ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 72 ทดสอบคุณสมบัติ
ตอนที่72 ทดสอบคุณสมบัติ
หากว่าในแง่รูปโฉม หญิงสาวนางนี้มิได้โดดเด่นจนเกินไป แต่ให้ความรู้สึกสบายใจอย่างยิ่งยามใครที่ได้เห็น และแรกพบ เซียถงคล้ายมีความประทับใจต่อนางอยู่หนึ่งส่วน ดังนั้นจึงพยักหน้าตอบกลับไปว่า
“ถูกต้อง เพิ่งมาได้วันแรก มิทราบว่าต้องทำอย่างไรต่อหลังเข้ามา”
“เจ้าควรไปรายงานตัวที่หอทะเบียนก่อน ซึ่งที่แห่งนั้น เจ้าจะสามารถเลือกรายวิชาเรียนเองได้”
หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้เซียถง ประดับคู่ลักยิ้มตื้นเขินน้อยๆ หากให้กล่าวตามตรง ควรใช้คำว่าน่ารักจิ้มลิ้มมากกว่ากับนางคนนี้
“ข้าไม่รู้ว่าหอทะเบียนอยู่ที่ไหน”
เซียถงเหลือบสายตากวาดมองเส้นทางอันหลายหลากเบื้องหน้า กล่าวขึ้นหนึ่งประโยคเจือความละอาย
“ก็เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกหากทราบคงแปลก ฮ่าฮ่า เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปเอง”
หญิงสาวนางนั้นคว้าแขนเซียถงเกี่ยวไว้แน่นด้วยความสนิทใจ เดินเคียงคู่ไปด้วยกัน
เซียถงพยายามดิ้นหลุดจากอีกฝ่ายโดยสัญชาตญาณ ชีวิตก่อนหน้าของนางมีแต่ความเหงาและโดดเดี่ยว อารมณ์ด้านชาไร้ความมรู้สึก เช่นนั้นแล้วจะให้คุ้ยชินกับการกระทำอันสนิทสนมของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกพบได้อย่างไร?
เห็นปฏิกิริยาเฉกเช่นนี้ของเซียถง สายตาของหญิงสาวนางนั้นเผยแววความประหลาดใจออกมา ก่อนจะค่อยกระชับกอดเรียวแขนของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง ยิ้มกล่าวว่า
“ไปกันเถอะ ทางเดินเส้นนี้จะพาพวกเราไปถึงหอทะเบียน”
เซียถงเดินตามหญิงสาวนางนั้นไปเงียบๆ ระหว่างทางพลางรับฟังคำแนะแนวต่างๆ เกี่ยวกับสถานศึกษาแห่งนี้กับอีกฝ่าย และจากที่สรุปโดยสังเขป เซียถงก็ได้รับรู้ว่า สถานศึกษาเซิงหลิงแห่งนี้มิใช่แค่สอนวิชาการต่อสู้และบำเพ็ญตบะเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายหลากแขนงวิชาให้ศึกษามากมาย
ตัวอย่างก็เช่น แขนงโอสถเป็นสถานที่สำหรับเหล่าศิษย์สาวกเข้าศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์การหลอมกลั่นโอสถ อย่างไรก็ตาม การจะเข้าสมัครวิชาแขนงนี้ได้ ก่อนอื่นก่อนใดจำเป็นจะต้องเข้าทดสอบคุณสมบัติเป็นอันดับแรกว่า ผู้เข้าสมัครมีคุณสมบัติธาตุตรงตามที่กำหนดหรือไม่ และหากผู้เข้าสมัครไม่ผ่านก็จะไม่มีสิทธิ์เข้าศึกษาวิชาแขนงนี้เช่นกัน
แขนงยุทธ เน้นการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการบำเพ็ญตบะเชิงลึก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาระดับพลังลมปราณให้แข็งแกร่ง
แขนงพิทักษ์ เป็นการฝึกปรือให้รู้จักวิธีโจมตีด้วยค่ายกล และสร้างค่ายกลอันทรงอานุภาพเพื่อป้องกันกระบวนจู่โจมของศัตรูผู้ทรงพลัง นอกจากศาสตร์แขนงทั้งสามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ภายในสถานศึกษาเซิงหลิงยังมีศาสตร์แขนงวิชาอีกมากมายให้เลือกลงเรียนได้ เช่น แขนงกลยุทธสำหรับนักวางแผนการทำศึก แขนงยุทธภัณฑ์เกี่ยวกับการสร้างอาวุธและยุทโธปกรณ์ต่างๆ และอีกหลากหลายแขนงนับโหล บรรดาศิษย์สาวกทั้งหลายสามารถเลือกได้สูงสุดสามแขนงต่อหนึ่งคน
“แล้วเจ้าเรียนด้านใด?”
เซียถงเอ่ยปากถามฉีหมิงเยว่ที่อยู่ตรงหน้า หลังจากสนทนากันได้สักพัก นางก็พึงทราบ หญิงสาวน่ารักน่าชังนางนี้มีชื่อว่า ฉีหมิงเยว่
“ข้าเรียนแขนงยุทธกับแขนงกลยุทธ์”
ฉีหมิงเยว่กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มหวาน
“เช่นนั้นเจ้าเลือกแค่สองวิชาแขนง? แต่มิใช่ว่าทางสถานศึกษาให้เรียนได้สูงสุดสามวิชาแขนง?”
เซียถงเอ่ยถามเจือแววประหลาดใจ
ทว่าฉีหมิงเยว่เอาแต่ยิ้มมิได้กล่าวตอบ ฝีเท้าพลันหยุดชะงักลง ชี้ไปที่ประตูบานใหญ่สีแดงตรงหน้าและกล่าวว่า
“หอทะเบียนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
เซียถงกล่าวขอบคุณนางและเดินเข้าหอทะเบียนไปโดยไวพร้อมป้ายตราประจำตัว อาจารย์ผู้รับหน้าที่ดูแลหอทะเบียบเป็นชาชราไว้เคราสีขาว ทั้งยังใส่ชุดคลุมสีขาวเช่นกัน ดูแล้วราวกับเทพสวรรค์บนฟ้าสักตน พอเข้าทักทายสนทนาได้สองสามคำ อีกฝ่ายก็หยิบแผ่นตารางใบหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นเป็นรายละเอียดของแต่ละแขนงวิชาให้เซียถงได้เลือกสรร
ก่อนหน้านี้ เซียถงได้ฟังคำอธิบายเกือบทั้งหมดที่ควรรู้จากฉีหมิงเยว่มาแล้ว นางเหลือบสายตากวาดมองเพียงปราดเดียว ก็เลือกได้ทันที แขนงวิชาที่นางต้องการจะลงเรียนได้แก่ แขนงยุทธ แขนงโอสถและแขนงกลยุทธ
เมื่อเห็นว่านางเลือกแขนงโอสถ อาจารย์ผู้ดูแลหอทะเบียนก็เลิกคิ้วมองเล็กน้อย เพราะวิชานี้เป็นแขนงวิชาที่มีคนลงเรียนน้อยที่สุด เนื่องด้วยจำเป็นต้องเข้าทดสอบคุณสมบัติก่อน
อยากเป็นนักหลอมโอสถจำต้องมีคุณสมบัติธาตุไฟและธาตุไม้ภายในตัว ฟังว่ามีคนจำนวนเพียงหนึ่งในพันเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติธาตุทั้งสองอยู่ในตัว หากปราศจากคุณสมบัติที่กล่าวมา เลือกสามกลับได้เรียนแค่เพียงสอง แถมยังต้องจ่ายเงินเต็มจำนวน ดังนั้นคนโดยส่วนใหญ่ล้วนเพิกเฉยต่อแขนงวิชานี้กัน ยกเว้นเสียแต่ว่า พวกเขาจะมีความมั่นใจแล้วจริงๆ ว่า ภายในกายจะมีคุณสมบัติธาตุไฟและไม้
“หากตัวเจ้ายังไม่แน่ใจว่า ตนเองมีธาตุไฟและธาตุไม้อยู่ในตัว แนะนำให้เจ้าเปลี่ยนไปเลือกวิชาแขนงอื่น”
อาจารย์ผู้ดูแลหอทะเบียนเงยหน้ามองเซียถงพร้อมกล่าวชี้แนะ
“นายท่าน อย่าเปลี่ยนเด็ดขาด แขนงวิชาอื่นย่อมปรับเปลี่ยนได้ไม่ว่า แต่วิชานี้นับว่าจำเป็นที่สุด”
เสี่ยวฮั่วส่งเสียงดังผ่านห้วงความคิด
“ไม่เปลี่ยน ข้าเลือกตามที่เลย”
เซียถงกล่าวตอบอาจารย์ท่านนั้นกลับไป สิ่งที่นางต้องการศึกษาเรียนรู้มากที่สุดยามนี้คือ วิธีหลอมกลั่นโอสถ ถึงแม้ว่าเสี่ยวฮั่วจะสามารถสอนนางได้ก็จริง แต่ในปัจจุบันทันด่วน นางต้องการทรัพยากรในด้านการหลอมกลั่นโอสถจำนวนมาก อาศัยเหรียญทองในกระเป๋านาง คงไม่สามารถตอบสนองต่อค่าใช้จ่ายในการฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถในแต่ละครั้งได้ไหวแน่นอน ในทางกลับกัน หากนางสามารถเข้าศึกษาแขนงโอสถได้ ก็เท่ากับว่านางจะมีแหล่งทรัพยากรไว้ฝึกฝีมือหลอมกลั่นโอสถได้ไม่กำจัด
อาจารย์เคราขาวมิได้เอ่ยกล่าวอันใดอีก เพียงเหลือบสายตามองเซียถงไปทีหนึ่ง และกวักมือเรียกนางเข้าไปยังห้องด้านใน
พอเข้ามาในห้อง อาจารย์เคราขาวก็เดินไปหยิบลูกแก้วสีแดงออกมาวางไว้ตรงหน้าของเซียถง ทั้งยังขอให้นางยกมือขึ้นมาวางไว้บนลูกแก้วและเพ่งจิตสมาธิใส่ลงไป
และทันทีที่มือของเขาเข้าสัมผัส เปลวเพลิงสูงเกือบครึ่งเมตรก็โหมกระหน่ำลุกโชนขึ้นมาเหนือลูกแก้วสีแดงโดยตรง!
“สวรรค์! ช่างเป็นธาตุไฟที่แกร่งกล้านัก!”
อาจารย์เคราขาวถึงกับผงะ ร่นเท้าถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าตื่นตะลึงเมื่อเห็นเปลวไฟระห่ำพวยพุ่งขึ้นมากะทันหัน คล้อยหลังฟื้นสติขึ้นจากความตกใจ ค่อยสืบเท้าก้าวฉับ เดินไปจับมือเซียถงแน่น กล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นขึ้นว่า
“เจ้าหนู เจ้าเป็นศิษย์ที่มีธาตุไฟในกายสูงสุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็นมาในรอบหลายปีแล้ว!”
กล่าวกันว่า ยิ่งเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงบนลูกแก้วปะทุรุนแรงมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่า ธาตุไฟในกายของผู้สัมผัสก็จะยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้นเท่านั้น และแน่นอน โอกาสที่จะได้เป็นนักหลอมโอสถย่อมสูงขึ้นด้วยเช่นกันโดยธรรมชาติ
กล่าวกันว่า ความสำเร็จของนักหลอมโอสถแต่ละคน ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับธาตุไฟในตัว เพราะหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในกระบวนการหลอมกลั่นโอสถก็คือ ความร้อน
การทดสอบธาตุในกายครั้งก่อนหน้าไม่นานนี้ของอาจารย์เคราขาว ไป๋หลี่อวี๋อิงทำให้ลูกแก้วใบนี้ปะทุเปลวเพลิงออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับเปลวไฟของเซียถงที่โหมยาวครึ่งเมตร กล่าวได้เลยว่า คนละชั้นอย่างแท้จริง
เซียถงเองก็ตกตะลึงไม่น้อยกว่ากันเลย นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ตนจะมีธาตุไฟในกายแกร่งกล้าปานนี้ ทีแรกก็คิดว่าเสี่ยวฮั่วแอบโกงช่วยเหลือนางอย่างลับๆ แต่ที่ไหนได้ ทันใดนั้นเสี่ยวฮั่วก็ส่งเสียงร้องอุทานลั่นในห้วงความคิด ทั้งยังกล่าวชื่นชมอีกว่า
“นายท่าน ไฉนธาตุไฟของท่านถึงดุเดือดเลือดพล่านปานนี้?! ในอนาคตต่อไป ความสำเร็จในทางสายหลอมกลั่นโอสถของท่านย่อมไร้ที่สิ้นสุด!”
“หากเป็นเฉกเช่นที่เจ้าว่า ไฉนครั้งล่าสุดข้าถึงหลอมกลั่นโอสถล้มเหลว?”
เซียถงยิงคำถามสวนกลับไปในห้วงความคิด
“มีใครบ้างที่จะเก่งเลยในครั้งแรก? และที่สำคัญเพราะว่าธาตุไฟในกายท่านแกร่งกล้ายิ่งยวด จึงเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมให้อุณหภูมิเสถียรได้ ส่งผลให้ท่านประสบความล้มเหลวในการหลอมกลั่นครั้งนั้น”
คำอธิบายของเสี่ยวฮั่วได้คลี่คลายข้อสงสัยของเซียถงให้กระจ่างได้ในทันที
อาจารย์เคราขาวรีบเร่งระงับความตื่นเต้นลง และเก็บลูกแก้วสีแดงลงไป จากนั้นก็หยิบกล่องอีกใบขึ้นมา พอเปิดออกก็พลางไปเห็นเศษกิ่งไม้นับไม่ถ้วน เขาเอ่ยขึ้นว่า
“จงหยิบเศษกิ่งไม้จันทร์ขึ้นมา ภายในกล่องใบนี้มีเศษกิ่งไม้จันทร์เพียงชิ้นเดียว นี่คือบทสอบว่า เจ้ามีพลังธาตุไม้อยู่ในกายหรือไม่”