ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 66 เฆี่ยนตี
ตอนที่66 เฆี่ยนตี
หนึ่งเสียงตบดัง ‘เพี้ยะ’ กึกก้องสนั่น ทำเอาผู้คนโดยรอบ อดใจสั่นขวัญเสียมิได้ ไป๋หลี่อวี๋อิงถอนฝ่ามือออกมา แก้มซ้ายของเซียถงกลายเป็นสีแดงบวมเป่งขึ้นมาทันที
“ทำอย่างไรองค์หญิงอวี๋อิงถึงจะมอบโอสถปราณระดับสองแก่หม่อมฉัน?”
เซียถงยังคงจับจ้องนางไม่วางตา เรียวตาระหงยาวช่างสงบนิ่งดั่งผิวน้ำทะเลสาบไร้ระลอกคลื่น กล่าวให้ถูกคือ การตบเมื่อครู่มิได้ทำให้นางรู้สึกระคายด้วยซ้ำ
“ไฉนข้าถึงต้องให้เจ้าด้วย?”
ไป๋หลี่อวี๋อิงมองสวนตอบพร้อมรอยยิ้มเยาะ ผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นคำหนึ่งกล่าวต่อว่า
“หากเจ้าสามารถขจัดความแค้นภายในใจของข้าออกไปได้ ข้าอาจมอบให้แก่เจ้า”
ทันใดนั้นเองรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์พลันถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเหี้ยม สาวตาคู่เฉี่ยวดุจวิหคเพลิงสาดใส่เซียถงไม่คลายอ่อน เสมือนกับต้องการกลืนกินนางลงไปทั้งเป็น
“ตกลง”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงไป๋หลี่อวี๋อิงดี เซียถงขานตอบรับทันทีโดยไม่มีลังเล
กล่าวจบ เสียงตบดัง ‘เพี้ยะ’ ขี้นคำรบหนึ่ง รอบนี้ไป๋หลี่อวี๋อิงสะบัดหลังมือตบกลับ เซียถงยังคงรักษาท่าทางสงบเสงี่ยมดังเดิม ยืนนิ่งจ้องหน้าอีกฝ่าย ท่าทางสงบนิ่งผิดวิสัย ปราศจากท่าทีตอบโต้ใดๆ ตราบเท่าที่ไป๋หลี่อวี๋อิงสามารถนำโอสถปราณระดับสองมามอบแก่นางได้ แลกกับเพียงเท่านี้ยังนับว่าทนได้
ยิ่งเห็นใบหน้าของเซียถงสงบนิ่งปานใด นี่ยิ่งจุดไฟความโกรธภายในใจของไป๋หลี่อวี๋อิงขึ้นโหมทวี ประดุจเพลิงโทสะปะทุเดือดดาลขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยเหตุผลใดมิทราบ นางสัมผัสได้ว่า ใจดวงนี้บีบแน่นไม่คลาย แทนที่จะต้องรู้สึกโล่งที่ได้ระบายอารมณ์ออกไป ทว่ากลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ยกฝ่ามือขึ้นหวดอีกครา เสียงตบอีกฉะใหญ่ดังกระหึ่มขึ้น ไป๋หลี่อวี๋อิงกระหน่ำตบหน้าเซียถงนับหลายสิบชุดต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน แต่ละครั้งที่วาดรัศมีลวดลาย ล้วนบรรจงสุดแรงเกิด
พวงแก้มสีขาวปนรอยด่างดำหลายจุดมากมาย ยามนี้บวมแดงแทบปริแตก เลือดสีแดงสดรินไหลออกมาจากมุมปากเป็นหนึ่งหนึ่ง หยดติ๋งลงบนชุดสีดำเปียกชุ่ม แต่ถึงแบบนั้น เซียถงก็ยังยืนตัวตรง ผงาดมั่นคงตรงหน้าไป๋หลี่อวี๋อิงต่อไป แก้วตาคู่นั้นสงบนิ่งเป็นอย่างมาก พินิจมองใบหน้าของนาง ไม่มีทั้งร่องรอยขมวดคิ้ว ไม่มีเอี่ยงศีรษะเบี่ยงหลบ ร่างกายไม่มีขยับเขยื้อนเลยสักส่วน เสมือนเสาเหล็กหล่อแข็งตั้งตระหง่านทนฟ้าฝน
ยิ่งเห็นเซียถงสงบได้ปานนี้ ยิ่งทำให้ไป๋หลี่อวี๋อิงหงุดหงิดร้อนใจเจียนอกแตกตาย! นางกระหน่ำฝ่ามือตบเซียถงไม่รู้กี่สิบร้อยแล้ว มันก็ควรร้องไห้หรือโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดมิใช่รึ? ทว่าตอนนี้…อย่าว่าแต่มันจะไม่บ่นอะไรออกมาสักคำ กระทั่งกะพริบตายังไม่มี! น่าหงุดหงิดเหลือเกิน! ภาพฉากนี้ได้กระตุ้นโทสะของนางจนระเบิดคลั่งออกมาอย่างสุดซึ้ง!
จะเห็นได้ชัดแจ้ง ตอนนี้มือข้างที่ตบของไป๋หลี่อวี๋อิงชาไปถึงปลายนิ้วแล้ว ถึงขั้นสั่นระริกไม่หยุด แต่ถึงแบบนั้นนังอสุรกายอัปลักษณ์ที่อยู่เบื้องหน้ากลับมิได้แสดงท่าทางเจ็บปวดใดๆ ออกมาเลยสักนิด หรือเป็นไปได้ไหมว่า ผิวหนังของมันจะเป็นเหล็กกล้า?
ใจดวงนี้โหดเหี้ยมไร้ปรานี สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเลือดเดือดทะลักล้นไปทั่วสายตาอันโฉดชั่ว เสมือนมีลำแสงสีแดงเดือดยิงออกมาจากดวงตาของไป๋หลี่อวี๋อินออกมาได้ ชั่วอึดใจขณะ นางคว้าแส้ยาวที่เหน็บตรงเอวขึ้นมา ง้างวงเปิดรัศมีเตรียมฟาดใส่เซียถงโดยทันที
เห็นนำใช้เป็นแส้ยาวโบกสะบัดเคว้งคว้างกลางอากาศราวกับมังกรพเนจรท่องเวหา ไป๋หลี่หานถึงกับหรี่ตาลง ขณะกำลังจะปริปากกล่าว พลันเห็นเป็นฝ่าบาทที่ก้าวย่างตรงออกมา เอื้อมมือคว้าแส้ยาวที่พวยพุ่งเข้าใส่เซียถงกลางอากาศ ขมวดคิ้วใส่ไป๋หลี่อวี๋อิง กล่าวว่า
“อิงเอ๋อร์ พอแล้ว นำโอสถมอบแก่เซียถงซะ”
โทษทัณฑ์นี้นับว่าเพียงพอแล้ว เขาไม่ต้องการจะทำตัวแข็งกร้าวต่อเซียถงมากจนเกินไป ถึงเวลาที่ควรหยุด นั่นหมายความว่าก็ควรหยุด
“หากวันนี้ข้ายังมิได้ชำระล้างความขุ่นเคืองในใจ มันก็ไม่มีวันได้โอสถไป!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงชักแส้ยาวกลับมาจากมือฝ่าบาท จับจ้องเซียถงตาเขม็งพร้อมเสียงขบฟันดังกรอด
“ฝ่าบาทโปรดอย่าได้กังวล หากการเฆี่ยนตีสามารถขจัดความคับแค้นจากหัวใจนางไปได้ หม่อมฉันก็ยินดีรับไว้”
สายตาคู่คมของเซียถงยังคงจับจ้องไป๋หลี่อวี๋อิงไม่คลายอ่อน สีหน้าช่างแน่วแน่ไม่มีไหวติง
ได้ฟังความกล่าวเช่นนั้นของเซียถง ฝ่าบาทก็อดเหลียวหลังหันกลับมามองนางมิได้ ใจหนึ่งครุ่นคิดพินิจไตร่ตรอง ก่อนสุดท้ายจะตัดสินใจยกเท้าก้าวถอยออกห่าง ท่าทางความแน่วแน่และแววตาที่เด็ดเดี่ยวปานนี้ ขนาดเขาเองยังต้องยอมรับ นี่หาใช่สิ่งที่ผู้ใดจะมีคุณสมบัติครอบครองโดยง่ายไม่ แต่ความแข็งแกร่งที่หญิงสาวคนนี้มีก็ยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นความระแวดระวังในใจเขาอยู่ดี
แต่เขาเองก็อยากจะเห็นเช่นกัน ภาพฉากที่หญิงสาวผู้เด็ดเดี่ยวนางนี้ต้องยอมจำนนต่อแส้ยาวของมือของบุตรสาวของเขา!
ไป๋หลี่อวี๋อิงจ้องหน้าเซียถงไม่คลายอ่อน สีหน้ามืดทมิฬเดือดดุ สาดเส้นแสงสีแดงโลหิตแวบหนึ่งผ่านแววตา ยกแส้สีดำยาวขึ้นฟาดเสียงตัดอากาศดังหวุบ พุ่งปราดเข้าใส่ร่างกายของเซียถงอย่างแรง
‘ปัง!’
เสื้อผ้าสีดำที่ใส่สวมขาดลุ่ยเป็นชิ้นๆ ปรากฏรอยแดงห้อเลือดขึ้นบนแขนขวาเซียถง แต่ถึงกระนั้น ตัวนางกลับไม่มีปฏิกิริยาเคลื่อนไหวใดๆ เลย ก็ยังยืนนิ่งเสมือนรูปปั้นหิน ปล่อยให้แส้ยาวกระทบร่างกายทั้งแบบนั้น
ไป๋หลี่อวี๋อิงเม้มริมฝีปากบนล่างขบกันแน่น โบกมือขวาข้างที่ถือแส้ตวัดขึ้นมา ก่อนจะโถมน้ำหนักฟาดไปสุดแรงเกิดอีกครา เสียงฉีกกระชากแหวกห้วงอากาศดังฟุบครั้งแล้วครั้งเล่า ดังสนั่นลั่นเป็นจังหวะต่อเนื่อง ฟาดหวดระรัวไม่มีหยุดหย่อน เห็นแค่เพียงเงาแส้นับไม่ถ้วนประดุจห่าพิรุณ
เซียถงยืนกำมือทั้งสองข้างบีบแน่น เล็บทั้งสิบนิ้วจิกแน่นฝักลึกบนเนื้อฝ่ามือ ธารเลือดที่รินซิบจากมุมปากเริ่มทะลักล้นออกมา ทุกแส้ที่ฟันฟาดกระหน่ำลงมา เปรียบดั่งคมมีดแหลมที่ฉีกกระชากเนื้อหนังจากแตกออก เสื้อผ้าแพรพรรณสีดำที่ใส่มาชโลมชุ่มช่ำไปด้วยเลือดสดปนหยาดเหงื่อ ถึงแม้ว่าทุกอณูรูขุมขนทั่วกายาจะรู้สึกได้ถึงกระแสความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่เซียถงยังคงยืนตัวตรงเป็นหิน ไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ
ยิ่งเซียถงดื้อดึงฝืนทนมากเท่าไหร่ ไป๋หลี่อวี๋อิงก็ยิ่งทวีความโหดเหี้ยมมากขึ้นเท่านั้น นางจะต้องเฆี่ยนนังอสุรกายอัปลักษณ์ตัวนี้ จนกว่ามันคุกเข่าร้องขอความเมตตา!
เซียถงยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาสีเข้มขลับดั่งน้ำนิ่งสงบ ชนิดที่ว่าเห็นเส้นขอบฟ้าทอดยาวเป็นเส้นตรงนอน ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดเจือผสมอยู่ในดวงตาคู่เรียวระหงนี้เลย แต่นี่กลับทำให้ทุกคนที่ได้เห็น พลันรู้สึกเสียวสันหลังวูบแทนอย่างไม่มีเหตุผล