ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 625 กลับสู่ทวีปเทียนหลาง (1)
ตอนที่625 กลับสู่ทวีปเทียนหลาง (1)
ตอนที่625 กลับสู่ทวีปเทียนหลาง (1)
ต่อเรือโดยสารขนาดใหญ่สักลำหนึ่งแล้วเสร็จต้องใช้เวลากว่าสามเดือน! ถึงตอนนั้นจวิ๋นเส้าจึงค่อยนำกำลังเข้าสมทบได้!
ตั้งแต่จากมาอยู่ทวีปจวิ๋นเทียน ครั้งนี้เซียถงได้กลับมาเยียบทวีปเทียนหลางอีกครั้ง นับเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มที่ห่างหาย!
ไม่กล้าคิดฝันเลยสักนิด จะมีหลายสิ่งอย่างแปรเปลี่ยนไปมากมายในระหว่างที่นางไม่อยู่!
เมื่อเซียถงย่างเหยียบบนแผ่นผืนทวีปเทียนหลางอีกครั้ง นางพลันรู้สึกราวกับอยู่ต่างแดน!
ในปัจจุบัน ไป๋หลี่หานตั้งรกรากใหม่อยู่ห่างไปไกลกว่าหลายหมื่นลี้ ณ ที่แห่งนั้นคือจักรวรรดิแห่งใหม่ที่เขาสถาปนาสร้างขึ้นมาเอง แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เขาโดนจักรวรรดิต้าซิ่งและจักรวรรดิตงหลี่สกัดโจมตีทุกวิถีทาง ทั้งในด้านการทหาร ภูมิศาสตร์และเศรษฐี อย่างไรก็ดี ดั่งคำที่ว่า การป้องกันที่ดีที่สุดคือการโจมตี ดังนั้น ไป๋หลี่หานจึงใช้มาตรการเด็ดขาด ตอบโต้กลับไปทุกวิถีทางเช่นกัน ทั้งยังกล่าวสัตย์สาบานกับตัวเองอย่างตั้งมั่นไว้ว่า สักวันนี้ เขาจะบดขยี้จักรวรรดิตงหลี่และจักรวรรดิต้าซิ่งให้จงได้!
แต่ในเวลานี้ ไป๋หลี่หานกลับไม่รู้เลยว่า เซียถงได้กลับมาแล้ว! แม้เซี่ยหลู่เฟิงจะลักลอบแอบเดินเรือนออกตามหาเซียถงโดยมิให้เขารู้ แต่มีหรือที่จะหลบพ้นสายตาของไป๋หลี่หานได้? เขาทราบแต่ก็เลือกไม่ทำอะไรใดๆทั้งสิ้น ภายในใจมีแต่หวังเพียงว่า ต่อจากนี้ตลอดไป เซียถงจะมีชีวิตที่สงบสุขปราศจากเรื่องเลวร้ายถาโถมเข้าหาอีกต่อไป
กระนั้นเอง สถานการณ์ตอนนี้ที่เขากำลังประสบอยู่กลับค่อนข้างเลวร้ายกว่าที่คิดมาก ทั้งจักรวรรดิตงหลี่และจักรวรรดิต้าซิ่ง กำลังผลัดมือกันรุกโจมตีจักรวรรดิเซียอย่างไม่ขาดสาย ราวกับว่าจะไม่มีวันยอมรามือไปไหนจนกว่าไป๋หลี่หานจะตาย! หากพินิจจากจุดนี้แล้ว จักรวรรดิเซียกลับเริ่มต้นไม่สวยนัก เพียงรากฐานยังสั่นคลอนแล้ว
มองโดยผิวเผิน อาจเหมือนว่าจักรวรรดิตงหลี่กับจักรวรรดิต้าซิ่งกำลังผนึกกำลังร่วมมือกันอยู่ แต่ในความเป็นจริงนั้น ความสัมผัสในเชิงลึกระหว่างไป๋หลี่เย่กับเย่หลีเทียนกลับเป็นรอยร้าวหยั่งลึกที่ต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกันเลย
ณ พระราชวังจักรวรรดิเซีย ภายในท้องพระโรง
โม่ซวนกำลังกราบทูลอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์มังกรว่า
“เรียนฝ่าบาท! รายงานจากกรมการคลังและเสนาบดีอีกหกนายได้ระบุว่า คลังในพระราชวังของเราเหลือเงินไม่มากแล้ว…”
อะไรที่สามารถถลุงเงินและทรัพยากรในจักรวรรดิได้มากที่สุด แน่นอน…คงหนีไม่พ้นสงคราม! ไม่ว่าไป๋หลี่หานจะแข็งแกร่งหรือยิ่งใหญ่ปานใด แต่เขาก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มิอาจเสกเงินเสกทองขึ้นมาได้ในชั่วข้ามคืน!
ภัยสงครามดำเนินมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว จักรวรรดิตงหลี่และต้าซิ่งกำลังไล่ต้อนบีบเค้นหนักขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ตายเพราะคมอาวุธศัตรู ก็เกรงว่าต้องตายด้วยสภาพความยากจน!
บริเวณขมับข้างศีรษะของไป๋หลี่หานเริ่มมีผมหงอกสีขาวปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาขยี้ดวงตาที่แดงก่ำอยู่สองสามครา สายตาค่อนข้างอิดโรย เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาต่อเนื่องกว่าสามวันแล้ว ชาในจอกข้างกายเย็นชืดนิ่งสนิท แต่ถึงแบบนั้น เขาก็ไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยนชาจอกนี้ของตน และคว้ามันขึ้นกระดกจนหมดในอึดใจ
“ไปขายทรัพย์สินทั้งหมดที่ข้าเคยเหลือทิ้งเอาไว้ในจักรวรรดิอื่นๆให้หมด ส่วนเจ้าก็ลองไปตรวจสอบดูว่า เรายังเสาะหาช่องทางการเงินจากส่วนใดอื่นได้อีกบ้าง ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ตราบเท่าที่เราสามารถผ่านวิกฤตครั้งนี้ไป…”
กล่าวมาถึงจุดนี้ ไป๋หลี่หานพลันชะงักหยุดไปดื้อๆ ร่างผอมแห้งบนบัลลังก์แทบร่วงตกลงมาเนื่องจากอาการหน้ามืด โม่ซวนเห็นเช่นนั้นจึงรีบพุ่งไปประคองและกล่าวว่า
“ฝ่าบาท เหตุใดท่านถึงไม่พักผ่อนก่อนเสียหน่อย!”
ไป๋หลี่หานเลื่อนสายตาดุจคมมีดเข้าเสียดมอง และนั่นทำเอาโม่ซวนถึงกับรีบหุบปากลง!
หนึ่งเดือนต่อมา ทันทีที่โม่ซวนได้รับรายงานจากองครักษ์หน่วยเงาที่ส่งมา และเมื่อได้อ่านเนื้อความภายใน เขาก็ดีใจเป็นลิงโลดรีบวิ่งปรี่เข้ามายังท้องพระโรงโดยหาได้คำนึงถึงคณะขุนนางที่กำลังประชุมหารือกันอย่างเคร่งเครียดเลย
“ฝ่าบาท!!”
ไป๋หลี่หานรับรายงานฉบับนั้นที่โม่ซวนรีบยื่นส่งมาให้ พอได้อ่านเนื้อความด้านในก็ต้องแปลกใจเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้ ตอนที่สั่งให้โม่ซวนไปขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่นอกจักรวรรดิ กลับไม่มีใครกล้ารับซื้อต่อเนื่องกลัวว่าจะโดนคนของฝ่ายจักรวรรดิตงหลี่และต้าซิ่งเพ่งเล็งเอาได้ ไม่ก็ยังมีอีกบางกลุ่มที่ขอกดราคาชนิดหน้าเลือดหน้าเงินเกินไป ในเวลานี้ทุกคนในพระราชสำนักต่างสิ้นหวังกันอย่างมาก เพราะหากไม่มีทรัพยากรทางการเงินไว้หล่อเลี้ยงกำลังทหาร ก็เกรงว่าอนาคตของจักรวรรดิเซียคงต้องจบสิ้นแล้วเช่นกัน แต่เมื่อได้อ่านรายงานฉบับนี้ กระทั่งไป๋หลี่หานยังต้องประหลาดใจ!
“จู่ๆก็มีกลุ่มทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่ากว้านซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของเราไปในราคาที่สูงมาก! ด้วยเงินจำนวนนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้หล่อเลี้ยงคลังหลวงให้มีกินมีใช้ไปอีกหนึ่งปีเต็ม ต่อให้จักรวรรดิตงหลี่กับต้าซิ่งจะบุกโจมตีเราทันทีทันด่วน ก็มั่นใจได้ว่าสามารถต้านรับเอาไว้ได้!”
ทุกคนต่างคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งแล้ว ทว่าในอีกสองเดือนถัดมา จู่ๆก็มีตั๋วเงินจำนวนมากถูกส่งตรงมาถึงพระราชวังแห่งจักรวรรดิเซีย เมื่อโม่ซวนนำตั๋วเงินทั้งหมดมาทูลให้ไป๋หลี่หาน พวกเขายิ่งต้องประหลาดใจ เงินดังกล่าวเป็นจำนวนที่มหาศาลเสียจนสามารถพยุงวิกฤตทางการเงินในจักรวรรดิเซียได้อย่างเบ็ดเสร็จ และแม้ว่าไป๋หลี่หานจะรู้สึกสงสัยอย่างมากว่า เงินจำนวนขนาดนี้ถูกส่งมาจากที่ใด แต่เขาก็หาได้ใส่ใจเกินไปนัก ภายใต้สภาวะสงครามเช่นนี้ ตัวเขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นมากนัก ได้แต่นึกขอบคุณกับตัวเองในใจ และส่งตั๋วเงินทั้งหมดมอบให้กับการคลังเพื่อนำไปบริหารจัดการต่อไป
“ว่ากระไร?!”
เมื่อได้ยินข่าวที่จักรวรรดิเซียสามารถกอบกู้วิกฤตทางการเงินได้อย่างปาฏิหาริย์ เย่หลีเทียนถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา จักรวรรดิต้าซิ่งต่างพยายามกันอย่างหนัก ทั้งหมดก็เพื่อโค่นล้มจักรวรรดิเซียของไป๋หลี่หาน จนท้ายที่สุดก็สัมฤทธิ์ผล จักรวรรดิเซียใกล้จะล่มสลายเต็มทีจากวิกฤตครั้งนี้ กล่าวได้ว่านับถอยหลังรอวันตาย! แต่จู่ๆสถานการณ์ทุกอย่างกลับพลิกผันตาลปัตรในพริบตา!
เย่หลีเทียนตบฝ่ามือกระแทกโต๊ะเบื้องหน้าจนแหลกเป็นผุยผงไม่เหลือชิ้นดี!
“บัดซบ! บัดซบจริงๆ!”
เขาเร่งตะโกนลั่นขึ้นต่อทันที
“พวกเจ้ามานี่! ส่งสาสน์ลับไปยังจักรวรรดิตงหลี่โดยด่วนที่สุด! บอกกับไป๋หลี่เย่ว่า ข้าต้องการพบหน้ามัน!”
ไป๋หลี่เย่รับได้สาสน์ลับของเย่หลีเทียน นั่งจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตนเองอยู่สักครู่ใหญ่เช่นกัน เนื้อความที่ระบุอยู่ในสาสน์ลับฉบับดังกล่าวล้วนแต่เป็นความจริง เขาเองก็ได้รับรายงานว่า จู่ๆไป๋หลี่หานก็สามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ภายในจักรวรรดิเซียจากร้ายกลายเป็นดีได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งนี่เหนือความคาดหมายของตัวไป๋หลี่เย่ไปไกลมาก ภายหลังที่คิดทบทวนอย่าสองสามตลบ จึงยอมเดินทางออกไปหาทันที
ห่านฟ้าจันทร์ทมิฬกลางหาว เริ่มย่างสู่ฤดูหนาวอีกครั้ง วันนี้สภาพอากาศมิค่อยสู้ดีนัก มีพายุหิมะกระหน่ำตกหนักไปทั่วบริเวณ แต่ท่ามกลางความหนาวเหน็บ ไป๋หลี่เย่ที่สวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ชั้นหนาก็ยังเดินทางมาถึงจักรวรรดิต้าซิ่งแห่งนี้ ก็เพื่อมาเจอหน้าเย่หลีเทียนที่มิได้พบกันมานานกว่าหนึ่งปีเต็ม!
พายุหิมะกระหน่ำตกหนัก กระนั้นเย่หลีเทียนกลับสวมใส่เพียงเสื้อคลุมชั้นบางทั่วไปสีทมิฬดำประดับลวดลายเส้นสีทองสวย แต่ถึงแบบนั้น สีหน้าการแสดงออกของเขาในเวลานี้กลับดูน่ากลัวเกินพรรณนา
เขากระดกสุราจอกหนึ่ง กล่าวว่า
“ตลอดปีที่ผ่านมา พวกเราที่ซึ่งไม่เคยไว้ใจซึ่งกันและกัน แยกกันดำเนินการตามแผนของแต่ละคน ในจุดนี้เองที่อาจทำให้ไป๋หลี่หานเสาะหาช่องโหว่จนสามารถกู้วิกฤตครั้งนี้ฟื้นมาได้! ดังนั้นแล้ว ไฉนเราถึงไม่ละทิ้งความคับข้องใจในอดีตทิ้งไปเสียให้หมด แล้วร่วมมือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว?”
ไป๋หลี่เย่ผลักจอกสุราบนโต๊ะตรงหน้าออกไปทางเย่หลีเทียน ทุกครั้งที่ได้เห็นหิมะสีขาวโพลนนั้น ก็มักจะทำให้เขานึกถึงสตรีปีศาจนางหนึ่งที่เหลือไว้เพียงตำนาน และนั่นยังทำให้แขนที่โดนตัดด้วนข้างหนึ่งเจ็บแปลบขึ้นมาทุกที
“ได้! แน่นอน! ศึกคราวนี้ หากนับกันตามจริงก็เกือบสองปีเข้าไปแล้ว! ข้าไม่อยากเห็นหน้าไอ้เจ้าไป๋หลี่หานอีกต่อไปแล้ว! เช่นนั้น เจ้ามีแผนอะไรก็ว่ามา!?”
“ถึงสถานการณ์การเงินของมันจะดีขึ้น แต่ก็หาใช่กำลังทหารที่จะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นได้ทันควัน? ตอนนี้พวกเราเหลือแค่โอกาสเดียวเท่านั้น! ก่อนที่มันจะฟื้นตัวผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง ข้าจะฉวยโอกาสนี้นำกำลังทหารทั้งหมดเจ็บแสนนาย บุกโจมตีฉับพลันไม่ปล่อยให้ตั้งตัวได้แน่นอน! แล้วฝั่งของเจ้าล่ะ?”
ไป๋หลี่เย่ถึงกับผงะง้ำตกใจอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินคำกล่าวประโยคนี้ของเย่หลีเทียน?
นี่…เอาจริงงั้นรึ? กองทหารจำนวนเจ็ดแสนนายนี่คือกำลังคนทั้งหมดที่จักรวรรดิต้าซิ่งมีอยู่ในขณะนี้ นั่นหมายความว่า เย่หลีเทียนปรารถนาที่จะฆ่าไป๋หลี่หานทิ้งให้ได้ในศึกนี้!
หรือบางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวก่อนที่อีกฝ่ายจะฟื้นตัวกลับมาได้จริงๆ? และหากเขาไม่รับโอกาสนี้ไว้ ไป๋หลี่หานอาจหนีรอดออกไปได้อีกครั้ง ซึ่งนั่นไม่ต่างกับว่า ตลอดเกือบสองปีที่พยายามกันมาล้วนแต่สูญเปล่า ทั้งยังต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหรอกรึ? ไม่! ไม่เด็ดขาด! ไม่ว่ากรณีใด เขาจะต้องสังหารไป๋หลี่หานให้ตายเท่านั้น! เมื่อนึกได้เช่นนั้น ความเกลียดชังภายในใจต่ออีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มทวีสูงขึ้น!
ไป๋หลี่เย่เองก็ขอเดิมพันด้วย!
ทันใดนั้นเอง เสียงตบโต๊ะจากฝั่งไป๋หลี่เย่าก็ดังขึ้น เขากล่าวว่า
“ตกลง! ข้าเองก็จะส่งกำลังทหารเข้าสมทบอีกเจ็ดแสนนายเช่นกัน! นั่นเท่ากับว่าตอนนี้ พวกเรามีกำลังพลทั้งหมดอยู่ที่หนึ่งล้านสี่แสนนาย เช่นนั้นขอดูเสียหน่อยเถอะว่า ไป๋หลี่หานยังจะหนีไปไหนได้อีก!!”
ในระหว่างการปรึกษาหารือคืนนั้น ไป๋หลี่เย่และเย่หลีเทียนก็ได้บรรลุข้อตกลงกันอย่างลับๆ
แต่หารู้ไม่ว่า เซียถงได้ส่งเจ้าจี้จี้ซ่อนตัวอยู่ในกองหิมะ ดักฟังบทสนทนาระหว่างสองคนนั้นมาหมดแล้ว!
หลัวซีกับเซียถงในเวลานี้กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน จี้จี้ก็ค่อยวิ่งติดตามมาสมทบและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้แก่ทั้งคู่ได้ช่วงรู้
ได้ยินเช่นนั้น ก็เป็นหลัวซีที่ค่อนข้างรู้สึกกังวลอย่างหนัก จึงกล่าวถามเซียถงว่า
“หากพวกมันกำลังวางแผนร่วมมือกันบุกโจมตีจักรวรรดิเซียอยู่จริงๆ ด้วยสถานการณ์ของฝ่ายเราตอนนี้ไม่มีทางต่อกรอะไรด้วยได้เลย แล้วเจ้าแน่ใจแล้วรึที่จะเผยตัวออกมา?”
ความตั้งใจเดิมของหลัวซีก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก กับการที่เซียงต้องการปรากฏตัวออกมาท่ามกลางสภาวะสงคราม ยิ่งได้รับข่าวสารเช่นนี้ด้วยแล้ว เขายิ่งไม่ต้องการเข้าไปใหญ่
เมื่อใดที่นางปรากฏตัวขึ้นมา ก็ไม่ต่างกับการเปิดตัวล่อเป้าธนูจากศัตรูเลย ในตอนนั้น นางจะกลายมาเป็นจุดสนใจที่โดดเด่นที่สุดของทั้งฝ่ายศัตรูและพันธมิตร และบางทีก็อาจถูกศรธนูปริศนากราดยิงได้จากเงามืดทั่วสารทิศ!