ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 614 ตกหน้าผา (2)
ตอนที่614 ตกหน้าผา (2)
ตอนที่614 ตกหน้าผา (2)
ภายหลังที่ทุกคนมีเวลาเริ่มระดมความคิดวิเคราะห์ ก็สามารถแยกแยะจัดแจงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ และเป็นหลิวซูที่กล่าวว่า
“ข้าว่า อาจิวจงใจทำให้เจ้าหมดสติและผลักตกหน้าผาไปเมื่อคืนนี้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้อาวุโสใหญ่ เพราะหากในเวลานั้น เป็นตัวผู้อาวุโสใหญ่เองที่มาเจอตัวซ่งเหว่ย เกรงว่าเจ้าต้องตายสถานเดียว!”
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็หมายความได้ว่า อาจิวเองก็ควรจะเป็นหนึ่งในคนของจวิ๋นเส้า? แต่นี่ก็หาใช่ว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน เพราะจวิ๋นเส้าเองก็เป็นห่วงเจ้ามากกว่าใครๆ แล้วมีหรือที่จะยอมปล่อยให้อาจิวทำเช่นนี้? ยิ่งเจ้าเป็นอันตรายมากเท่าไหร่ เขาคงไม่ยอม..”
ซ่งเหว่ยนั่งฟังบทวิเคราะห์ของหลิวซูตลอดทางจวบจนบัดนี้ จู่ๆเจ้าตัวก็โพล่งกล่าวขึ้นว่า
“นี่อาจเป็นความจริง! เพราะอย่างไรอาจิวเองก็เป็นหนึ่งในญาติผู้พี่คนสนิทของข้า! และยังเป็นอีกคนหนึ่งที่ข้าไว้ใจอย่างที่สุดเช่นกัน! เพราะเขาทราบดี ข้าจะไม่มีทางเป็นอะไรไปเด็ดขาดหากตกน้ำไป!”
อันเนื่องมาจากซ่งเหว่ยเป็นนักอัญเชิญอสูรธาตุน้ำ ดังนั้นแล้ว ห้วงมิติอสูรธาตุน้ำของเขาย่อมปกป้องเจ้าของผู้ครอบครองโดยธรรมชาติ และนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าเทียนน้อยของเขาเลย มันเป็นถึงพยัคฆ์วารี หากไม่สามารถช่วยซ่งเหว่ยขึ้นจากทะเลได้ คงต้องกล่าวว่าเสียชาติเกิด!
ข้อพิพากษ์ชวนสงสัยเหล่านี้จึงได้รับการแถลงไขโดยหมดสิ้น ก็ว่าไม่น่าแปลกใจนักที่เหตุใดจู่ๆอาจิวก็ส่งเสียงตะโกนดังลั่นออกมาเช่นนั้น!
“ท่านพี่เซียถง จากนี้พวกเราควรทำเยี่ยงไรต่อไปดี?”
ซ่งเหว่ยกวาดสายตามองสภาพแวดล้อมโดยรอบ ซึ่งจากตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากค่ายพักก่อนหน้านี้ค่อนข้างไกลมาก
เซียถงเองก็เช่นกัน กวาดสายตาจับสำรวจสถานที่แห่งนี้ด้วยความงุนงง เมื่อคืนก่อน เนื่องจากพวกนางถูกฝูงสัตว์อสูรใต้ท้องสมุทรรุมปิดล้อม จึงต้องหาทางเลี่ยงหนีออกห่างโดยสัญชาตญาณ ทำให้จำต้องว่ายออกห่างจากค่ายพักที่อยู่ในถ้ำไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนี้ เมื่อนางลองตรวจจับทิศทางลมและสภาพแวดล้อมรอบตัวโดยพอสังเขป เซียถงพลันต้องรู้สึกประหลาดใจยิ่งที่ค้นพบว่า พวกเขามาถึงเกาะฉีฉวนแล้ว!
เซียถงวานให้หลิวซูจำแลงเป็นกระบี่บินเพื่อเคลื่อนสำรวจรอบเกาะบนเวหา เพราะการจะสำแดงใช้พลังลมปราณสุ่มสี่สุ่มห้าเพื่อร่อนบินในเวลานี้มันสุ่มเสี่ยงเกินไปและอาจโดนตรวจจับสัมผัสได้โดยง่าย
หลังจากที่ขี่กระบี่ทัณฑ์ฟ้าบินวนไปได้รอบหนึ่ง ก็เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ภายใต้ความมืด ณ มุมหนึ่งของเกาะฉีฉวนมีกองกำลังอยู่กลุ่มหนึ่งซ่องสุมตัวอยู่ เมื่อลองบินสำรวจเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น เซียถงก็พบว่าเป็น คนของผู้อาวุโสใหญ่ที่กำลังตั้งค่ายพักซ่อนตัวอยู่ระหว่างสุดขอบปากช่องแคบ!
เมื่อนางกลับมาร่วมกลุ่มอีกครั้งบนชายฝั่ง เจ้าเทียนน้อยก็เริ่มมีพฤติกรรมกระวนกระวายขึ้นอย่างชัดเจน จนซ่งเหว่ยไม่สามารถคุมมันอยู่ได้อีกต่อไป เขารีบกล่าวขึ้นว่า
“พญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงกำลังมาทางนี้แล้ว! เจ้าเทียนน้อยโดนรัศมีแรงกดดันศักดิ์สิทธิ์ของคุนเผิงเข้าข่มรุนแรงมาก มันถึงสติแตกปานนี้!”
หลังจากที่พิษกู่ที่บ่อนกัดกินร่างกายของซ่งเหว่ยถูกจำกัดไปโดยสิ้น ไม่เพียงพลังความแข็งแกร่งของเจ้าตัวจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น กระทั่งประสาทการรับรู้ของเจ้าเทียนน้อยเองยังแม่นยำกว่าครั้งใดๆ!
“เสี่ยวฮั่ว ใช้รัศมีศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเข้าต้านรับคุนเผิงเอาไว้ก่อน แล้วไปเข้าสิงร่างซ่งเหว่ยเดี๋ยวนี้ เพื่อเพิ่มขีดจำกัดการรับรู้ของเจ้าเทียนน้อยให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เราต้องการคำนวณเวลาที่คุนเผิงจะมาถึงจุดนี้ให้ได้แม่นยำที่สุด!”
“รับทราบ!”
เสี่ยวฮั่วเร่งขานตอบ และกลายร่างเป็นลูกไฟสีม่วงดวงหนึ่งพวยพุ่งเข้าสิงสู่ในร่างของซ่งเหว่ยโดยตรง
ในเช้าตรู่วันนี้ จู่ๆจวิ๋นเส้าก็ได้ยินข่าวการหายตัวไปของซ่งเหว่ย เขายกฝ่ามือขึ้นตบกระแทกโต๊ะเบื้องหน้าด้วยความโกรธจัด ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบดูน่ากลัวยิ่งนัก
“นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี!”
นับเป็นเรื่องยากนักที่หงอวี๋จะมีโอกาสได้เห็นจวิ๋นเส้าโมโหโกรธเกรี้ยวปานนี้ เช่นนั้นนางจึบรีบกล่าวปลอบประโลมทันทีว่า
“น้อยนายโปรดอย่าได้กังวล บุตรชายของผู้อาวุโสสามเองก็ได้รับการถอนพิษจนปลอดภัยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหายตัวไปพร้อมกับพี่ถงยิ่งไม่น่ามีอะไรต้องเป็นห่วง! อย่างไรเถอะ ตอนนี้มีคนของผู้อาวุโสใหญ่คอยดักสังเกตการณ์อยู่ทั่วทุกคนแห่ง เช่นนี้พวกเราจะเคลื่อนไหวได้เยี่ยงไรต่อ?”
ขณะที่หงอวี๋กำลังสนทนากับจวิ๋นเส้าอยู่นั้นเอง ก็มีใครบางคนส่งสาสน์ผ่านซอกใต้ประตูเข้ามา โดยมีเนื้อข่าวสั่นๆดังกว่า ผู้อาวุโสใหญ่เสาะพบร่องรอยของคุนเผิงแล้ว
ได้อ่านข้อความดังนั้น คู่คิ้วแทบขมวดแน่นติดชน จวิ๋นเส้าชำเลืองหาหงอวี๋โดยไวและกล่าวน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“กลับเป็นเรื่องยากเกินจะระบุได้ว่า ผู้อาวุโสใหญ่เสาะพบร่องรอยของคุนเผิงแล้วจริงๆ หรือทั้งหมดเป็นเพียงกลอุบายของเขา?”
“พวกเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยหากไม่ไปพิสูจน์!”
ณ จุดสูงสุดบนเกาะเหล่ยเฟย จวิ๋นเส้าที่เพิ่งเดินทางมาถึงก็แลเห็นว่า ผู้อาวุโสใหญ่กำลังมุ่งความสนใจทั้งหมด ทอดมองออกไปสุดขอบฟ้าไกล เมื่อเขามุ่งสายตาติดตามออกไป ก็พบว่ามีเงาสีทมิฬขนาดมหึมาอยู่โพ้นเหนือสมุทรประดุจว่า มันคือพญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงตัวจริงเสียงจริง แต่ด้วยระยะที่อยู่ไกลเกินขอบเขตการมองเห็น จึงไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า มันคือตัวอะไรกันแน่
“ผู้อาวุโสใหญ่!”
ก่อนที่จะเริ่มดำเนินแผนการฉีกหน้าอีกฝ่ายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จวิ๋นเส้ายังคงรักษาท่าทางการแสดงออกอันแสนสงบนิ่งยิ่งแล้ว เอ่ยถามออกไปอย่างใจเย็นว่า
“ท่านแน่ใจหรือไม่ว่า นั่นคือพญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงจริงๆ?”
ผู้อาวุโสใหญ่มุ่งจิตสัมผัสหลับตาลงอย่างแช่มช้า ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสายลมที่พัดผ่านสัมผัสใบหน้าของตน แผดรัศมีการรับรู้ไปกว้างไพศาลพร้อมคลื่นสมุทร คล้อยหลังไม่นายเกินรอ จึงลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งพร้อมร่องรอยความสงสัยที่ฉายสะท้อนขึ้นในดวงตา แต่หาได้เผยแสดงความรู้สึกที่ว่าออกมาอย่างใด
“เป็นความจริงที่กลิ่นอายแรกสัมผัสเหมือนกับพญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงไม่มีผิด แต่ตามตำนานเล่าขาน แห่งหนใดที่พญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงแหวกว่ายข้ามผ่าน แห่งหนนั้นล้วนก่อเกิดภัยพิบัติอันวิปลาสสุดแสน ท้องสมุทรจะเกรี้ยวกราด ดึงดูดพายุคลั่งกระหน่ำเข้าหา แต่พินิจมองจากสภาพท้องสมุทรจากทางไกลในเวลานี้ ทุกอย่างยังดูสงบเกินไป”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวดังนั้น ก็หันไปหาอาจิวที่ซึ่งยืนอยู่ใกล้เคียงและเอ่ยปากขานสั่งไปว่า
“อาจิว ปล่อยเทพอสูรนาคีสมุทร จูหรง ออกไปสำรวจดู!”
“ขอรับท่านอาจารย์!”
อาจิวขานตอบอย่างกระตือรือร้น แต่เมื่อหันหลังเดินผ่านหน้าจวิ๋นเส้าไป กลับเป็นเขาที่ลอบขยิบตาส่งให้จวิ๋นเส้าอย่างมีนัยแฝง
ในเวลาเดียวกัน ณ เกาะฉีฉวน
เมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างมีรูปร่างคล้ายงูทะเลยักษ์แหวกว่ายเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวฮั่วถึงกับสะดุ้งเฮือกน้ำตาแทบเล็ด
มันถึงกับร้องคร่ำครวญใส่เซียงดูน่าสงสัยจับใจ
“นายท่าน! ได้โปรดเถอะ! ไอ้ตาเฒ่านั่นมันปล่อยนาคีสมุทรมาทางนี้แล้ว! โปรดเร่งมือโดยเร็ว!!”
ในปัจจุบัน เสี่ยวฮั่วต้องปลอมตัวแสร้งทำเป็นพญามัจฉาจ้าวปีกษาคุนเผิง ศีรษะกิเลนของมันลอยอยู่เหนือผิวน้ำเล็กน้อย สภาพเหมือนเต่าทะเลตัวยักษ์ที่ลอยคออยู่ ยกอุ้งเท้าใหญ่ทั้งสองข้างขึ้นตีน้ำดังจ๋อมแจ๋ม เพื่อแสดงตบตาคนที่อยู่บนเกาะเหล่ยเฟย
ด้วยสัญชาตญาณสัตว์อสูรธาตุไฟ เสี่ยวฮั่วย่อมไม่ถูกกับน้ำโดยธรรมชาติ กล่าวคือ การที่มันต้องลงน้ำเพื่อแสร้งแสดงเป็นคุนเผิงก็ว่าเต็มกลืนแล้ว แถมตอนนี้ยังมีเทพอสูรนาคีสมุทรแหวกว่ายเข้ามาใกล้อีก ต่อให้ตัวมันเป็นกิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนานก็ตามทีเถอะ สถานการณ์เช่นนี้มันขอไม่สู้!
บนแผ่นหลังของเสี่ยวฮั่ว ปรากฏวงแหวนค่ายอาคมขนาดกว้างไพศาล เบื้องหน้าของค่ายอาคมวงนี้สภาพอากาศช่างสงบเงียบ แต่ด้านหลังค่ายอาคมนี้ กลับเป็นภาพฉากสภาพอากาศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!
ฝนฟ้าคะนองรุนแรงจากลมพายุเดือด ท้องสมุทรเชี่ยวกรากก่อเกิดคลื่นยักษ์วิปลาสนับไม่ถ้วน! เซียถงยืนตระหง่านพร้อมกระชับถือกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเอาไว้ในมือ ระดมพลังจิตวิญญาณทั้งหมดหยั่งลึกลงสู่ท้องสมุทรเบื้องล่างทั้งมวล และปลดปล่อยตราผนึกจักรพรรดิเทวะลงไปประหนึ่งหว่านแหเข้าควบคุมสัตว์อสูรธาตุน้ำทั้งหมดให้กลายเป็นพวก
ไม่นานจากนั้น ก็มีสัตว์อสูรธาตุน้ำในท้องสมุทรมากมายโผล่หน้าเผยตัวขึ้นจากผิวน้ำโดยพร้อมเพรียง เตรียมเข้าเผชิญกับพญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า!
“ท่านพี่เซียถง! พญามัจฉาจ้าวปักษาคุนเผิงอยู่ใจกลางพายุวิปลาสเบื้องหน้าแล้ว!”
ซ่งเหว่ยผู้ซึ่งหลบอยู่ด้านหลังเซียถงอีกทีได้เปล่งเสียงเอ่ยขึ้น พร้อมกับเจ้าเทียนน้อยในอ้อมแขน