ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 611 ความลับที่ดำมืด (1)
ตอนที่611 ความลับที่ดำมืด (1)
ตอนที่611 ความลับที่ดำมืด (1)
ในวันที่สอง แสงตะวันสาดทะลุมวลเมฆ ทอดโปรยเหนือพื้นสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เรือโดยสารขนาดใหญ่ยักษ์สะเทินน้ำลำแกร่งกำลังเข้าเทียบบนชายฝั่ง!
เนื่องด้วยคลื่นน้ำลมทะเลที่ซัดโถม ทำให้ตัวเรือมีอาการโครงเครงแกว่งบ้างเล็กน้อย จี้จี้ที่นอนขดตัวเป็นก้อนขนปุกปุยอยู่ตลอดตั้งแต่ขึ้นเรือมา ยามนี้พลันคลี่คลายร่างยืดเหยียด บิดขี้เกียจทีหนึ่งอย่างเกียจคร้าน เห็นว่าเซียถงกำลังกินโจ๊กในถ้วยเป็นมื้อเช้า ก็พลันตาลุกวาวเป็นมัน กระโจนเข้าไปในนั้นพร้อมแลบลิ้มแพล็บเลียโจ๊กอย่างเอร็ดอร่อย
ในขณะนี้ เรือได้มาถึงเกาเหล่ยเฟยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
เซียถงสวมชุดรัดรูปสีดำตัวเก่งของตนเอง คว้าเสื้อคลุมเข้าห่มทับอีกชั้นและรีบนำเจ้าจี้จี้ที่นอนพุงป่องอยู่ในชามโจ๊กออกมาโดยไว เอามันมาล้างน้ำสะบัดไปมาให้แห้งอยู่สองสามที พร้อมเสียงร้องดัง‘จิ๊ดๆ’ที่โอดครวญของมัน
ทั้งโดนล้างน้ำทั้งโดนสะบัด จี้จี้เริ่มเวียนศีรษะหนัก มันหันไปมองหน้าเซียถงกลอกตาใส่อย่างอดมิได้ และยังแลบลิ้นสีชมพูอ่อนใส่นางอีกทีหนึ่ง!
เซียถงรีบวิ่งปรี่ลงมายังชั้นล่างของเรือด้วยความเร่งรีบ ในขณะที่คนอื่นๆทยอยกันลงเรือนแล้ว หงอวี๋กลับเพิ่งประคองร่างซ่งเหว่ยลงมาจากบนชั้นดาดฟ้า เดินลงตามอย่างแช่มช้า ขณะเดียวกันเป็นจังหวะที่เห็นเซียถงกำลังวิ่งลงมาพอดีเช่นกัน ซ่งเหล่ยที่เห็นดังนั้นจึงแอบขยิบตาให้เซียถงอย่างลับๆ
หงอวี๋แสร้งทำเป็นเสียการทรงตัวตามเรือที่โครงเครงชั่วขณะ กำลังหกล้มไปยังด้านมุมหนึ่ง เซียถงเห็นเป็นเช่นนั้นย่อมต้องเข้าช่วยพยุงโดยธรรมชาติ
แค่เสี้ยวจังหวะนั้น ซ่งเหว่ยกระซิบกล่าวกับนางอย่างลับๆขึ้นว่า
“ท่านพี่เซียถง เทียนน้อยของข้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจของคุนเผิง มันเข้าใกล้เราทุกทีแล้ว”
“มาเมื่อใด?”
“ถึงที่นี่ประมาณคืนมะรืน!”
เซียถงเร่งคิดคำนวณโดยไว และกระซิบถามกลับไปว่า
“แล้วไฉนผู้อาวุโสใหญ่ถึงมั่นใจนักว่า คุนเผิงจะว่ายผ่านช่องแคบแน่นอน?”
ซ่งเหว่ยส่ายหัวมิได้ปริปากตอบใดๆอีก
สำหรับเรื่องนั้นกลับไม่สะดวกนักที่จะพูดคุยสนทนา ตลอดทางนั้นจึงมิได้เอ่ยกล่าวอันใดอีกจนขึ้นถึงฝั่ง
หลังจากเดินลัดเลาะตามช่วงชายหาดได้ไม่นาน นางก็สังเกตจนพบว่า โขกหินตามชายฝั่งพวกนี้ดูค่อนข้างแปลกประหลาดอย่างมาก เว้นเสียแต่สีของมันที่ดูดขลับเข้มเหมือนหินทั่วๆไป ทว่าอย่างไร หากสังเกตให้จงดีจะค้นพบว่า เนื้อผิวของมันกลับมันเงาปราศจากตะไคร่เขียวหรือต้นพืชใดๆขึ้นเกาะกุมแม้สักนิด ราวกับสิ่งนี้เพิ่งถูกใครบางคนโยนทิ้งเอาไว้
เซียถงจับจ้องอยู่นาน ก่อนจะรู้สึกว่าทุกอย่างในที่แห่งนี้ไฉนถึงดูแปลกประหลาดไปเสียหมด ทันใดนั้นก็มีสุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วดังผ่านห้วงความคิดของนางขึ้นว่า
“นายท่าน ค่อยย้อนกลับมาสำรวจหาดอีกรอบตอนกลางคืนเถิด”
ในช่วงรุ่งสางเช้าตรู่ เรือถูกลากขึ้นมาเก็บบนฝั่งของเกาะ ก่อนที่ทุกคนจะช่วยกันขนย้ายข้าวของเข้าถ้ำที่เป็นจุดตั้งค่าย ในช่วงตกดึกทุกคนต่างนั่งพักผ่อนอยู่ภายในถ้ำ อย่างมากที่สุดก็เพียงออกไปเดินเล่นบริเวณรอบนอกไม่ห่างเท่าไหร่นัก
ซึ่งนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่เซียถงจะได้ปลีกวิเวกเดินสำรวจชายหาดได้อย่างอิสระใจนึก ในเวลานี้เป็นยามรัตติกาลที่ทุกคนหลับใหลไปหมดแล้ว หน้าผิวชายหาดหายไปกว่าครึ่งเนื่องจากเป็นช่วงน้ำขึ้น ส่วนโขดหินผิดประหลาดที่ดูน่าสงสัยก่อนหน้าก็จมมิดอยู่ใต้ทะเลเป็นที่เรียบร้อย และเรือที่ถูกผู้อาวุโสใหญ่สั่งให้ลากเก็บขึ้นมาบนฝั่งของเกาะ เนื่องจากน้ำทะเลหนุนสูงจึงทำให้เรือทั้งลำจมลงไปเกือบครึ่งลำ เหลือเพียงช่วงขอบเรือขึ้นไปเท่านั้นที่ยังอยู่พ้นน้ำทะเล
ยิ่งเห็นเช่นนรั้น เซียถงก็ยิ่งรู้สึกผิดสังเกตเข้าไปใหญ่ ทั้งที่ควรรู้อยู่แล้วว่า ช่วงเวลาน้ำขึ้นในตอนกลางคืน น้ำทะเลบนฝั่งจะหนุนขึ้นมาสูงมาก แต่ไฉนผู้อาวุโสใหญ่ยังยืนกรานสั่งให้คนลากเรือขึ้นมาเก็บตื้นเขินขนาดนี้? จนส่งผลให้ตัวเรือโดนทะเลกลืนหายไปกว่าครึ่งลำแล้ว กับเรื่องแค่นี้ คนระดับเขาไม่น่าจะคำนวณพลาดได้ง่ายๆ? และนี่ยังไม่รวมเรื่องที่ไฉนเจ้าตัวถึงได้มั่นอกมั่นใจนักว่า คุนเผิงจะต้องว่ายผ่านช่องแคบระหว่างเกาะนี้?
“นายท่าน ตามข้ามา!”
เสี่ยวฮั่วจำแลงกายดป็นดวงไฟสีม่วงมุ่งหน้าบินออกไป เปล่งแสงสว่างแพรวพราวสีม่วงจางๆเพื่อนำทางให้เซียถงเดินติดตาม
เซียถงเก็บงำคำถามเหล่านี้เอาไว้ในใจ และรีบจ้ำเดินไล่เสี่ยวฮั่วไป
ทว่าเพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น เซียถงบังเอิญจับสัมผัมถึงใครบางคนที่กำลังเข้ามาใกล้นาง เช่นนั้นจึงรีบหาที่ซ่อนตัว หลบอยู่ด้านหลังโขกหินขนาดใหญ่ และปรากฏว่าสังหรณ์ของนางถูกต้อง มีใครบางคนกำลังปรี่ตรงมาทางนี้พร้อมกับคบเพลิงในมือ
“เจ้าเป็นใคร! ไฉนถึงสะกดรอยตามข้ามา!?”
เซียถงเรียกกระบี่ทัณฑ์ฟ้าขึ้นมือพลันพร้อมพวยพุ่งเข้าใส่โดยตรง คมกระบี่แหลมลุจ่อติดปลายกระเดือกของชายหนุ่มคนนั้น คำรามเสียงเย็นชาดุดันเข้าใส่
แต่เมื่อแสงจากคมเพลิงเผยให้เห็นถึงใบหน้าของชายหนุ่มคนดังกล่าว เซียถงรีบลดคมกระบี่ในมือแทบไม่ทันที ปั้นหน้าประหลาดใจอยู่หลายส่วน ที่แท้หาใช่ใครที่ไหน แต่เป็นซ่งเหว่ยที่กำลังอุ้มเจ้าเทียนน้อยอยู่ในอ้อมแขน!
“ซ่งเหว่ย? ไฉนสะกดรอยตามข้ามาได้?”
“ข้าเอง! ช้าเอง! ท่านพี่เซียถง ข้ามิได้สะกดรอยตามท่านมา แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าเทียนน้อยคล้ายสัมผัสถึงลมหายใจที่รุนแรงเกินปกติได้จากใต้ผืนสมุทรแห่งนี้ จึงอุ้มมันมาเดินสำรวจดู”
เสี่ยวฮั่วมุ่งจิตจดจ่อหาเจ้าเทียนน้อยในอ้อมแขนซ่งเหว่ย ผ่านไปสักพักเหมือนว่ามันจะรู้อะไรขึ้นมาก จึงรีบกล่าวอธิบายกับเซียถงฟังโดยไว
“นายท่าน ปรากฏว่า เจ้านี่เป็นอสูรพยัคฆ์วารี เป็นหนึ่งในสัตว์อสูรที่มีประสาทสัมผัสเฉียบคมที่สุด! และยังสามารถตรวจจับลมหายใจและกลิ่นอายของสัตว์อสูรธาตุน้ำได้ดีเยี่ยม นี่เราถือว่ามาถูกทางแล้ว! ต่อจากนี้ไว้ใจให้มันนำทางพวกเราต่อได้เลย!”
ในตอนนี้ นางและซ่งเหว่ยได้มาถึงขอบริมฝั่งทะเลแล้ว ช่วงกลางคืนไม่เพียงกระแสลมที่รุนแรงและดุดันเป็นพิเศษ กระทั่งเกลียวคลื่นทะเลเองยังเชี่ยวกรากพัดโหมอย่างบ้าคลั่ง ยามพัดกระแทกชนกับโขดหิน ก่อให้เกิดเสียงที่ดังสนั่นกึกก้องน่าสะพรึงอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อคลื่นลมทะเลโบกโปรยพัดมา นอกเสียจากกลิ่นอายความเค็มโดยธรรมชาติที่ปะทะใบหน้า ก็ยังมีกลิ่นไอเลือดเฝื่อนจมูกติดปลายเข้าหาปะปนอยู่นับไม่ถ้วน!
เจ้าเทียนน้อยอาการแปลกไป จู่ๆมันก็รู้สึกกระวนกระวายและตื่นกลัวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ต่อมาก็เอาแต่อ้าปากเห่าหอนไม่หยุดหย่อน หากไม่ใช่ว่า ซ่งเหว่ยกอดมันไว้ในอ้อมแขนแน่นปานนี้ มันคงจะสะดีดสะดิ้งกระโจนออกมาวิ่งพล่านแล้ว
ทุกคนล้วนถูกเสียงเห่าของเจ้าเทียนน้อยรบกวนสมาธิ
“ซ่งเหว่ย บอกให้มันหยุดเห่าก่อน!”
ซ่งเหว่ยพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
“เหมือนว่ามันกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ถึงได้ตื่นตระหนกปานนี้ พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปีแล้ว โดยปกติเจ้าเทียนน้อยจะมีอาการดังกล่าวเฉพาะในยามที่มีอันตรายอยู่ใกล้ตัวเท่านั้น ลองไปดูเถอะว่า มีอะไรอยู่แถวชายฝังที่นี่กันแน่!”
สุดท้ายนี้ เหมือนว่าเสี่ยวฮั่วชักจะรำคาญกับเสียงเห่าหอนของเจ้าเทียนน้อยเต็มทน มันจึงใช้ร่างลูกไฟสีม่วงบินไปหยุดลงตรงหน้าเจ้าเทียนน้อย จากนั้นก็จำแลงกายแค่ส่วนศีรษะกลายเป็นกิเลนศักดิ์สิทธิ์ และเปิดปากคำรามอัดหน้าอีกฝ่ายไปหอบใหญ่ จู่ๆดันมาเจอเทพอสูรบรรพกาลอย่างกิเลนศักดิ์สิทธิ์แผดเสียงคำรามอัดหน้าขนาดนี้ เจ้าเทียนน้อยถึงกับขวัญผวาตาตั้ง และสลบมอดไปด้วยความตกใจในทันที
เซียถงถึงกับยกมือขึ้นทาบหน้า ดูท่าเสี่ยวฮั่วจะเล่นแรงเกินไปหน่อย!
มุมปากซ่งเหว่ยกระตุกอยู่หลายทีทั้งตกใจทั้งงุนงงสับสนจนบอกไม่ถูก เขาควรจะตกใจอะไรก่อนดีระหว่าง เจ้าเทียนน้อยที่เป็นลมไป หรือสัตว์อสูรที่เซียถงบอกว่าเป็นดั่งสหาย แท้จริงแล้วคือ กิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน!
แต่ตอนนี้กลับไม่มีเวลามายืนสงสัยกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซ่งเหว่ยรีบส่งเจ้าเทียนน้อยกลับสู่ห้วงมิติอสูรทันที และเดินติดตามเซียถงไปต่อจนพบเข้ากับโขกหินก้อนหนึ่งที่มีเชือกประหลาดผูกติดอยู่
“ท่านพี่เซียถง จะไปดูจริงรึ? นี่อาจเป็นอันตรายก็ได้!”
บริเวณดังกล่าวเป็นขอบผาชายหาด ซึ่งไม่เพียงระดับความสูงที่ค่อนข้างน่ากลัว แต่ยังรวมไปถึงคลื่นทะเลในละแวกนี้ที่ดูรุนแรงผิดวิสัย
เสี่ยวฮั่วลองพยายามฝ่าน้ำทะเลเชี่ยวกรากลงไปดูแล้ว แต่กลับพบว่า สถานที่เบื้องล่างผาแห่งนี้กลับมืดมิดเสียจนมองไม่เห็นอะไรเลย ขณะที่กำลังถอนกำลังบินกลับขึ้นมา ยังได้ยินเสียงสะท้อนแปลกประหลาดกังวานก้องออกมาจากภายในนั้นอีก
หลังจากตัดสินใจลังเลอยู่นาน ในที่สุดเซียถงก็โรยตัวบินลงไปสำรวจด้วยตัวเอง!
ด้านล่างขอบผาคล้ายมีเวิ้งขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ลึกลงไป เหล่านี้อาจเกิดจากคลื่นทะเลกัดเซาะต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก่อนหน้าที่ลองลงไปสำรวจ เสี่ยวฮั่วยังสามารถจับสัมผัสลมหายใจอันแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่ซ่อนแฝงอยู่ภายในนั้นได้ และยังเป็นสัตว์อสูรธาตุน้ำที่ไม่ค่อยถูกชะตากับมันเสียด้วย ส่วนที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ภายในนั้นไม่ได้มีแต่ตัวหรือสองตัว ทว่าจำนวนกลับมหาศาลนับไม่ถ้วน!
กระทั่งเสี่ยวฮั่วยังไม่กล้ารับประกัน มีสัตว์ประหลาดชนิดใดซ่อนแฝงอยู่แถวคาบสมุทรทะเลลึกแห่งนี้บ้าง!
“หากไม่ไปแล้วจะรู้ได้เยี่ยงไรว่า ด้านล่างมีอะไร?”
สิ้นเสียงเท่านั้น เซียถงก็โรยตัวลงไปทันที