ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 627 โกลาหลถึงขีดสุด (1)
ตอนที่627 โกลาหลถึงขีดสุด (1)
ตอนที่627 โกลาหลถึงขีดสุด (1)
ทุกคนล้วนทราบ ฉีหมิงเยว่เป็นสหายคนสำคัญที่เซียถงทั้งรักและเป็นห่วงเสมอมา และในเมื่อจุดประสงค์ที่ไป๋หลี่อวี๋อิงไปลักพาตัวฉีหมิงเยว่มาคือ การใช้เป็นตัวประกัน ดังนั้นทางด้านฉีหมิงเยว่เองก็ยังไม่ควรเป็นอันตรายใดๆในขณะนี้!
เซียถงสูดหายใจเข้าแช่มลึก ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วที่นางจำเป็นต้องเปิดเผยตัว! เพื่อดึงดูดความสนใจจากทุกฟากฝ่าย!
ภายใต้การปิดล้อมของกองทัพทหารจำนวนกว่าหนึ่งล้านสี่แสนนาย ไป๋หลี่หานยืนอยู่เหนือจุดสูงสุดบนกำแพงเมืองหลวงทิศเหนือ จากระยะวิสัยนี้สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งซอกมุมในเมืองหลวงได้อย่างชัดเจน เนื่องจากเขาคือไป๋หลี่หาน ดังนั้นในตอนเริ่มสร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นมา เขาได้คำนึงถึงปัญหาและความน่าจะเป็นทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นได้ ตราบเท่าที่เขาต้องการ ย่อมสามารถลำเลียงประชาชนทั้งหมดอพยพหนีไปยังหุบเขายอดอาชาที่อยู่ด้านหลังผ่านเส้นทางลับที่มีอยู่ทั่วได้ทุกเมื่อ จากนั้นก็ค่อยตั้งรกรากใหม่และเริ่มค้นหาทำเลสร้างตัวใหม่! และเพราะเหตุนี้เองจึงทำให้เขาตัดสินใจที่จะปักหลักอยู่ที่นี่ต่อไปอีกครั้งเดือน
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นแผนสำรองที่เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น!
โม่ซวนยืนอยู่ข้างกายไม่ห่าง กำลังเหลียวหลังจับจ้องเหล่าคณะขุนนางที่ยืนปั้นหน้างุนงงฉงนใจ และดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะมีเพียงเขาที่เข้าใจว่าไป๋หลี่หานกำลังคิดอะไรอยู่ ในเมื่อสถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า จักรวรรดิเซีย ดังนั้นแล้วฝ่าบาทหรือจะยอมทอดทิ้งที่นี่ได้โดยง่าย?
หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋หลี่หานก็หันหน้าเอ่ยถามโม่ซวนขึ้นคำหนึ่งว่า
“เซี่ยหลู่เฟิงยังไม่กลับมาอีกงั้นรึ? เขาปลอดภัยดีกระมัง?”
“ตอนนี้จอมทัพเซี่ยกำลังนำกองทัพจำนวนหนึ่งแสนแปดหมื่นนายของเรา เข้าคุ้มกันเสบียงอาหารและฟางไปเก็บยังหุบเขายอดอาชาพ่ะย่ะค่ะ! ตราบเท่าที่เราสามารถยืนหยัดต้านพวกมันจนกว่าจอมทัพเซี่ยจะกลับมาถึง ปัญหาเรื่องการถูกปิดล้อมจะสามารถแก้ไขได้ทันที!”
“แล้วเมื่อใดกันกว่าจะมาสมทบได้?”
“จอมทัพเซี่ยเดินทางตลอดช่วงกลางวันและกลางคืน ใช้เวลายี่สิบวันถึงจะกลับมาถึงพ่ะย่ะค่ะ!”
โม่ซวนชะงักไปชั่วจังหวะ กล่าวต่ออีกว่า
“แต่ข้าน้อยกังวลว่า พวกตงหลี่กับต้าซิ่งกำลังจะเปิดศึกโจมตีในอีกไม่ช้าแล้ว…”
ซึ่งโม่ซวนยังพูดไม่ทันขาดคำ จู่ๆก็มีเสียงแตรศึกดังสนั่นหวั่นไหวจากรอบสารทิศ!
เขารีบวิ่งไปดูตรามทิศทางที่เสียงแตร่ศึกขับร้องส่งออกมาโดยเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น!?”
ทหารที่ตั้งทัพเตรียมประจัญบานอยู่เบื้องร่างร้องตอบทันที
“พวกข้าศึกกำลังเข้าบุกโจมตีแล้วขอรับ”
อึดใจต่อมา ทุกคนต่างได้ยินเสียงกลองโหมโรงกระหน่ำลั่น ด้านใต้กำแพงเมืองสี่ทิศปรากฏกลุ่มก้อนฝุ่นตลบฟุ้งกระจายประเดประดังถาโถมเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง ในที่ท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่ไป๋หลี่หานเป็นกังวลที่สุดก็บังเกิดขึ้นแล้ว จักรวรรดิตงหลี่และจักรวรรดิต้าซิ่งจับมือกันเปิดศึกสงครามครั้งใหญ่ร่วมบุกโจมตีโดยพร้อมเพรียง!
ไป๋หลี่หานรีบหมุนตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมชุดเกราะออกรบสีเงินกรอบขาวจรัสแสงเปล่งประกาย มือข้างซ้ายถือกระบี่สีเงิน ส่วนมือข้างขวาถือกระบี่สีทอง เปล่งเสียงบัญชาเหล่ากองทหารทั้งหลายใต้อาณัติให้จงสดับกึกก้อง
“ข้าทราบ! พวกเราต่างก็ต้องล้มลุกคลุกคลาน เริ่มก่อร่างสร้างฐานกันมาอย่างยากลำบาก แต่ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ข้าขอสาบาน จะอยู่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่และตายไปพร้อมกับพวกเจ้าทุกคน!”
ขอเพียงตอนนี้เท่านั้น! ขอเพียงสามารถถ่วงเวลาได้อีดเล็กน้อยเท่นั้น ยืนหยัดจนกว่าเซี่ยหลู่เฟิงจะกลับมาถึง ในเวลานี้สถานการณ์ที่ดูไร้สิ้นความหวังอาจบังเกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ!
สงครามระหว่างสามจักรวรรดิได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
กองทหารจากฝ่ายตงหลี่และต้าซิ่งต่างต้องประหลาดใจอย่างยิ่งกับแสงยานุภาพของกองทัพแห่งจักรวรรดิเซีย พวกเขาแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งปราศจากแววความอ่อนแอใดๆ กล่าวคือ ว่าจะปราบคนเหล่านี้ให้ได้สักคนกลับต้องประสบความสูญเสียไม่น้อยเลย!
อย่างไรก็ตาม เมื่อหน่วยองครักษ์แห่งต้าซิ่งที่ขึ้นตรงกับเย่หลีเทียนได้ลงสนามเท่านั้น สถานการณ์ความได้เปรียบเสียเปรียบจึงเบนกลับมาอยู่ตรงกลางอีกครั้ง ทั้งยังแอบค่อนไปทางฝ่ายตงหลี่และต้าซิ่งอีกด้วย เย่หลีเทียนยังคงอยู่ในสมรภูมิแห่งนี้ เขามีส่วนเข้าช่วยเหลือกลุ่มทหารในบางจุดที่กำลังเสียเปรียบให้กลับมาได้เปรียบอีกครั้ง ด้วยออกโรงเข้าไปลงมือด้วยตัวเอง แตกต่างไปจากไป๋หลี่เย่ที่ในเวลานี้กำลังสั่งให้กลุ่มทหารคนสนิทหอบตัวเขาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำหนีออกไป
ศึกสัประยุทธ์เดือดครั้งนี้กินเวลานานกว่าสิบวันสิบคืนเต็ม! บริเวณกำแพงเมืองจิงกวนทุกด่านทิศถูกฉาบย้อมกลายเป็นสีแดงฉูดฉาด ร่างศพของเหล่าทหารจากทั้งสามจักรวรรดินานอนคณะกระจัดกระจายผสมปนเปอยู่ทั่วพื้น
ในช่วงพักรบแต่ละรอบ แต่ละจักรวรรดิยังส่งทหารจำนวนกว่าร้อยนาย กระจายกันไปเก็บกู้ศพของฝ่ายตนเองกลับมา
ณ ปัจจุบัน วันที่สิบเก้าในสมรภูมิสงครามระหว่างสามจักรพรรดิ
เมื่อทอดสายมองเงยขึ้นมองบนฟากฟ้า อาทิตย์อัสดงสีแดงส้มยามนี้กำลังทอแสงรัศมีสุดท้ายเป็นประกายปกคลุมทั่วผืนพิภพ
ไป๋หลี่หานอยู่ในอารมณ์ที่ค่อนข้างตึงเครียดอย่างหนัก เนื่องจากต่อสู้กันอยู่ดีๆเย่หลีเทียนก็สั่งถอนกำลังถอยทัพกลับไปกะทันหัน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีทหารหน่วยสังเกตการณ์จากบนหอคอยสูงรีบเข้ารายงานว่า
“เรียนฝ่าบาท! แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่ายต้าซิ่งกำลังมุ่งทัพทั้งหมดไปลักล้อมจุดที่มีพลุสัญญาณจากฝ่ายเราส่งมา! คาดว่าตรงนั้นน่าจะเป็นจอมทัพเซี่ย!”
พลุสัญญาณนั่นคือสัญญาณแสดงให้เห็นว่า เซี่ยหลู่เฟิงกำลังกลับเข้ามาช่วยสมทบเป็นกำลังเสริมแล้ว!
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนเย่หลีเทียนถึงถอยทัพออกไปเสียดื้อๆ ปรากฏว่า เขาต้องการจะบุกถล่มกองกำลังเสริมของเซี่ยหลู่เฟิงให้ยับเสียก่อน! ไป๋หลี่หานและคนอื่นๆถึงกับหน้าถอดสีซีดเซียวหนัก หากเซี่ยหลู่เฟิงและกำลังทหารที่เหลือถูกถล่มจนย่อยยับไปอีกราย มีหวังอนาคตของจักรวรรดิเซียแห่งนี้คงถึงคราวต้องจบสิ้นแล้วจริงๆ!
เมื่อคำนึงถึงจุดนี้ ไป๋หลี่หานจึงรีบนำทหารม้าเร็วจำนวนหนึ่งหมื่นนาย เร่งควบทะยานพุ่งตรงไปยังทิศทางที่เซี่ยหลู่เฟิงอยู่ โดยมีจ่าฝูงคือไป๋หลี่หานที่นำทัพออกไปเองเป็นการส่วนตัว
กองทหารจำนวนหนึ่งแสนแปดหมื่นนายที่เซี่ยหลู่เฟิงดูแลอยู่นั้น ตลอดยี่สิบวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยได้พักผ่อนระหว่างทางเลยแม้สักครั้ง ทั้งนี้ขาไปที่ต้องเดินทางไปเก็บเสบียง ยังต้องแบกบรรทุกข้าวสารอาหารแห้งจำนวนมหาศาลตลอดการเดินทาง จึงส่งผลให้สภาพร่างกายของพวกเขาในเวลานี้อิดโรยอย่างหนัก หากถูกเย่หลีเทียนเข้าปิดล้อมได้เมื่อใด เท่ากับว่ามุกอย่างจบเห่! ไป๋หลี่หานจึงอาสานำกองทหารม้าเร็วออกไปสกัดด้วยตัวเอง!
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนอยู่ในการคำนวณของเย่หลีเทียนแล้วเช่นกัน เหตุที่เขาถอยทัพและย้อนออกไปโจมตีเซี่ยหลู่เฟิงที่กำลังมาถึงแทน ทั้งหมดก็เพื่อล่อพญาเสือให้ออกจากถ้ำ! ลวงให้ไป๋หลี่หานปรากฏกายออกมา!
เซี่ยหลู่เฟิงกำลังเข้าโรมรันต่อสู้อยู่กับเฟิงหมิงอี้ ในระหว่างศึกสัประยุทธ์แสนดุเดือดนั้นเอง มีอยู่ครั้งหนึ่ง คมกระบี่ในมือเซี่ยหลู่เฟิงก็ได้ตัดผ่านแขนเสื้อของเฟิงหมิงอี้ ส่งผลให้ต่างหูมุกสีขาวข้างหนึ่งหลุดร่วงลงมาจากตัวอีกฝ่าย
“หมิงเยว่!”
นั่นคือต่างหูมุกขาวของฉีหมิงเยว่ ภรรยาของเขา! เซี่ยหลู่เฟิงยกกระบี่ขึ้นชี้หน้าเฟิงหมิงอี้และเย่หลีเทียนที่เพิ่งตามเข้าสมทบ แผดเสียงคำรามดุร้ายขึ้นลั่นว่า
“พวกเจ้าจับหมิงเยว่เป็นตัวประกันงั้นรึ?!”
เย่หลีเทียนเพียงเค้นเสียงหัวร่อเย็นชืดคำหนึ่งในลำคอ หาได้ปริปากตอบใดๆกลับไป พริบตาเดียว ร่างของเขากลายเป็นสายฟ้าพิสดารสายเร็วจี๋ ยกฝ่ามืออัดพลังลมปราณแกร่งกร้าวตบใส่กลางอกของเซี่ยหลู่เฟิงอย่างจังจนปลิวกระเด็น และขณะที่ร่างของเขากำลังจะกระแทกชนกับต้นไม้ลำหนาที่อยู่ด้านหลัง จู่ๆก็มีเงาประกายสีเงินอีกสายพุ่งโฉบเข้าช่วยเหลือ คว้าตัวเซี่ยหลู่เฟิงรับเอาไว้ได้ทัน
ไป๋หลี่หาน มาแล้ว!
เย่หลีเทียนสบสายตากับไป๋หลี่หานที่อยู่ตรงหน้า แต่จู่ๆแววตาของเขาก็เผยแววประหลาดใจส่องสะท้อนออกมา
“เซียถงล่ะ? นางอยู่ที่ไหน? ไฉนมิได้มากับเจ้าด้วย?”
ทันทีที่ประโยคคำพูดเหล่านี้เล็ดลอดจากปากเย่หลีเทียนออกมา สีหน้าการแสดงออกของไป๋หลี่หานก็แปรเปลี่ยนไป เสี้ยวอึดใจนั้น เขาเหลือบหางตาสาดใส่เซี่ยหลู่เฟิงที่อยู่เคียงข้างโดยไวในเชิงตำหนิ ปรากฏว่า เซี่ยหลู่เฟิงคนนี้แอบไปพาเซียถงกลับมาที่นี่จริงๆ!!
ทางด้านเฟิงหมิงอี้ที่เห็นว่า เซี่ยหลู่เฟิงก็ยังเอาแต่ส่งสายตาอาฆาตจ้องเขม็งมาทางนี้ชนิดไม่มีคลายอ่อน เขาจึงยักไหล่อย่างช่วยมิได้และกล่าวตอบไปตามตรงว่า
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน อย่ามองกันด้วยสายเช่นนั้นสิ! ข้าหาใช่คนลักพาตัวภรรยาของเจ้าไปเสีย ส่วนเจ้าต่างหูมุกชิ้นนี้ ข้าบังเอิญไปเจอระหว่างที่เดินตรวจตราอยู่ในค่ายทหารตงหลี่ก็เท่านั้น”
เย่หลีเทียนได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวเสริมอีกว่า
“ฉีหมิงเยว่มิได้อยู่กับข้าจริงๆ ไอ้คนที่ทำเรื่องสกปรกไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ได้คงมีแต่เจ้าไป๋หลี่เย่เท่านั้น เห็นว่ามันอาฆาตแค้นเรื่องที่โดนตัดแขนยิ่งกว่าอะไร…”