ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 63 หวนคืนสู่วัง (1)
ตอนที่63 หวนคืนสู่วัง (1)
กระโดดเข้าข้ามกำแพงสูงของวังหลวงเข้ามา เซียถงพยายามที่จะหลบเลี่ยงพวกทหารยามลาดตระเวนให้ได้มากที่สุด โชคดีที่ระหว่างนั้นมีสาวรับใช้ในวังคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี จึงฉุดร่างปิดปากของอีกฝ่ายแน่น ลากเข้ามารีดเค้นถึงตำหนักที่ไป๋หลี่อวี๋อิงอาศัยอยู่ จากนั้นค่อยสับต้นคอนางจนหมดสติไป ซ่อนไว้ใต้โขดหินยักษ์บริเวณสวนแถวนั้น และลอบเร้นเข้าไปในเรือนนอนขององค์หญิงอย่างเงียบงัน
ทันทีที่ก้าวออกมาจากสวนแห่งนั้นออกมาได้ ก็มุ่งหน้าเดินตามเส้นทางสายคดเคี้ยว ระหว่างนั้นพลันได้ยินสุ้มเสียงคนคุยกันกำลังตรงเข้ามาใกล้ เซียถงกวาดสายตาเหลือบไปเห็นกอไผ่สีเขียวกลุ่มหนึ่งอยู่เคียงข้างตามไหล่ทาง จึงรีบกระโดดเข้ามาซ่อนบริเวณนั้นโดยไว
ท่ามกลางแสงจันทร์ยามฟ้าโปร่ง นางเห็นไป๋หลี่หาน สวมเสื้อคลุมหรูหรา กำลังสับเท้าก้าวแช่มออกมาจากทางเดินในส่วนลึกของวังหลวง ตามติดมาด้วยองครักษ์คู่กายอย่างโม่ซวน คล้อยหลังที่เงาร่างของทั้งสองเดินลับสายตาหายไปจากทางเดิน เซียถงยังไม่ได้เผยกายออกมาทันที ยังคงหลบซ่อนอยู่ภายใต้เงาสะท้อนแสงจันทร์
จนแน่ใจแล้วว่า ปราศจากร่องรอยผู้ใดติดตามมาอีก เซียถงจึงค่อยมุ่งหน้าลอบเร้นไปต่อ แต่ทันใดนั้นนางก็บังเอิญได้ยินใครสักคนเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับแหล่งที่มาที่ไปของวรยุทธ์ที่เซียถงสำแดงใช้ออกมา? สิ่งที่นางกล่าวเล่าไป มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด?”
ได้ฟังว่าเป็นเรื่องของตนเอง เซียถงเปลี่ยนเป้าหมายชั่วขณะ กระโดดขึ้นหลังคอลอบสังเกตการณ์อยู่บนนั้น ค่อยๆ ใช้นิ้วแกะแผ่นกระเบื้องเคลือบจากหลังคาออกมา เอนกายแนบชิด ให้บริเวณสายตาก้มลงไปตรงกับรูกระเบื้องที่แกะเมื่อครู่อย่างพอดิบพอดี ภายในเรือนด้านล่างมีสถาปัตยกรรมตกแต่งหรูหรางดงาม ฝ่าบาทกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ลวดลายมังกรทองคำ มือข้างขวาตั้งชันอยู่ตรงพนัก นั่งเท้าคางอยู่แบบนั้น ราวกับกำลังครุ่นพินิจอะไรอยู่
เบื้องหน้าห่างออกไปประมาณยี่สิบก้าว เย่หลีเทียนที่ซึ่งยามนี้สวมเสื้อคลุมสีดำ ยืนหยัดทรงสง่าพร้อมด้วยท่าสองมือไพล่หลัง แผ่นหลังเหยียดตรง ยืนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทด้วยสีหน้าท่าทางสุดแสนเคารพ
“หลังที่เซียถงได้สติฟื้นขึ้นจากที่ไปกระโดดรับคมดาบแทนองค์รัชทายาท ก็อย่างกับว่า นางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน วาทศิลป์และไหวพริบช่างคมคาย อุปลักษณ์นิสัยเด็ดเดี่ยว เลือดเย็น แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ข้าน้อยเกรงว่า คำกล่าวเล่าของนางในตอนนั้น แทบไม่มีความน่าเชื่อถืออยู่เลย”
“แต่หากสิ่งที่นางกล่าวเป็นเท็จ แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องที่ จุดตันเถียนของนางถูกรักษาจนหายเป็นปกติได้อย่างไร? ไม่เพียงแค่นั้น ระดับพลังความแกร่งกล้ายังโหมทวีขึ้นอย่างกร้าวกระโดด หรือเจ้าเคยเห็นผู้ใดบ้าง ที่สามารถทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน?”
ฝ่าบาทลุกขึ้นยืน จับจ้องใบหน้าอีกฝ่าย แววตายังคงถอนออกจากภวังค์ความคิดมิได้ สุดท้ายต้องตัดสลับไปชื่นชมทิวทัศน์ยามรัตติกาลนอกหน้าต่างแทน หวังผ่อนปรนจิตใจที่หนักอึ้ง
เขาเองก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือคำพูดของเซียถงเท่าไหร่นัก ระหว่างที่เซียถงกล่าวอธิบายออกไปในวันนั้น คล้ายว่าเขาจะสามารถจับสังเกตเห็นประกายแสงวาบหนึ่งเล็ดลอดออกมา ในฐานะองค์จักรวรรดิที่ต้องปกครองบ้านเมืองอันกว้างใหญ่ไพศาล ไหวพริบปฏิภาณต้องไวและทันคนให้ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมหนีไม่รอดออกจากสายตาของเขา
แต่ถึงแบบนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเซียถงเอง ก็ถือเป็นตัวพิสูจน์ความจริงชั้นเยี่ยมและไม่มีอะไรจะชัดเจนไปมากกว่านี้แล้วเช่นกัน นางได้รับขบาดเจ็บสาหัสจนจุดตันเถียนพิการไปแล้วจริงๆ ในตอนนั้น การที่ยามนี้กลายมาเป็นมังกรผงาดเสียดฟ้าขึ้นได้ภายในชั่วอึดใจ เขาจะสรรหาเหตุผลใดมารองรับ? ดังนั้นแล้ว เขาจึงจำใจเชื่อคำกล่าวของเซียถงไปทั้งแบบนั้น
ในอีกมุมหนึ่ง หาสิ่งที่เซียถงพูดไปทั้งหมดเป็นยความจริง หากได้รับการช่วยเหลือจากเซียนโอสถท่านนั้น หาก…หากเขาได้รับโอสถวิเศษจากเซียนโอสถ ขอเพียงสักครึ่งเม็ดเท่านั้น…
พอนึกมาถึงจุดนี้ ฝ่าบาทพลันฉายแววประกายสายตาละโมบส่องสว่างเกินจะหักห้าม ยกมือทั้งสองข้างขึ้นไพล่หลัง หันเข้าสบสายตาเย่หลีเทียน กล่าวว่า
“ข้าจะลองเชื่อคำพูดของนางไปก่อน และรอคอยเป็นเวลาสามปีนับแต่นี้ ทางไป๋หลี่หานเองมันก็มีกำลังคนของมันอยู่ ได้ข่าวอย่างไรจงรายงานเข้ามา มันเองก็อยู่ในวังหลายวันแล้ว ที่เข้าเมืองเฟิงหลี่ในคราวนี้มันมีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่?”
“ฝ่าบาท ฟังว่ามันเข้าเมืองเฟิงหลี่ในครานี้ก็เพื่อรวบรวมสมุนไพรไปรักษาอาการเจ็บป่วยของแม่มันพ่ะย่ะค่ะ”
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของฝ่าบาท เย่หลีเทียนก้มศีรษะกดต่ำลงเล็กน้อย
“เป็นเช่นนั้น”
ฝ่าบาทพยักหน้าทีหนึ่ง แววตาสั่นกระเพื่อมอีกระลอกหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า
“เจ้าพอจะทราบหรือไม่ว่า มันในตอนนี้มีระดับลมปราณอยู่ที่ขอบเขตใด?”
“ครั้งล่าสุดที่ปะทะกัน แลเห็นว่าระดับลมปราณของมันอยู่ที่ขอบเขตราชันย์ม่วง แต่ข้าน้อยคิดว่า…”
เย่หลีเทียนมุ่นคิ้วขมวดเป็นปม เว้นช่องไฟหยุดไปชั่วครู่เพื่อครุ่นคิดไตร่ตรอง ก่อนจะกล่าวขึ้นต่อว่า
“ข้าน้อยคาดการณ์ว่า ขุมพลังความแกร่งกล้าที่แท้จริงของมันน่าจะสูงกว่าขอบเขตราชันย์ม่วงไปแล้ว”
สูงกว่าขอบเขตราชันย์ม่วง?
ฝ่าบาทถึงกับหน้าถอดสี มือไม้อ่อนยวบลงในทันใด เดินย้อนกลับไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาริมจิบ เฝ้ามองผิวชาส่งแรงกระเพื่อมออกไปแช่มช้า กล่าวขึ้นน้ำเสียงอ่อนอีกครั้งว่า
“ฟังว่า ดินแดนอี้เฉิงทั้งมั่งคั่งและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อัครมหาเสนาบดีเย่ เจ้าคิดว่าที่แห่งนั้นพอจะเทียบเทียมกับจักรวรรดิตงหลี่ของเราได้หรือไม่?”
ถึงแม้น้ำเสียงจะฟังดูธรรมดาเรียบเฉย ทว่ากลับซ่อนแฝงไปด้วยจิตสังหารอันลึกล้ำไร้สิ้นสุด
“จักรวรรดิตงหลี่นั้นกว้างใหญ่ไพศาล จะไปเทียบกับดินแดนอี้เฉิงที่เป็นดั่งมดตัวเล็กตัวน้อยได้อย่างไร? อย่างไรเสีย ราชาหมาป่าสวรรค์เก่งกาจทั้งด้านการรบและปกครอง ฝ่าบาทโปรดระวังมันไว้เป็นการดีที่สุด”
สิ้นเสียงกล่าวจบ เย่หลีเทียนค่อยๆ หุบเปลือกตาลง เส้นสายตาเรียวยาว ทอประกายแสงเยียบเย็นออกมาปราดหนึ่ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝ่าบาทก็ได้แต่จับจ้องถ้วยชาในมือเงียบงันอยู่แบบนั้น คลื่นความหนาวเหน็บแผ่กระจายไปทั่วทั้งใบหน้า ร่องรอยความวิตกกังวลหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เพียงคำพูดไม่กี่คำของเย่หลีเทียนกลับสร้างระลอกคลื่นอารมณ์ผวนขนาดใหญ่ยักษ์ถาโถมใส่จิตใจของเขาได้รุนแรงนัก
ไป๋หลี่หาน…เป็นดั่งเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มตำจิตใจของเขาเรื่อยมาตั้งแต่อดีต เพราะคนที่ทั้งรักใคร่และโปรดปรานในตัวไป๋หลี่หานที่สุดคนหนึ่งก็คือ จักรพรรดิองค์เก่าที่ได้ล่วงลับจากไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะช่วงเวลาที่จักรวรรดิองค์เก่าสวรรคตไป ไป๋หลี่หานยังมีอายุได้เพียงแปดถึงเก้าขวบเท่านั้น ปานนี้คงยากที่จะระบุเช่นกันว่า คนที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ในตอนนี้เป็นใครกันแน่?
หลังจากที่เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์เป๋นจักรพรรดิองค์ต่อมา เขาก็สั่งฆ่าล้างขุนนางทุกคนที่อยู่ฝ่ายสนับสนุนไป๋หลี่หานโดยสิ้นไม่มีเหลือ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อรักษาอำนาจอิทธิพล มิให้บัลลังก์ที่ตนนั่งอยู่ต้องสั่นคลอน ต่อมา เพื่อลบล้างตัวตนของไป๋หลี่หาน เขาจึงอาศัยอำนาจขององค์จักรพรรดิเข้าปราบปรามอีกฝ่าย และตั้งชื่อใหม่ว่า ราชาหมาป่าสวรรค์ พร้อมเนรเทศไป๋หลี่หานกับแม่วัยชราของเขาในวัยแปดสิบเก้าปี ไปอยู่ในดินแดนชนบทอันแสนยากจนข้นแค้นอย่างเมืองอี้เฉิง เดิมทีเขาตั้งใจไว้ว่า จะปล่อยให้ไป๋หลี่หานกับแม่ของมันตรอมใจตายให้พ้นๆ สายตาไป แต่ใครจะคิดว่า เมืองอี้เฉิงในปีนั้นที่ยากจนข้นแค้น ไร้ซึ่งพัฒนาการใดๆ จะเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเรื่อยๆ จนมีรากฐานเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีพอ จนยกระดับจากเมืองชนบท กลายมาเป็นเอกเทศที่มีดินแดนเป็นของตัวเอง ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากความสามารถในการบริหารจัดการของไป๋หลี่หานทั้งสิ้น และตอนนี้ดินแดนอี้เฉิงก็กำลังเติบใหญ่ใกล้จะทัดเทียมกับจักรวรรดิตงหลี่ได้แล้ว
เหลือแค่เวลาเท่านั้น….
“อัครมหาเสนาบดีเย่ ข้าจะเชื้อเชิญไป๋หลี่หานไปรับชมงานประลองของสี่จักรวรรดิที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า เพื่อเบี่ยงความสนใจของมันเอง เจ้าอาศัยเวลานี้ รีบไปรวบรวมยอดฝีมือชั้นแนวหน้าในตงหลี่มาโดยไว”
หลังครุ่นพินิจกับตัวเองอยู่สักครู่ ฝ่าบาทก็ลืมตาตื่นขึ้น เหลียวสายตาหยุดลงที่ตัวเย่หลีเทียนพร้อมออกคำสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เย่หลีเทียนขานตอบเสียงดังฟังชัด
ปรากฏว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไป๋หลี่หานกับฝ่าบาทกลับเป็นไปในทางลบ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ เขาวางแผนที่จะระดมคนเพื่อเข้าจัดการไป๋หลี่หานอย่างเด็ดขาด เซียถงดักฟังต่ออีกสักครู่ แต่บทสนทนาท้ายหลังจากนั้น โดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรกับนางแล้ว จึงลอบหยิบกระเบี้องแผ่นนั้นใส่กลับเข้าช่องไฟเดิมบนหลังคา และฉายโอกาสยามรัตติกาลยามดึก ลอบแฝงตัวเข้าไปในเรือนนอนของไป๋หลี่อวี๋อิงทันที
ตำหนักที่อยู่อาศัยของไป๋หลี่อวี๋อิงอยู่ใกล้กับสระบัวโลหิต เรือนทุกหลังล้วนถูกทาด้วยสีแดงเลือด เนื้อสีสม่ำเสมอเหมือนได้รับการบูรณะดูแลอย่างดีโดยตลอด ดูท่านางจะชอบสีแดงเลือดมากจริงๆ
ปีนขึ้นหลังคาและใช้นิ้วเซาะกระเบื้องเปิดช่องออกมาดังเดิม เซียถงมองเข้าไปในเรือนนอนสว่างไสวหลังนี้ สถาปัตยการตกแต่งดูหรูหรา ปรากฏเทียนสีแดงเล่มหนึ่งตั้งโต๊ะส่องแสงสว่าง ไป๋หลี่อวี๋อิงมาในชุดแพรพรรณสีแดงยาว นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่จันทร์ แกะสลักลวดลายวิจิตรสีม่วงเข้ม มือข้างซ้ายถือก้อนหมึกเขียนคิ้ว ส่วนมือข้างขวาถือกระจกสีทองแดง
แส้สีดำยาวประจำตัวนางแขวนอยู่บนตู้เสื้อผ้าไม้ทางฝั่งขวาของนาง สาวรับใช้นางหนึ่งในชุดผ้าหยาบสีขาวอยู่ด้านหลัง กำลังหวีผมเผ้ายาวสลวยดั่งเส้นไหมนุ่มด้วยความระมัดระวัง
“ข้ากับนังเซี่ยเสวี่ยเหลียง ใครสวยกว่ากัน?”
นางปริปากถามสาวรับใช้ที่อยู่เบื้องหลัง ขณะกำลังมุ่งสมาธิกับการเขียนคิ้วอยู่
“องค์หญิงอวี๋อิงสิเจ้าค่ะ ท่านคือสตรีงามอันดับหนึ่งบนผืนพิภพแห่งนี้”
สาวรับใช้หยุดมือเล็กน้อย เหลือบมองไป๋หลี่อวี๋อิงผ่านภาพสะท้อนจากกระจกสีทองแดง
ใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ภายในกระจกสีทองแดง รูปลักษณ์ดูเย็นชาไร้ความรู้สึกประดุจราชินีน้ำแข็ง ริมฝีปากบางอมชมพูสวย หางตาเรียวยาวระหงเป็นคู่คมบาง น่าหลงใหลและทรงเสน่ห์ไม่ว่าจะมองทางซ้ายหรือขวา บุรุษเพศคนใดได้เห็นต่างต้องรู้สึกลุ่มหลง
ไป๋หลี่อวี๋อิง นางช่างงดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ