ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 69 เพียงเพื่อโอสถ
ตอนที่69 เพียงเพื่อโอสถ
สาวรับใช้ในชุดแพรพรรณสีเขียวเหลือบมองไปทางเซียถงอยู่สองสามครา ก่อนหันกลับไปเอาโอสถจากร้านขายโอสถมา ไป๋หลี่หวงพยุงร่างของนางมาพักยังส่วนเรือนนั่งเล่น ไม่ปล่อยมือคลายออกไปไหน เพราะกล่าวว่านางจะทรงตัวไม่อยู่จนล้มคะมำลงกับพื้น
จำนวนสามร้อยกว่าแส้ที่โดนเฆี่ยนตี ถึงแม้ไป๋หลี่อวี๋อิงจะมีความแข็งแกร่งอยู่แค่ขอบเขตเสาหลักเหลือง แต่อาศัยแส้ยาวสีดำซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์มีชื่อ ผนวกกับต้องยืนทนรับโดยไร้ซึ่งปราการป้องกันใดๆ ต่อให้เป็นเซียถงที่ว่ามีหนังหนา ยังยากที่จะทานทนได้ไหว
ไม่นาน สาวรับใช้ในชุดเขียวก็กลับเข้ามาพร้อมกล่องไม้จันทน์หอคุณภาพสูงในมือที่โอบอุ้มสองข้าง ถือไว้ด้วยความสำรวม เดินตรงไปหาไป๋หลี่หาน กล่าวว่า
“คุณชาย แล้วเรื่องรวบรวมวัตถุดิบยารักษาของมารดาของท่าน…”
ไป๋หลี่หานไม่แม้แต่เหลียวแลสนใจคำถามของนาง แต่หยิบกล่องไม้จันทน์หอมขึ้นมาเปิดออก ภายในนั้นปรากฏเป็นโอสถสีแดงผสมม่วงเม็ดกลมดิกเนื้อเรียบเนียน ก่อนปิดลงและส่งให้เซียถงกล่าวว่า
“โอสถระดับสองอยู่นี่แล้ว”
กลิ่นสมุนไพรหอมกรุ่น ตีออกมาจากกล่องไม้จันทร์หอม ตามเศษเสี้ยวความทรงจำที่มี เซียถตระหนักได้ทันทีว่า นี่คือโอสถระดับสองไม่ผิดแน่
เมื่อได้รับกล่องไม้จันทน์หอมมา เซียถงเหลือบมองไปทางไป๋หลี่หาน เจือแววขอบคุณอยู่หลายส่วน นางกล่าวว่า
“ในภายภาคหน้า ข้าจะหาโอสถระดับสองมาคืนแก่เจ้า”
คล้อยหลังกล่าวจบ นางก็หันหลังเตรียมจะจากไปพร้อมกล่องไม้จันทน์หอมในมือ
“คุณชาย! ท่านจะมอบโอสถเม็ดนั้นแก่นางได้อย่างไร? แล้วชีวิตของมารดาท่านล่ะเจ้าค่ะ? โอสถปราณระดับสองเม็ดนี้เป็นวัตถุดิบหลักที่มิอาจขาดไปได้สำหรับกระบวนการรักษามารดาของท่าน”
เมื่อเห็นว่าเซียถงกำลังจะเดินจากไป สวาวรับใช้ในชุดสีเขียวก็รีบคัดค้าน เปล่งเสียงดังลั่นอย่างไม่สบอารมณ์เลยยสักนิด วิ่งไปขวางทางประตูไม่ปล่อยให้เซียถงออกไป เคลื่อนสายตาไปหยุดลงบนร่างของไป๋หลี่หาน แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความกังวลตามสัญชาตญาณ
“วัตถุดิบสำหรับรักษาท่านแม่ข้ายังมิได้เริ่มรวบรวมเลยด้วยซ้ำ โอสถเม็ดนี้ยังไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับข้า เก็บไว้เปล่าๆ ก็เสียของ สู้ให้คนที่จำเป็นต้องใช้ในปัจจุบันทันด่วนไม่ดีกว่ารึ? รอจนกว่าข้าผู้นี้จะรวบรวมวัตดุอื่นๆ ได้จนครบ ถึงตอนนั้นค่อยตามหาโอสถปราณระดับสองอีกสักเม็ดจะเป็นไร?”
เป็นที่ชัดแจ้ง สถานะของสาวรับใช้ในชุดเขียวนางนี้มิได้ต่ำตม ถึงขนาดที่ว่าไป๋หลี่หานเอ่ยอธิบายเสียงนุ่มให้อีกฝ่ายฟัง
ซึ่งประโยคดังกล่าวนี้ของไป๋หลี่หาน ก็ทำให้ฝีเท้าของเซียถงพลันหยุดชะงักนิ่ง หันมาจับจ้องเขาด้วยความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง สามารถเห็นจากเงาสะท้อนจากแววตาคู่สวย ก่อนจะหันกลับมา กล่าวรับปากกับสาวรับใช้ชุดเขียวอย่างจริงใจว่า
“โปรดเชื่อข้า บุญคุณครั้งนี้ ข้าย่อมต้องตอบแทน”
“เหอะ แล้วจะมีปัญญาเอาอะไรมาคืน? หากเสาะหาโอสถปราณระดับสองเองได้ ไฉนถึงต้องมาขอจากคุณชายด้วยล่ะ?”
พินิจมองจากรอยแผลทั่วทั่งร่างและรูปโฉมที่อัปลักษณ์ของเซียถง สาวรับใช้ในชุดเขียวก็ปราศจากความเกรงใจใดๆ ต่อนาง ยกมือเท้าสะเอว เอ่ยถามวาจาคมคายเหลือล้น
“ชิงซาน หลีกไป!”
ไป๋หลี่หานจ้องชิงซานตาเขม็งเย็นชาอย่างยิ่ง
สัมผัสเข้ากับสายตาของไป๋หลี่หานที่ทมิฬหม่นลง ชิงซานได้แต่เม้มริมฝีปากกัดแน่น ก้าวย่างสับออกไปดังตึงตังหลีกทางให้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ต้นเหตุเป็นเพราะ กว่าที่คุณชายจะเสาะหาโอสถปราณระดับสองเม็ดนี้พบมิได้ใช้เวลาน้อยๆ แต่สุดท้ายกลับต้องยกมันให้แก่หญิงขี้เหร่ไม่คุ้นหน้าจากไหนมิทราบ แล้วเช่นนี้จะให้นางมีความสุขได้ยังไง?
เซียถงเดินจากเรือหลังนั้นออกมาพร้อมกับโอสถระดับสองในมือ ด้วยใจอันเด็ดเดี่ยว รีบมุ่งหน้ากลับไปจวนเสนาบดีโดยไว แต่พอย่างก้าวออกจากประตูเรือนได้เพียงไม่กี่ก้าว กระแสความอ่อนล้าขุมใหญ่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างของนางโดยฉับพลัน แข้งขาทั้งสองข้างถึงกับอ่อนยวบ เดินโซซัดโซเซไปมา พยายามพยุงตัวยืดเหยียดให้ตรง สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่กำเริบขึ้นจากบาดแผลทั่วตัว เสมือนมีฝูงมดนับพันหมื่นตัวกำลังรุมกัดซาบซ่า
พอยกมือถกเสื้อขึ้นมาดู นางก็พบว่า บาดแผลที่ชุ่มชโลมเลือดสีแดงสดก่อนหน้า ยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำแล้ว เป็นที่ชัดแจ้ง แส้ดังกล่าวมียาพิษเคลือบ ข้อสันนิษฐานนี้ผุดขึ้นในห้วงสมองของนางบัดดล
กระชับจับกล่องให้ถนัดมือมิให้หลุดร่วง นางรวบรวมลมปราณทั้งหมดทั่วกายา เร่งความเร็วกลายเป็นประกายเงาสายหนึ่ง ตีฝีเท้ารีบวิ่งกลับจวนอย่างเดือดดุ เวลานี้ใกล้ครบหนึ่งชั่วยามเต็มทน นางต้องส่งมอบโอสถเม็ดนี้ถึงตัวแม่ของตนให้ทัน
หลังจากวิ่งไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ พลังลมปราณทั้งหมดที่ไหลเวียนอันตรธานหายไปไร้ร่องรอย เสมือนพลังงานไฟฟ้าหยุดจ่าย บาดแผลทั่วทั้งร่างเริ่มเน่าเปื่อย ทวีอาการคันจนแทบขาดสติทนไม่ไหว จนสุดท้ายก็ล้มคะมำกับพื้นไปทั้งแบบนั้น แต่เสี้ยวขณะที่ร่างล้มลง นางรู้สึกได้ว่า มีใครบางคนเข้ามารองรับสนับสนุนเอาไว้ สัมผัสได้ชัดเจนถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือคู่ใหญ่ใต้แผ่นหลังของนาง รวบรวมพลังที่เหลือเหลียวหลังหันมองกลับไป ก็พบว่าเป็นไป๋หลี่หานที่มาช่วยเหลือ ไม่ทราบว่าทำไม แต่เซียถงกลับรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง”
ไป๋หลี่หานบอกกับนาง หลังจากกล่าวจบไม่มีรีรอช้า เขาอุ้มนางขึ้นในอ้อมแขนและสำแดงใช้ท่าเท้าเหินทะยานออกไปเบื้องหน้า
ห้วงเวหาซัดสาดตีเข้าหน้าเซียถงในอ้อมแขนของอีกฝ่าย สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนราง กระแสความเจ็บปวดแสบสันที่สะดมอยู่ทั่วร่างแทบจะระเบิดออกมา ความนึกคิดเลื่อนลอยต่างๆ นานาไหลบ่าเข้าสู่ห้วงสมองจนรู้สึกชาตายด้านไปชั่วขณะ แต่ถึงกระนั้นนางยังคงถือกล่องในมือแน่น พยายามรักษาสติเอาไว้
เพื่อช่วยประหยัดเวลา ไป๋หลี่หานได้พาเซียถงกระโดดข้ามกำแพงจวนเสนาบดี ตรงเข้ามาด้านในโดยตรง จากคำบอกกล่าวของเซียถง ได้นำเขาไปถึงเรือนพักของฮูหยินหลี่ได้ทันท่วงที เมื่อทั้งสองปรากฏกายขึ้นต่อหน้าต่อตาอิ๋งเอ๋อร์ สิ่งแรกที่อิ๋งเอ๋อร์พลันสังเกตเห็นเป็นอย่างแรกมิใช่สิ่งอื่นใดนอกจาก บาดแผลดำคล้ำที่น่าสยดสยองทั่วร่างกายของเซียถง เห็นแบบนั้นถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ
“อิ๋งเอ๋อร์ เร็วเข้า…นำ…นำโอสถในกล่อง…ป้อนให้แม่ข้า…”
เซียถงยื่นกล่องไม้จันทน์หอมใบนั้นแก่อิ๋งเอ๋อร์ มือไม้สั่นเทาไม่หยุดดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะกัดกุมกล่องดังกล่าวได้ไหวอีกต่อไป
อิ๋งเอ๋อร์รีบกล่องใบนั้นกอดไว้ในอ้อมอก ก่อนจะรีบวิ่งไปดูบาดแผลของคุณหนูของตนด้วยความเป็นห่วง กล่าวทั้งน้ำตาว่า
“คุณหนู เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนู!?”
“รีบไปป้อนโอสถแม่ข้าก่อน”
เซียถงรวบรวมพลังเฮือกที่เหลือ ตะโกนสั่งการอิ๋งเอ๋อร์ไป ความเจ็บปวดทั่วร่างในขณะนี้ทวีความรุนแรงเกินขีดจำกัดที่นางจะทนไหวแล้ว ซึ่งความเจ็บปวดที่ต้องทนทุกข์ยามนี้ หนักหนาสาหัสเสียยิ่งกว่าตอนถูกเฆี่ยนตีนับร้อยเท่าพันทวี!
เนื้อตัวอิ๋งเอ๋อร์ถึงกับสั่นเทาไปชั่วขณะต่อเสียงตะโกนนี้ นางรีบเปิดกล่องไม้จันทน์หอม หยิบโอสถเม็ดกลมดิกออกมาโดยไว เดินไปทางเตียงและป้อนเข้าปากของฮูหยินหลี่โดยตรง ทันทีที่เห็นว่าแม่ของตนได้รับโอสถแก้พิษได้ทันเวลา ความกดดันทั้งหมดก่อนหน้าพลันอันตรธานหายวาบออกจากอก นางส่งยิ้มให้อิ๋งเอ๋อร์ไปทีหนึ่ง ก่อนหลับตาทิ้งน้ำหนักนอนแน่นิ่ง
“นายท่าน ไฉนถึงโดนวางยาพิษอีกแล้ว?”
ในคราวนี้ท่ามกลางห้วงความคิดอันแสนเลือนราง สุ้มเสียบงของเสี่ยวฮั่วก็ดังขึ้น
“แล้วยังได้รับบาดเจ็บมาไม่ใช่น้อยเลย?”
“เพียงเพื่อโอสถ”
เซียถงส่งจิตผ่านห้วงความคิดตอบกลับไป ธารแสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งสว่างวาบในห้วงจิตสำนึก กระแสพลังงานสายอุ่นไหลเข้ามาหล่อเลี้ยงแขนขาของนาง กระแสความเจ็บปวดก่อนหน้าทั่วร่างกายค่อยๆ ลดทอนบรรเทาลง สติสัปชัญญะเริ่มฟื้นคืนกลับมาอย่างช้าๆ
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา เซียถงพลันตระหนักได้ว่า ตนนอนซบอยู่ในอ้อมแขนของไป๋หลี่หานอยู่จริงๆ จึงพยายามที่จะลุกขึ้นจากอ้อมแขนดังกล่าว ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเก้อเขิน แต่พอเห็นอีกฝ่ายจ้องตาเขม็งกลับมา นางแอบสะดุ้งลึกๆ ในใจ
นางรักษาตัวเองได้? หนึ่งคำถามผุดขึ้นภายในใจของไป๋หลี่หานในทันที เมื่อครู่นี้ขณะที่เขากำลังประลองร่างของเซียถงอยู่ในอ้อมแขน คล้ายว่าเขาจะบังเอิญไปเห็นธารแสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งสว่างวิบวับ เปล่งออกมาจากหว่างคิ้วของนาง จากนั้นไม่นาน เซียถงที่ซึ่งอยู่ในอาการสาหัญเจียนสิ้นสติก็ฟื้นขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งนี้เขาก็ยังสัมผัสได้ชัดแจ้ง พลังความแข็งแกร่งของนางเริ่มฟื้นกลับคืนมาอย่างช้าๆ
เมื่อครู่มันคืออะไรกันแน่? ตามสัญชาตญาณของเขา ที่แน่ใจก็คือ ธารแสงสีม่วงกลุ่มตะกี้จะต้องมีส่วนช่วยให้เซียถงฟื้นตัวขึ้นได้โดยฉับพลัน
พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายจ้องจับผิด เซียถงก็พึงทราบทันทีว่า ระหว่างกระบวนการรักษาของเสี่ยวฮั่ว ทำให้ไป๋หลี่หานสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่างได้ในร่างกายของนาง ดังนั้นนางจึงกระแอมไอแก้เขิน เอี้ยวตัวหันหลังให้และลุกขึ้นยืนโดยไว เดินไปทางเตียงของฮูหยินหลี่