ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 65 มาขอทาน
ตอนที่65 มาขอทาน
“หม่อมฉันไม่มีคัมภีร์วรยุทธ์อะไรทั้งนั้น ทั้งหมดที่สำแดงใช้ออกไปล้วนได้รับการถ่ายทอดจากเฒ่าประหลาด”
เซียถงตอบสวนกลับไปโดยไม่มีลังเล ท่านแม่ยอมทนทุกข์ทรมานนานหลายปีก็เพื่อปกป้องคัมภีร์วรยุทธเล่มนั้น แต่นางก็ไม่มีวันต้องฝังศพแม่เพื่อคัมภีร์วรยุทธ์เล่มหนึ่งเช่นกัน และตอนนี้นางก็มีแผนการอยู่ในใจแล้ว ขณะเอ่ยกล่าวออกมา สายตาคู่คมกริบฉายแววเคร่งขรึม จู่ๆ นางก็ลุกขึ้นยืนพรวดขึ้นมาต่อหน้าฝ่าบาท ยกมือขวาเผยแสดงมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในฝ่ามือโดยตรง
“ช่างกล้า?!!”
ทีแรกฝ่าบาทคิดว่า นางจะใช้มีดสั้นเล่มนี้ลอบปลงพระชนม์ตนเอง สีหน้าการแสดงออกจึงแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก รีบยกสองมือระดมลมปราณผนึกเป็นชุดเกราะ ปกป้องบริเวณหน้าอกโดยไว เร่งสืบเท้าร่นถอยออกมานับหลายสิบก้าว ทางด้านไป๋หลี่หานถึงกับหรี่ตา ยืดเหยียดมือขวาพุ่งออก เตรียมจะแย่งมีดสั้นในมือของนางอย่างว่องไว แต่ใครจะไปคิดไปฝัน…จู่ๆ นางก็บิดข้อมือกลับมา จ่อคมมีดจี้ลำคอตนเองโดยตรง!
ทั้งฝ่าบาทและไป๋หลี่หานต่างหยุดชะงักในบัดดล จับจ้องปลายคมมีดทอแสงประกายเย็นเยียบที่จ่อติดลำคอระหงสีขาวผ่อง บรรยากาศโดยรอบเสมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง
“ถึงแม้ฝ่าบาทยังมอบเห็ดหลินจือมรกตมีพิษ แต่คนที่มอบน้ำแกงให้แม่กลับเป็นตัวข้าเอง หากแม่ของข้าต้องตายจากไป ตราบาปนี้ย่อมฝังลึกสุดหัวใจผู้เป็นลูก ในเมื่อฝ่าบาทไม่เต็มใจช่วยเหลือข้า เช่นนั้นข้าเองก็ไม่มีหน้าอยู่บนผืนพิภพแห่งนี้ต่อไปแล้ว”
เซียถงกระชับด้ามมีด ค่อยๆ ออกแรงดันแช่มเข้าไป ปลายคมมีดกดลึกฝังเข้าเนื้อเล็กน้อย ปรากฏธารเลือดซิบสีแดงฉานสายหนึ่งรินไหลลงมา สีสันตัดกับลำคอเนียนขาวประดุจหิมะ จะเห็นได้ชัดเจนยิ่ง
ภาพฉากทุกขณณะที่เห็น เกิดขึ้นเร็วมากจนแทบไม่มีเวลาตั้งตัว คมมีดสั้นจมลึกเข้าไปเรื่อยๆ เซียถงนับว่าใจเด็ดยอมเอาตัวเองมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายถึงปานนี้จริงๆ
เพราะจะอย่างไร ตอนนี้นางเหลือเวลาไม่มากแล้ว และไม่มีเวลามาเล่นแง่เล่นถามตอบกับฝ่าบาทเช่นกัน ดังนั้น เซียถงจึงต้องใช้ชีวิตตัวเองเข้าล่อ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่ว่า วรยุทธที่นางได้รับมาเป็นของตระกูลหลี่หรือได้รับถ่ายทอดจากเฒ่าประหลาด แต่ความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่มิอาจปฏิเสธได้ก็คือ คนเดียวที่ล่วงรู้ถึงเนื้อหากระบวนวรยุทธ์ในปัจจุบันก็คือ เซียถง หากฝ่าบาทอยากที่จะได้วรยุทธดังกล่าวจริงๆ เขาจะไม่มีวันปล่อยให้นางฆ่าตัวตายไปง่ายๆ แน่นอน และหากเป็นกรณีสุดวิสัย อีกฝ่ายลังเลใจจนห้ามไม่ทัน ข้างกายของนางก็ยังมีไป๋หลี่หาน อาศัยขุมพลังสุดแกร่งกล้าของเขา เซียถงไม่เชื่อว่า เขาจะเข้ามาห้ามปรามคมมีดนี้ไม่ทัน
“เดี๋ยวก่อน! ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะช่วยแม่ของเจ้าเอง! องค์หญิงอวี๋อิงน่าจะมีโอสถปราณระดับสองอยู่บ้าง ตามข้ามา!”
ฝ่าบาทถึงกับหน้าถอดสีแปรเปลี่ยนเป็นอย่างมาก รีบตะโกนหยุดเซียถงลั่นสุดเสียง หากนางตายไปตอนนี้ ความหวังทั้งหมดที่เคยมีจะต้องสูญเปล่าไม่เหลือ!
ไป๋หลี่หานหันขวับมองดูปลายคมมีดที่บาดลึกเข้าลำคอเรื่อยๆ เสมือนเขาเองก็ถูกคมมีดเข้ากรีดแทงหัวใจไม่ต่าง ชั่วพริบตาเดียว เขาพุ่งพรวดตรงเข้ามาคว้าข้อมือนางหยุดเอาไว้โดยไว หยุดมิให้ลำคอเกิดบาดแผลลึกไปมากกว่านี้
เซียถงขมวดคิ้วเล็กน้อย แสร้งชักสีหน้าไม่พอใจ เงยหน้าสบสายตาอันลึกล้ำของอีกฝ่าย ภายในใจแอบแสยะยิ้มอย่างลับๆ ทุกอย่างเป็นไปตามที่นางคำนวณสมบูรณ์แบบ
นางถอดถอนสายตา หันไปมองที่ฝ่าบาท รีบตัดสลับกลับเข้าบทซาบซึ้ง บีบน้ำตาจนคลอเบ้า กล่าวขอบคุณขึ้นทันทีว่า
“ฝ่าบาททรงเมตตา! เร็วเข้าเถิดท่าน ยามนี้ไม่เหลือเวลาให้รั้งรออีกต่อไป เปลวไฟชีวิตของท่านแม่ข้าใกล้ดับมอดเต็มทน รีบไปหาองค์หญิงอวี๋อิงโดยเร็วเข้า”
“หากเจ้าพบเจอเฒ่าประหลาดท่านั้นในอนาคต จงอย่าลืมแนะนำให้ข้ารู้จัก”
ฝ่าบาทส่งสายตามองเซียถงเจือแววขุ่นเคือง สะบัดแขนเสื้อยาวเดินจากออกไป
ยามนี้แก้วตาคู่นั้นของฝ่าบาทช่างดูหม่นประกายสิ้นดี คล้ายจะเพิ่งรู้ตัวว่า ตนได้ทำอะไรบางอย่างผิดพลาดลงไป เมื่อครู่เป็นที่ชัดเจน เซียถงจงใจปั่นหัวเขาเท่านั้น พึงทราบดีว่า คนอย่างเขาไม่ยอมตกลงด้วยโดยง่าย จึงอาศัยช่วงจังหวะที่เขาประมาท ลำพองคิดว่าตนเองมีอำนาจต่อรองเหนือกว่า ทำให้เรื่องทุกอย่างโกลาหลตื่นตูมชั่วขณะ และอาศัยโอกาสนั้น พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอีกครั้ง
‘สิ่งใดที่องค์จักรพรรดิตรัสไปแล้ว ล้วนไม่มีคืนคำ’ ประโยคดังกล่าว นับเป็นดาบสองคมโดยแท้
สุดท้ายนี้ ฝ่าบาทเผลอหลุดปากออกไปแล้ว คงต้องทำตามสัญญาด้วยความจนใจ ทำได้เพียงเดินนำทางไปยังตำหนักขององค์หญิงอวี๋อิง พร้อมกับความขื่นขมภายในใจ
เมื่อมาถึงเรือนพักของไป๋หลี่อวี๋อิง เจ้าตัวก็เตรียมจะเข้านอนแล้ว แต่พอได้ยินสาวรับใช้วิ่งเข้ามารายงานว่า ฝ่าบาทเสด็จมาพบ จึงต้องรีบตรงไปยังเรือนรับแขก หลังจากทำความเคารพเสร็จสรรพ ฝ่าบาทก็ก้าวฉับเข้ามากุมมือนางไว้แน่น ทำเอาไป๋หลี่อวี๋อิงอุทานขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“ฟังว่ามาหายามดึกปานนี้ ต้องการโอสถหรือเสด็จพ่อ?”
“อิงเอ๋อร์ เจ้ามีโอสถปราณระดับสองสักเม็ดหรือไม่?”
ฝ่าบาทจับจ้องนางตาเป็นประกาย เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
เขารักบุตรสาวคนนี้เป็นที่สุดแล้วในบรรดาบุตรทั้งหมดของเขา นอกจากความงดงามดั่งเทพธิดาที่นางครอบครอง สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างก็คือ พรสวรรค์ในเส้นทางหลอมกลั่นโอสถของนาง ปัจจุบัน ฝีมือหลอมกลั่นโอสถของนางบรรลุไปไกลถึงขอบเขตราชาโอสถแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทจึงตามใจนางทุกประการ
“โอสถปราณระดับสอง? ใครกันที่สามารถเรียกสั่งเสด็จพ่อ ให้เดินทางมาหาข้ายามดึกดื่นเพื่อขอโอสถสักเม็ดได้?”
เมื่อได้ยินว่า ฝ่าบาทเดินทางมาขอโอสถ นางก็สงสัยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ประการแรก อาศัยระดับความแข็งแกร่งของเสด็จพ่อ ทอดสายตาทั่วทั้งจักรวรรดิตงหลี่ มีผู้ใดบ้างสามารถทำให้เสด็จพ่อได้รับบาดเจ็บจนต้องมาขอโอสถรักษาได้? ประเด็นในข้อนี้จึงถูกปัดตกไป ดังนั้นเสด็จพ่อจะต้องออกหน้าขอโอสถจากนางเพื่อใครบางคน พอคิดมาถึงจุดนี้ ไป๋หลี่อวี๋อิงถึงกับขมวดคิ้วถักแน่นเข้าหากันทันที
“บุตรสาวของเสนาบดีเซี่ย เซียถง นางเดินทางมาที่วังหลวงเพื่อขอโอสถไปมอบแก่แม่ของนาง ข้าเองก็ซาบซึ้งในความกตัญญูของนางเช่นกัน ก็เลยอาสาออกหน้ามาหาเจ้า อิงเอ๋อร์ เจ้าพอจะมีโอสถปราณระดับสองบ้างหรือไม่?”
พอได้ยินเช่นนั้น ไป๋หลี่อวี๋อิงถึงกับชะโหงกหน้าจับจ้องเซียถงที่หลบอยู่ด้านหลังเสด็จพ่อของนางทันควัน ไอเย็นชาทอประกายวาบผ่านดวงตาคู่สวย
โอสถปราณระดับสองนับเป็นสิ่งหายากยิ่งในจักรวรรดิตงหลี่ ก่อนหน้านี้ไม่นาน ไป๋หลี่อวี๋อิงกับเซียถงเพิ่งมีเรื่องกันหมาดๆ หากยอมมอบให้โดยดี เกรงว่าฝันไปแล้ว
เพราะเหตุนั้นเอง เซียถงจึงพยายามหลบหน้า ไม่อยากให้ไป๋หลี่อวี๋อิงเห็นนาง ทว่าตอนนี้ ฝ่าบาทกลับเอ่ยขาน เรียกชื่อ เซียถง ออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ ซึ่งนางกระจ่างชัดแจ้งดีอยู่ในใจ ฝ่าบาทจงใจกล่าวเช่นนี้ออกไป หวังเพื่อที่จะยืมมือของไป๋หลี่อวี๋อิงสร้างปัญหายากเย็นมอบให้แก่นาง
ปราศจากทางเลือกอื่นใด เซียถงก้าวย่างเดินตรงออกไป พร้อมโค้งคำนับไป๋หลี่อวี๋อิงและกล่าวว่า
“หม่อมฉัน เซียถง โปรดมอบโอสถปราณระดับสองด้วยเถิด”
ไป๋หลี่อวี๋อิงเลิกคิ้ว เชิดหน้าสูง กดสายตามองต่ำลงใส่นางอย่างเย่อหยิ่ง เห็นได้ชัดแจ้ง ดูท่านังอัปลักษณ์นี่จะต้องการโอสถในมือนางจริงๆ ทันใดนั้นถึงกับปั้นหน้าหยิ่งผยองลำพองตน แสยะยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนมุมปาก เอ่ยถามน้ำเสียงเชิงเย้าหยอกขึ้นว่า
“เจ้าทำร้ายร่างกายข้าช่วงบ่าย แต่ยามนี้กลับมาขอทานเสียนี่ ต้องการโอสถจากข้า? แล้วคิดว่าข้าจะให้หรือไม่?”
“อิงเอ๋อร์ หากเจ้ามีโอสถปราณระดับสองก็จงมอบให้นางไปเถอะ หนึ่งชีวิตกำลังมีความเสี่ยง เจ้ามิอาจรั้งรอเวลาเช่นนี้ได้”
ฝ่าบาทรีบเร่งกล่าวเสริมออกมาทันใด เพื่อจะย้ำจุดยืนให้ไป๋หลี่อวี๋อิงฟังเป็นนัยว่า ยามนี้พวกเขากำลังได้เปรียบเซียถงมากปานใด แต่โดยผิวเผิน สีหน้าการแสดงออกของเขากลับดูร้อนใจ มิได้แสดงออกมาในทางนั้นเลย
“เสด็จพ่อ ข้าย่อมมอบโอสถให้ใครผู้ใดก็ได้ตามท่านประสงค์ แต่สำหรับนางกลับไม่มีคุณสมบัตินั้น” ’
ไป๋หลื่อวี๋อิงกระตุกยิ้มเยาะ หางตาปรายมองเซียถงด้วยความหยิ่งผยองขั้นสุด ในเวลานี้นางยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ ถึงแม้เสด็จพ่อสัญญาไปว่าจะมอบความช่วยเหลือแก่เซียถง แต่ถ้าหากนางไม่ยอมมอบโอสถให้ ก็นับเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เช่นกัน
สุดท้ายนี้เสด็จพ่อก็มิได้ทำผิดสัญญาอะไร
“องค์หญิงอวี๋อิงโปรดชี้แจง ทำอย่างไรท่านถึงจะยอมมอบโอสถปราณระดับสองแก่ข้าได้?”
เซียถงเดินตรงเข้าไปหาไป๋หลี่อวี๋อิง เงยหน้าสบสายตานางโดยตรง
“กล้าดียังไงมามองหน้าข้าเช่นนี้? หน้าไม่อาย!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงขมวดคิ้วถักแน่น ยกมือฝ่าสีขาวผ่องประดุจหิมะขึ้นมา พร้อมหวดใส่หน้าเซียถงอย่างแรง
เซียถงเคลื่อนสายตาเข้าจับจ้องฝ่ามือที่กำลังหวดเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ รูม่านตาดำขยับขยายกว้างขึ้นกะทันหัน รัศมีแรงกดดันอันเย็นยะเยือกขุมหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากร่างกายตามสัญชาตญาณ แต่สุดท้ายนางจำต้องระงับเพลิงโทสะเก็บงำไว้ในใจ ยืนนิ่งมองไป๋หลี่อวี๋อิงอยู่แบบนั้น รับฝ่ามือตบของอีกฝ่ายดังฉะใหญ่โดยไม่แม้แต่กะพริบตาเลยสักนิด