ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 71 สู่สถานศึกษาเซิงหลิง
ตอนที่71 สู่สถานศึกษาเซิงหลิง
หลังแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จ เสี่ยวฮั่วก็ทวนชื่อสมุนไพรให้นางฟังในใจ เซียถงบรรจงเขียนลงกระดาษ ขอให้อิ๋งเอ๋อร์ไปหาซื้อมาเพิ่มเติม จากนั้นก็ตรงไปโรงครัวหาอะไรรับประทาน แวะเข้าเรือนพักไปดูอาการท่านแม่ แต่เนื่องด้วยบาดแผลภายนอกทั่วทั้งร่างที่ยังเหลือร่องรอย ยังไม่หายสนิท กลัวว่าท่านแม่ของนางจะเก็บงำนำไปคิดกังวลจนส่งผลถึงอาการเจ็บป่วย จึงเฝ้ามองอยู่ห่างๆ จากทางไกล
มองผ่านหน้าต่างบานหนึ่งเข้ามา นางเห็นว่าท่านแม่กำลังป้อนโจ๊กให้อาจูที่กำลังนอนโทรมอยู่บนเตียง เนื่องด้วยเมื่อวานนี้ ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวเกินควบคุมของเซียถง นางเผลอใช้แรงเกินขนาด ขณะที่ยกสันมือสับคอของอาจู มีพลังลมปราณครามฟ้าเข้าเจือผสม ส่งผลให้กระดูกคอแตกร้าว
หลังจากเหตุการณ์นั้น อาจูถูกส่งตัวโยนไปไว้หลังจวน นอนโทรมอยู่บนพื้นดินตามลำพังไม่มีใครเหลียวแล ครวญครางเสมือนตายทั้งเป็นด้วยความเจ็บปวด จนสุดท้ายฮูหยินหลี่ได้สติฟื้นขึ้นมาหลังกลืนโอสถปราณระดับสองไป ระหว่างเดินตามเส้นทางหลังจวน ก็บังเอิญไปพบอาจูนอนกองข้างทางอยู่แบบนั้น สภาพน่าสมเพชมาก ด้วยความสงสาร ฮูหยินหลี่จึงสั่งคนให้ไปอุ้มอีกฝ่ายกลับมานอนพักอาศัยในเรือนของนาง อีกทั้งควักเงินจำนวนหนึ่งออกมาจ้างหมอให้มารักษา ซื้อสมุนไพรมาต้มเป็นยาป้อนให้
ขณะอาจูอ้าปากรับโจ๊กที่ฮูหยินหลี่ป้อนให้ จู่ๆ นางก็ร้องไห้ออกมาน้ำตาไหลอาบแก้ม ในอดีต นางมักจะปฏิบัติต่อฮูหยินหลี่ราวกับหมูกับหมา แต่ใครจะไปคิด พอตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส กลับเป็นฮูหยินหลี่เสียเองที่เข้าช่วยเหลือ รับผิดชอบค่ารักษาและดูแลทุกอย่าง กระทั่งเช็ดตัวป้อนข้าวป้อนยาล้วนทำด้วยความเต็มใจ อาจูในขณะนี้รู้สึกผิดเกินพรรณนา ภายในใจบังเกิดความกตัญญูต่ออีกฝ่ายเป็นล้นพ้น
“อาจู ก่อนหน้านี้เจ้าเคยดูแลข้า ยามปัจจุบันเจ้าเจ็บป่วย ไว้วางใจได้เลย ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”
ฮูหยินหลี่ยื่นมือลูบศีรษะอาจูอย่างแผ่วเบา จับจ้องมองดูอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่ ใบหน้าเปี่ยมล้นความเมตตากรุณา ดั่งธิดาสวรรค์โปรด
“ฮูหยินใหญ่!”
อาจูระเบิดน้ำหูน้ำตารินไหลออกมาไม่หยุดหย่อน ด้วยความรู้สึกผิดก็ดี ความละอายใจก็ดี ความซาบซึ้งและอีกหลายหลากอารมณ์ล้วนถาโถมเข้าสู่จิตใจดวงนี้ของนาง
ฮูหยินหลี่โน้มตัวเข้ามากอดอย่างเอ็นดู เสมือนลูกสาวอีกคนหนึ่งของนาง
เซียถงเฝ้ามองท่านแม่ของตนผ่านหน้าต่างบานนั้น รู้สึกประทับจับใจอย่างที่สุด ชั่วขณะหนึ่งต่อมา กลับรู้สึกผิดกลายๆ เช่นกันที่ทำให้อาจูต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
“ฮูหยินใหญ่…”
อาจูเงยหน้ามองฮูหยินหลี่ สีหน้าแววตาเปี่ยมไปด้วยความละอายรู้สึกผิดบาปอยู่ในใจ
ฮูหยินหลี่พยักหน้าจับจ้องนางไม่คลายอ่อน
“บ่าว…บ่าว….”
คล้อยหลังส่อแววลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อาจูกลับเลือกที่จะเงียบไม่กล่าวต่อพร้อมส่ายหัวตอบ
ฮูหยินจับจ้องทอประกายสงสัย แต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม แต่ยังคงป้อนโจ๊กส่งเข้าปากน้อยๆ ของอาจู
นัยน์ตาคู่นั้นสั่นไสว หลายหลากอารมณ์สลับซับซ้อนฉายวาบสะท้อนออกมา อาจูเงยหน้าคล้ายจะปริปาก ทว่าตอนจบก็ยังไม่พูดอะไรอยู่ดี เพียงข่มตาหลับอ้าปากกินโจ๊กเข้าไปแทน
เซียถงที่ยืนมองอยู่นอกหน้าต่าง ย่อมสังเกตเห็นท่าทีความผิดปกตินี้ของอาจูได้ชัดแจ้ง สันนิษฐานได้ว่า ต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างถถูกเก็บงำอยู่ภายในใจของอาจูแน่นอน ชั่วขณะที่สำนึกได้ถึงความผิดชอบชั่วดี อีกฝ่ายเกือบจะยอมเปิดใจพูดออกมาแล้ว ทว่าท้ายที่สุดกลับเลือกที่จะกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับไป จากปฏิกิริยาเช่นนี้ การันตีได้เลยว่า นี่หาใช่เรื่องเล็กน้อยแน่นอน
ยืนอยู่นอหหน้าต่าง เฝ้ามองอยู่สักครู่ใหญ่ เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติอีกแล้ว เซียถงก็เลยเดินย้อนกลับเข้าเรือนพักของตนไป สภาพเนื้อตัวสยดสยองปานนี้ ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะให้ท่านแม่ของนางได้เห็น
พอกลับมาถึง อิ๋งเอ๋อร์ก็กลับมาจากการตระเวนหาซื้อสมุนไพรจากด้านนอกแล้วเช่นกัน ก้อนพิษสีทมิฬที่ตกค้างอยู่ในร่างแม้นตอนนี้ทำลายได้แล้ว แต่กลับยังมิอาจกำจัดต้นตออย่างแกนพิษหัวเชื้อที่ฝังลึกอยู่ในร่างกายได้ จำเป็นต้องหลอมกลั่นโอสถมาพิฆาตโดยเฉพาะ แต่จะอย่างไร ปัญหาหน้างานที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือ การล้างพิษจากแส้ของไป๋หลี่อวี๋อิงเสียก่อน
เปลี่ยนน้ำในอ่างไม้ให้สะอาดเทผงยาลงไปอีกครั้ง เซียถงถอดเสื้อผ้าแพรพรรณออก ลงแช่ในอ่างไม้ครานี้เป็นรอบที่สาม นั่งขัดสมาธิเข้าญาณล้ำลึก ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบ แปรสภาพกลายเป็นกระแสลมปราณ สูบฉีดเข้าหล่อเลี้ยงไปตามแขนขา ก่อนจะเริ่มกระบวนขับพิษออกมาต่อ
ในคราวนี้กินเวลาไปถึงสามวันเต็ม เซียถงนั่งแช่อยู่ในอ่างไม้ลุกออกไปไหน
สามวันต่อมา
เมื่อนางเปิดประตูออกมา อิ๋งเอ๋อร์ที่ได้เห็นถึงกับตะลึง ค้นพบว่าบาดแผลทั่วทั้งร่างของนางหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว และที่สำคัญที่สุด บริเวณผิวหน้าที่ไม่มีจุดด่างดำน่าเกลียด คล้ายว่าจะขาวผ่องเปล่งประกายประดุจหิมะ จนอิ๋งเอ๋อร์อดจินตนาการไม่ได้เลยว่า หากคุณหนูสามารถกำจัดรอยจุดด่างดำพวกนี้ออกไปได้หมดจากใบหน้า คุณหนูนางนี้จะงดงามถล่มเมืองปานใด?
ในส่วนทางกายภาพ เซียถงรู้สึกได้ว่า ร่างกายเบาหวิวกว่าก่อนหน้ามาก ระดมเร่งเร้าพลังลมปราณได้เร็วขึ้นหนึ่งทวีเท่า
“คุณหนูเจ้าค่ะ สิ่งนี้นายท่านฝากแก่ข้ามาเพื่อมอบให้ท่าน บอกเพียงว่า ให้นำป้ายตราแผ่นนี้ไปลงทะเบียนยังสถานศึกษาเซิงหลิง”
หลังจากได้สติจากภวังค์ตื่นตกใจ อิ๋งเอ๋อร์ก็ยื่นป้ายตราสีครามแผ่นหนึ่งส่งไปให้เซียถง
นางหยิบป้ายตราดังกล่าวขึ้นมาดู สี่ตัวอักษรสีทองอร่ามสลักจารึกว่า ‘สถานศึกษาเซิงหลิง’ ซึ่งน่าจะเป็นแผ่นป้ายแสดงสถานะภายในสถานศึกษาที่นิยมคาดเอวกัน พอพลิกมาอีกด้านก็ทีชื่อ ‘เซียถง’ สลักไว้อยู่ นี่คือป้ายประจำตัวศิษย์สาวกแห่งสถานศึกษาเซิงหลิงของนางอย่างไม่ผิดเพี้ยน
นางเก็บป้ายตราไว้ที่ใต้แขนเสื้อ วานให้อิ๋งเอ๋อร์ไปยกอาหารนำมาให้ เพราะเซียถงไม่ได้กินอะไรมาสามวันเต็มแล้ว หิวโซร่างกายโหยอาหารยิ่งกว่าอะไร และหลังจากที่เติมเต็มกระเพาะนี้จนอิ่ม นางก็มุ่งหน้าไปเยี่ยมไข้ฮูหยินหลี่ เห็นว่าทุกอย่างปกติสุขดีก็คล้อยอุ่นใจ กลับเข้าเรือนมาเปชลี่ยนชุดแพรพรรณเป็นสีขาว นำผ้าคลุมขาวสะอาดผืนหนึ่งคลุมครอบจุดด่างดำบนใบหน้า ก่อนจะเดินทางออกข้างนอกไป ซื้อม้าเดินทางมาติดกายสักตัว จากนั้นก็ควบไปยังสถานศึกษาเซิงหลิงโดยตรง
สถานศึกษาเซิงหลิงคือสถานศึกษาชั้นนำในจักรวรรดิตงหลี่ โดยพื้นฐาน คณะอาจารย์ภายในนั้นล้วนแต่เป็นยอดฝีมือชนชั้นปรมาจารย์ สามารถเรียกลมฟ้าลมฝนได้ดั่งใจนึก บรรดาผู้บำเพ็ญตบะฝึกปรือทั้งหลายต่างมีความปรารถนาที่จะได้เข้าศึกษาสถานที่แห่งนี้กันทั้งนั้น ซึ่งนี่ทำให้เซียถงสนใจไม่น้อยเช่นกัน อยากรู้อยากเห็นว่าสถานที่ดังกล่าว แท้จริงแล้วจะเป็นเช่นไรกันแน่? เพราะขนาดลองย้อนรอยความทรงจำเก่าๆ กระทั่งตัวเซียถงที่เป็นเจ้าของร่างเก่าเอง ก็มีความใฝ่ฝันที่จะได้เข้าเรียนในสภานศึกษาเซิงหลิงสักครั้งเช่นกัน
ทว่าประตูธรณีกลับสูงเกินเอื้อมถึง ทำให้หลายต่อหลายคนต้องฝันสลายไปอย่างน่าเสียดาย
สถานศึกษาเซิงหลิงตั้งอยู่ที่เชิงเขาป่าสน วัตถุประสงค์เพื่อให้เหล่าศิษย์สาวกทั้งหลายขึ้นภูเขาไปฝึกตนก็ดี เสาะหาสมุนไพรป่ามาศึกษาก็ดี ใช้เป็นสถานที่เก็บตัวเพื่ออยู่กับตัวเองเป็นต้น
เซียถงหยุดลงตรงหน้าประตูสถานศึกษาบานยักษ์ใหญ่เบื้องหน้า หยิบป้ายตราศิษย์สาวกจากใต้แขนเสื้อออกมาเผยแสดง ยามนั้นทหารเฝ้าหน้าประตูถึงจะยอมปล่อยให้นางเข้าไปได้
เมื่อตรงเข้าประตูไป บริเวณโดยรอบสองข้างทางปรากฏเป็นอาคารโบราณรูปทรงวิจิตรสวยงาม ต้นไม้พฤกษาสูงตระหง่าน กิ่งก้านทอดยาวจากทั้งซ้ายและขวาแทบจะปิดทั่วม่านฟ้า แสงตะวันส่องลอดลงมาเป็นกลุ่มๆ พอได้เห็นแล้ว ช่างรู้สึกรื่นรมย์สายตาและจิตใจเสียเหลือเกิน ระหว่างเส้นทางยังมีเส้นทางแยกย่อยอีกหลายหลากแตกสายออกไปนับไม่ถ้วน เส้นทางในบางจุดเป็นสีชมพู ต้นไม้ใบหญ้าในอาณัติบริเวณนั้นล้วนแต่เป็นสีสันชมพูเจือผสมแดงสวยสดใส ราวกับสองโลกที่เชื่อมติดกัน
เซียถงมองไปตามถนนหนทางที่แบ่งแยกย่อยตรงหน้า ปั้นหน้างุนงงขึ้นทันที เพราะมิทราบว่าควรจะไปที่ไหนก่อนเป็นอันดับแรก? ส่วนทหารที่เฝ้าหน้าประตูก็ปล่อยผ่านให้นางเข้ามา โดยไม่บอกเลยว่าควรทำอย่างไรต่อหลังจากนี้
หันศีรษะมองไปโดยรอบ พลางเห็นบรรดาหญิงสาวแต่งตัวในชุดสวยกลุ่มหนึ่ง จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พลางเดินฉับตามทางด้วยความชำนาญการ กำลังเดินตรงมาทางเซียถงที่ยืนนิ่งไม่รู้จะไปทางไหนต่อ
หญิงสาวกลุ่มนั้น ทุกคนล้วนมีผ้าคลุมผืนใสสีฟ้าอ่อนปกคลุมบริเวณใบหน้า ผิวพรรณขาวผองสดใส ทรวดทรงโค้งเว้าสมบูรณ์แบบราวกับว่าแต่ละคนหลุดออกมาจากภาพวาดพู่กันแสนประณีต แน่นอน กลุ่มพวกนางเป็นที่ดึงดูดสายตาของเหล่าผู้คนจำนวนมากรอบข้าง
“เจ้าเพิ่งเข้ามาที่นี่งั้นรึ? ยังไม่ทราบเส้นทางกระมัง?”
ขณะที่เซียถงกำลังลังเล มองว่าจะเดินไปทักถามใครดี จู่ๆ ก็มีหญิงสาวในชุดสีเหลืองเดินตรงเข้ามาหา
นางรวบผมเป็นก้อนกลมมิค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่นัก คล้ายทรงซาลาเปาลูกหนึ่ง ผมสลวยสีดำขลับเข้ม ผิวขาวนวลน่าหลงใหล รูปลักษณ์ใบหน้าเป็นทรงไข่บอบบาง ใบหน้าละเอียดลอองดงามน่าทะนุทะหน่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดวงตาอันใสบริสุทธิ์คู่นั้น มันพราวสว่างราวกับดวงดาราเคียงฟ้ายามราตรี