ผงพิษชนิดใดที่เจ้าสาดใส่?”
“ผงคัน ผงเผ็ด ผงแมงมุม ผงตะขาบ….ก็เอาเป็นว่า ข้าสาดใส่เจ้าเท่านี้นำติดตัวมา จำมิได้เช่นกันว่ากี่ชนิด”
เนื่องจากเมื่อสักครู่สถานการณ์เกิดขึ้นฉับพลัน พอมีโอกาสคว้าอะไรได้จึงรีบคว้าออกมาโดยมิได้ดูก่อน น่าจะเป็นพิษเกือบสิบชนิดที่สาดใส่ไปทางไป๋หลี่หาน มาตอนนี้ พอเห็นฝ่ามือข้างขวาของอีกฝ่ายบวมแดงเป่ง นางก็รู้สึกภูมิใจมิใช่น้อยอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
ระดับพลังลมปราณสูงกว่านางแล้วอย่างไร? บังคับให้นางสิ้นฤทธิ์ได้หรือไม่? คอยดูกันดีกว่า ครั้งหน้าเจ้าหมอนี่ยังกล้ายั่วโมโหนางอีกหรือไม่!
ทันทีที่ไป๋หลี่หานได้ยินคำว่า แมงมุม มุมปากถึงกับกระตุกแรงต่อเนื่อง ขมวดคิ้วถักแน่นจ้องเซียถงตาเขม็งเดือดดุ เร่งเร้าลมปราณกระแสแล้วกระแสเล่าที่โคจรอยู่ทั่วกายา ระดมขับพิษบนฝ่ามือนี้ออกโดยไว ดูจากลักษณ์การออกฤทธิ์แล้ว พิษเหล่านี้มิได้เป็นภัยถึงชีวิต เพียงว่าจำเป็นต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อขับพิษออกในกรณีที่ไม่มียาถอนพิษ
“คราวหน้า อย่ากวนประสาทข้าอีก มิฉะนั้นเตรียมโดนวางยาพิษถึงตาย!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเร่งมุ่งจิตสมาธิกับการขับพิษออกจากร่างกายจริงจัง เซียถงจึงโยนขวดยาถอนพิษส่งไปให้ ยืนกอดกล่องไม้บรรจุเห็ดหลินจือมรกตเอาไว้แน่น และวิ่งออกไปจากประตูใหญ่หน้าวังหลวงไปโดยทันที อาศัยสองเท้าจ้วงไม่หยุดหย่อน อันตรธานหายวับไปปราศจากร่องรอย
“นายท่าน ท่านกล้าวางยาพิษเขาคนนั้นจริงๆ ในภายภาคหน้า หากได้ยินเสียงสุ้มเสียงของเขาแม้สักนิด ท่านก็จงรีบหนีไปให้ไกล และหาที่ซ่อนตัวโดยด่วน”
เสี่ยวฮั่วกล่าวกับนางผ่านห้วงความคิดในหัว ขณะที่หนีออกจากวังหลวง ระหว่างเดินทางกลับเข้าจวนเสนาบดีพร้อมกับเห็ดหลินจือมรกตในอ้อมกอด
“เจ้าคงทราบกระมังว่า ระดับลมปราณของเขาอยู่ในขอบเขตใด?”
พอได้ยินเสี่ยวฮั่วกล่าวเตือนเช่นนี้ เซียถงกขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ข้าไม่ทราบแน่ชัด แต่สัมผัสได้จากรัศมีแรงแกดดันที่อีกฝ่ายปลดปล่อยเมื่อครู่ ระดับลมปราณของเขาต้องไม่ต่ำกว่าขอบเขตราชันย์ม่วง ไม่ก็สูงกว่านั้น”
เสี่ยวฮั่วหวนระลึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้า ที่เข้าสัมผัสกับรัศมีแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายอีกฝ่าย ทั้งยังกระทั่งมันเองยังรู้สึกครั่นคร้ามไม่จางหาย ทั้งนี้ก็ยังสามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึกของเซียถงได้เช่นกัน
กล่าวว่าบุคคลที่สร้างความหวั่นเกรงได้ถึงระดับนี้ คงต้องเป็นยอดฝีมือชนชั้นสูงสุดเท่านั้น
“ดูท่าแล้วข้าจำเป็นต้องฝึกปรุงพิษให้มากขึ้นกว่านี้ เพื่อปกป้องตัวข้าเอง”
เซียถงพยักหน้า
“แล้วสาวน้อยที่ชื่อไป๋หลี่อวี๋อิง คราต่อไปที่พบพานกับอีกฝ่าย ท่านจำต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ในฐานะนักหลอมโอสถเหมือนกัน โอสถพิษที่นางหลอมกลั่นมันมีประสิทธิภาพร้ายแรงกว่าของท่านมาก!”
เสี่ยวฮั่วกล่าวเตือน น้ำเสียงดูกังวลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวขึ้นต่ออีกว่า
“บนผืนพิภพแห่งนี้ มีคนสองประเภทที่ไม่ควรยั่วยุเป็นอันขาด หนึ่งคือนักหลอมโอสถ และสองคือยอดฝีมือที่มีลมปราณแกร่งกล้าขนานแท้ แต่วันนี้ ท่านดันไปยั่วยุบุคคลที่ว่าถึงสองประเภทพร้อมกันในคราเดียว! อนาคตในภายภาคหน้าท่านจะก้าวเดินได้ไม่สะดวก!”
เซียถงมิได้สนใจฟังเสียเท่าไหร่นัก แต่นางเองก็ตระหนักอย่างถ่องแท้เช่นกันว่า สิ่งที่เสี่ยวฮั่วกล่าวไปทั้งหมดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น อย่างไรเสีย เอ่ยกล่าวออกไปตอนนี้คงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น นางไม่พูดพร่ำอันใดให้เสียเวลา เร่งฝีเท้ากลับเข้าจวนเสนาบดีโดยไว นางจะไม่มีวันถูกใครอื่นกลั่นแกล้งรังแกอีกโดยเด็ดขาด ดังนั้น สิ่งเดียวที่นางต้องทำในตอนนี้ก็คือ เร่งยกระดับความแข็งแกร่งของตนเองโดยเร็ว!
พอกลับมาถึงจวนเ เซียถงก็มุ่งหน้าตรงไปในเรือนของฮูหยินหลี่ ส่งมอบเห็ดหลินจือมรกต สั่งให้อาจูนำลงไปตุ๋นเป็นน้ำแกงเพื่อให้ท่านแม่ดื่ม ทางด้านฮูหยินหลี่ที่เห็นลูกสาวตนเองกลับมาโดยปลอดภัย ก็สวมเข้ากอดทันที เพราะก่อนหน้านี้ ได้ยินมาว่า จู่ๆ เซียถงก็ถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงกะทันหัน แล้วจะไม่ให้คนเป็นแม่กังวลได้อย่างไร? หลังจากนั้นเซียถงก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวังหลวงให้ฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่ฝ่าบาทหมายหมั่นที่จะส่งนางเข้าร่วมงานประลองของสี่จักรวรรดิใหญ่ที่กำลังจะจัดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่สำหรับส่วนที่ไปมีปัญหากับองค์หญิงอวี๋อิง จนอีกฝ่ายย้อนกลับมาแก้แค้น เซียถงเลือกที่จะไม่เล่ากล่าวออกไป
ฮูหยินที่ในทีแรกยังปรากฏร่องรอยความวิตกกังวลทั่วใบหน้า ขณะนี้ดูคลายอ่อนผ่อนปรนดังเดิม ยกมือขึ้นลูบพวงแก้มขาวผ่องของเซียถงแผ่วเบา เอ่ยขึ้นว่า
“ถงเอ๋อร์ หากวันใดวันหนึ่งฝ่าบาทบีบคั้นจนตัวเจ้าไร้ซึ่งทางออกจริงๆ ถึงเวลานั้นก็มอบคัมภีร์วรยุทธ์ลับในมือให้ไปเถิด”
“ท่านแม่! ข้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนพรากคัมภีร์วรยุทธ์เล่มนี้ที่ท่านตาอุตส่าห์ทิ้งไว้ให้แน่นอน!”
เซียถงคว้าเรียวมือของฮูหยินหลี่ขึ้นมากลัดกุมไว้แน่น กล่าวขึ้นอย่างมุ่งมั่น
ท่านแม่ของนางต้องทนทุกข์ทรมาน กับที่โดนกลั่นแกล้งรังแกนานนับหลายปีก็เพื่อปกป้องคัมภีร์เล่มนี้ แล้วมีหรือที่นางจะยอมมอบมในให้กับฝ่าบาทหรือคนนอกคนใด?
“เทียบกับคัมภีร์วรยุทธลับเล่มนี้ ความปลอดภัยและรอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าสำคัญกว่ามากมายนัก ตราบเท่าที่เจ้ายังอยู่ดีกินดี ข้าก็ไม่สนใจเรื่องอื่นใดอีกแล้ว”
สายตาที่จับจ้องเซียถงของฮูหยินหลี่มันเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก แต่เจาะลึกลงไปในนั้น กลับเร่นแฝงแววความเจ็บช้ำและความกังวลอยู่คลุมเครือ
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ลูกสาวคนนี้ของแม่คืออัจฉริยะแห่งจักรวรรดิตงหลี่ นับวันต่อจากนี้ ข้าจะแข็งแกร่งและแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องท่าน แล้วสักวันหนึ่ง…พวกเราจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข”
เซียถงคลี่ยิ้มส่งกำลังใจผ่านมือที่กลัดกุมไปให้ ดวงตาคู่เฉี่ยวคมประดุจวิหคเพลิงช่างแน่วแน่ ปราศจากแววไสวรวนเรใดๆ
ยามได้เห็นดวงตาคู่แน่วแน่และมั่นคงของเซียถง ฮูหยินหลี่ก็สัมผัสได้ถึง บริเวณรอบดวงตาที่เห่อร้อนขึ้น พร้อมน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจที่รินไหลออกมา ลูกสาวของข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ หาใช่เด็กน้อยที่โดนรังแกอย่างวันวานอีกต่อไป
แววความเด็ดเดี่ยวมั่นใจที่ทอประกายออกจากดวงตาคู่นั้น….ช่างเจิดจรัสแพรวพราวเหลือเกิน
อาจูตุ๋นเห็ดหลินจือมรกตเสร็จพอดี นางยกมาเทลงบนชามกระเบื้องลายครามชั้นดีที่อยู่ในเรือนพัก เนื่องจากก่อนหน้าไม่นานนี้ เซี่ยอี้เฉินทราบแล้วว่า เซียถงได้เป็นตัวแทนในงานประลองของสี่จักรวรรดิที่กำลังจะถูกจัดขึ้นเร็วๆ นี้ โดยมีฝ่าบาทเป็นคนเสนอชื่อนางด้วยตัวเอง มูลค่าของบุตรสาวคนนี้เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด และฟังว่านางยังเป็นห่วงเป็นใยแม่ของตนกว่าใครๆ ดังนั้นเขาก็เลยสั่งให้บรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลาย ให้ขนเครื่องใช้ต่างๆ นานานที่ชำรุดทรุดโทรมในเรือนฮูหยินหลี่ออกไป และนำของดีมีมูลค่ามาแทนที่
น้ำแกงที่เคี่ยวด้วยเห็ดหลินจือมรกตส่งกลิ่นหอมน่ารับประทาน เซียถงหยิบถ้วยกระเบื้องลายครามขึ้นมาเป่าจนเริ่มอุ่น เพราะกลัวว่าจะลวกปากท่านแม่ได้ ก่อนจะค่อยๆ ตักป้อน มองดูฮูหยินหลี่ทานน้ำแกง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข
“ท่านแม่ น้ำแกงชามนี้ใช้เห็ดหลินจือมรกตเคี่ยวต้มผสมกับสมุนไพรอื่น สรรพคุณล้างพิษนับร้อยชนิด หลังจากดื่มมันจนหมด สภาพร่างกายของท่านแม่น่าจะดีขึ้นไม่มากก็น้อย”
ฮูหยินหลี่ยิ้มและ อาสาหยิบชามกระเบี้องลายครามขึ้นมารับประทานต่อเอง
เซียถงเฝ้ามองท่านแม่ของตนรับประทาน สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความหวัง เพราะพิษที่กระจายอยู่ทั่วร่างกายของท่านแม่ เปรียบเสมือนเสี้ยนหนามตำหัวใจของนางเสมอมา หากกำจัดพิษตัวต้นเหตุได้ คงเปรียบเสมือนยกหินก้อนยักษ์ออกจากหัวใจของนางเช่นกัน
แม่เป็นสุขสบาย ลูกเองก็มีความสุขดี
เมื่อเห็นว่าน้ำแกงในชามกระเบื้องลายครามเริ่มลดลงเรื่อยๆ รอยยิ้มบนมุมปากบนใบหน้าเซียถงก็ยิ่งชัดเจน ดูราวกับว่า นางกำลังจินตนาการถึงวันที่นางกับแม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หลังจากกำจัดพิษพวกนี้ได้แล้ว