ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 73 เผชิญหน้าโจทก์เก่า (1)
ตอนที่73 เผชิญหน้าโจทก์เก่า (1)
เซียถงก้มมองเศษไม้จำนวนนับไม่ถ้วนภายในกล่อง แทบจะในทันใดสีหน้าของนางถึงกับทมิฬมืดลง เศษไม้บางประมาณได้หลายพันกิ่งหลายหลากสี เช่นนั้นแล้วควรเลือกชิ้นไหนดี?
“เสี่ยวฮั่ว”
เซียถงได้แต่จับจ้องมองภายในกล่องอย่างหมดหนทาง ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน จนสุดท้ายต้องเรียกเสี่ยวฮั่วให้มาช่วยเหลือ
“นายท่าน เลือกจากสัญชาตญาณความรู้สึกของท่านเลย”
เสี่ยวฮั่วกล่าวกับนาง
ได้ฟังดังกล่าว เซียถงจึงหลับตามุ่งจิตสัมผัสลงในกองเศษไม้กิ่งก้านนับไม่ถ้วน ควานหาในกองเสมือนขี้เลื่อยและหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งส่งให้อาจารย์เคราขาวทันที
“อืม เจ้าเองก็ยังมีธาตุไม้อยู่ในกายเช่นกัน สามารถเข้าศึกษาแขนงโอสถได้”
อาจารย์หนวดขาวหยิบเศษไม้กิ่งดังกล่าวขึ้นชมใต้จมูกเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจยิ่ง เหลือบสายตาหยุดลงที่ร่างของเซียถงอีกครั้ง แววตาเป็นประกายสนใจ ก่อนจะเป็นแววความเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่
“สาวน้อย พรสวรรค์นับเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น หากไม่รู้จักขยันหมั่นเพียรก็เปล่าประโยชน์ อนาคตต่อไปเจ้าจะต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้ให้หนัก และหากขาดเหลือสมุนไพรหรืออุปกรณ์ใด ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
เซียถงพยักหน้าตอบอีกฝ่ายไม่พูดไม่จา ใจหนึ่งยังคงระทึกไม่หาย การทดสอบเพื่อวัดธาตุไม้ในร่างกาย ไยให้ความรู้สึกดั่งเล่นพนันกรายๆ
หลังยืนฟังอาจารย์เคราขาวอธิบายถึงกฎระเบียบและข้อบังคับ รวมไปถึงข้อควรระวังในสถานศึกษาเสร็จสรรพ เซียถงจึงโค้งศีรษะขอบคุณและจากออกไป
เดินถือตำราทั้งสามวิชาที่ได้รับจากอาจารย์เคราขาว พอเห็นว่าฉีหมิงเยว่ยังคงยืนรอนางอยู่ เซียถงก็เลยเดินตรงไปหาทันที
“เจ้าเลือกวิชาแขนงใดบ้าง?”
พอเห็นว่าออกมาแล้ว ฉีหมิงเยว่จึงรีบชะโงกศีรษะมองตำราในมือของอีกฝ่ายทันที เห็นว่าหนึ่งในนั้นมีตำราสมุนไพรก็ถึงกับประหลาดใจ ร้องอุทานขึ้นว่า
“นี่เจ้าเข้าแขนงโอสถจริงๆ รึ? ในกายเจ้ามีทั้งธาตุไฟและไม้?”
เซียถงพยักหน้าตอบ ฉีหมิงเยว่กวาดสายตาตรวจสอบตำราอีกสองเล่มในมือ พอเห็นว่าเป็นแขนงวิชายุทธ์กับกลยุทธ์ก็ดีใจ ยิ้มแย้มด้วยสีหน้ามีความสุขยิ่ง นางกล่าวว่า
“อีกสองแขนงวิชาของเจ้าเหมือนกับข้าไม่มีผิดเพี้ยน เช่นนั้นแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปยังห้องเรียนแขนงโอสถก่อนแล้วกัน”
ฉีหมิงเยว่และเซียถงได้ผ่านถนนหนทางเส้นแล้วเส้นเล่าตัดไปมาด้วยความชำนาญ ระหว่างนั้น พลันปรากฏสายลมเย็นพัดผ่านกลีบบุปผาจากต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง ก่อนจะมีจำนวนหนึ่งตกลงบนศีรษะของทั้งคู่ และเป็นฉีหมิงเยว่ที่อดยิ้มมิได้ขณะดื่มด่ำกับการเชยชมกลีบบุปผาปลิวไสวตามสายลมอันโอนอ่อน
หญิงสาวทั้งสองพกพาอารมณ์มื่นชื่นเดินเคียงกันและกันท่ามกลางกลีบบุปผาร่วงโรยดั่งสายพิรุณเย็น ซึ่งภาพฉากนี้กลายมาเป็นที่ดึงดูดความสนใจของบรรดาลูกชายทารยาทจากตระกูลร่ำรวยมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ เซียถงที่วันนี้แต่งกายในชุดแพรพรรณสีขาว อากัปกิริยาท่าทางช่างดูสำรวมและทรงสง่าเสมือนดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ เป็นที่ปฏิเสธมิได้เลย ระหว่างเดินตามทางไป มีบรรดาหนุ่มๆ จำนวนมากถึงกับเดินตามติด เพื่อต้องการพูดคุยผูกมิตรด้วย
แต่ทันทีที่มีเพศตรงข้ามปรารถนาจะเข้าใกล้ เสมือนอุณหภูมิรอบตัวของเซียถงพลันลดต่ำลงโดยไร้เหตุผล ดวงตาคู่งามกลับทำให้ผู้ใดที่ได้เห็นต้องเสียวสันหลังวูบ ดั่งเช่นนายน้อยจากตระกูลร่ำรวยทั้งหลายเหล่านั้นที่พยายามตีสนิท ไม่ทราบเพราะอย่างไร ทั้งที่พบพาความกล้าหาญมาเต็มสูบ แต่ก็ยังอดสืบเท้าก้าวถอยออกไปมิได้
“เซียถง หากเจ้าถอดผ้าคลุมหน้าออก เรียงนามของเจ้าจะต้องขึ้นกลายมาเป็นสตรีงดงามอันดับหนึ่งในสถานศึกษาเซิงหลิงแน่นอน!”
ฉีหมิงเยว่ที่เห็นว่าเซียถงเนื้อหอมและเป็นที่นิยมยิ่งยวด ก็อดกล่าวแซวมิได้พลางหัวเราะคิกคัก เหลียวหลังหันกลับไปมอง พบเห็นแค่เพียงกลุ่มหนุ่มๆ พวกนั้นที่ไม่กล้าเดินติดตามเพราะหวั่นเกรงในรัศมีแรงกดดันที่แผ่ซ่านจากร่างเซียถง
เซียถงได้ยินแบบนั้นพลันหัวเราะเยาะกับตัวเองอยู่ในใจ หากถอดผ้าคลุมใบหน้าออก เกรงว่าบรรดาหนุ่มๆ พวกนั้นคงสับเท้าแตก วิ่งหนีไปเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่ายมากกว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ใครคือสตรีงามอันดับหนึ่งในสถานศึกษาเซิงหลิงคนปัจจุบัน? ฟังว่าเป็นองค์หญิงไป๋อวี๋อิง เจ้าอารมณ์นางนั้น หากอีกฝ่ายเห็นว่าหนุ่มๆ พวกนี้ติดตามเจ้าตั้งแต่แรกเห็น เกรงว่านางคงหงุดหงิดจนไม่เป็นอันกินอันนอนทั้งวันคืนเป็นแน่”
ฉีหมิงเยว่กล่าวกับเซียถงพลางหัวเราะคิกคักสนุกสนาน
“โอ้? ปรากฏว่าว่าองค์หญิงอวี๋อิงเรียนอยู่ที่นี่ด้วยงั้นรึ?”
เซียถงเหลือบสายตามองฉีหมิงเยว่เล็กน้อย
“ถูกต้องแล้ว นางเป็นสตรีงามอันดับหนึ่งในสถานศึกษาแห่งนี้ เคียงคู่กับไปพี่ชายของนางอย่างองค์รัชทายาท ไป๋หลี่เย่ที่เป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในสถานศึกษาเช่นกัน”
ฉีหมิงเยว่กล่าวตอบ
เซียถงพยักหน้าเชิงว่าเข้าใจ นัยน์ตาเสมือนหยาดน้ำค้างสั่นไสวเล็กน้อย ปรากฏว่าทั้งไป๋หลี่อวี๋อิงและไป๋หลี่เย่ล้วนศึกษาอยู่ที่นี่ เช่นนั้นแล้วจางเสวี่ยหรงเองก็ควรจะอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าเส้นทางชีวิตหลังจากนี้ในรั่วสถานศึกษาจักต้องสนุกสนานขึ้นหลายเท่าตัว ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งแล้ว!
ทั้งบัญชีแค้นเก่าและใหม่ เตรียมถูกชำระรายวันรายคนได้เลย!
“เจ้ามีเรื่องบาดหมางกับพวกเขางั้นรึ?”
ฉีหลิงเยว่สังเกตเห็นแววความอำมหิตผุดขึ้นจากดวงตาคู่นั้นของเซียถงได้อย่างชัดเจน
ขณะที่เซียถงกำลังจะเอ่ยปากตอบ จู่ๆ นางก็บังเอิญไปเห็นกลุ่มหญิงสาวในชุดกี่เพ้ารัดรูปกำลังเดินสวนตรงหน้านาง หนึ่งในนั้นดูจะโดดเด่นเป็นพิเศษ นางคือหญิงสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงเพลิง ทรวดทรงองเอวโค้งเว้าเอิบอิ่มน่าดึงดูด
เมื่อหยุดสายตาลงบนร่างสีแดงเพลิงดังกล่าว เซียถงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แววตากลายเป็นเย็นชาชั่วขณะ
ไป๋หลี่อวี่อิงมีกลุ่มหญิงสาวงดงามรายล้อม เฉกเช่นดาราเคียงประดับจันทร์เต็มดวง แต่ทันใดนั้น คล้ายว่าสัมผัสได้ถึง คู่สายตาอันอำมหิตได้ ไป๋หลี่อวี๋อิงถึงกับชะงักฝีเท้าหยุดโดยพลัน รู้สึกหนาวสั่นไปทั่วอณูร่างกายยันหนังศีรษะ พอหันไปหาต้นทาง ก็พบเหว่าเป็นเซียถงที่กำลังจับจ้องไม่วางตา เสมือนอสรพิษจับจ้องเหยื่อ ใจหนึ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะหรี่สายตามองสวนกลับไปโดยไม่มีเกรงกลัว
ดวงตาทั้งสองคู่เข้าประสานงากลางอากาศ คลื่นแรงกดดันขุมใหญ่แผ่ซ่านเข้าปะทะชนดังซี่ๆ อานุภาพพิฆาตยับยั้งซึ่งกันและกัน ทำเอาบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดลงทันทีด้วยความตื่นตระหนัก เสมือนเวลาถูกหยุดลงโดยพลัน
“นังบ้านนอกนี่โผล่หัวมาจากไหน? กล้าดียังไงถึงมามององค์หญิงอวี๋อิงเช่นนี้? เบื่อชีวิตมากกระมัง?”
แต่ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวในชุดกี่เพ้าสีครามฟ้าก้าวฉับออกมาจากด้านหลังไป๋หลี่อวี๋อิง กล่าวสบประมาทพลางหัวเราะเยาะใส่เซียถง
นางคนนี้มีชื่อว่า หลานอวี่ มักจะชอบยกย่องสรรเสริญไป๋หลี่อวี๋อิงในสถานศึกษาเซิงหลิงเหนือหัว ดังนั้นพอเห็นว่าเซียถงบังอาจส่งสายตาเย็นชาขนาดนี้ใส่ไป๋หลี่อวี๋อิง นางจึงเข้าตำหนิทันที หวังจะได้รับคำชมจากองค์หญิงผู้นี้
แต่ทันทีที่สิ้นเสียงกล่าวจบ ท่ามกลางเวลากลีบบุปผาร่วงโรย จู่ๆ ก็มีกลีบบุปผาสองใบพุ่งตัดอากาศตรงเข้าใส่ กลีบเหล่านี้คมเคลือบลมปราณสีครามฟ้าชั้นบาง เชือดเฉือนแก้มทั้งสองข้างบนใบหน้าของหลานอวี่ด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า ผิวหน้าฉีกแหกพร้อมเลือดสดไหลซิบออกมา นางรีบยกมือป้องปิดใบหน้า กรีดร้องเสียงดังลั่นราวกับสติแตกไปแล้ว ตะโกนสุดเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ใครกัน! ใครกันที่ทำกับข้าเช่นนี้!? เผยตัวออกมาซะ! บังอาจทำร้ายข้าคนนี้ แน่จริงก็จงเผยตัวออกมา!”
“กล้าขู่คำรามหาญกล้า แต่กลับยังไม่รู้เลยว่าผู้ใดลงมือ คนเช่นนี้เปรียบดั่งว่า สุนัขดีแต่เห่าได้กระมัง?”
เซียเลิกคิ้วเหลือบหางตามองไปที่หลานอวี่เล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงเรียบเฉยคล้ายมิให้เรื่องสำคัญอันใด
“เมื่อครู่เป็นเจ้าที่ลอบทำร้ายข้า?”
ได้ฟังเซียถงเอ่ยกล่าวขึ้นมาเช่นนั้น หลานอวี่หันขวับมองอีกฝ่ายตาเขม็งด้วยความโกรธจัด หากสามารถมองตามความเร็วได้ทัน คงไม่มีทางตะโกนถามออกไปว่าเป็นฝีมือใคร และที่ตะโกนโวยวายดังลั่นเช่นนี้มีความเป็นไปได้อยู่อย่างเดียวคือ หลานอวี่นางนี้มองตามความเร็วของเซียถงไม่ทันเลยแม้แต่นิดเดียว
“เอ…ข้าหรือเปล่านะ?”
เซียถงกลิ้งกลอกสายตาขี้เล่นขี้หยอกเข้าใส่ แต่ข้อมือขวาพลันสะบัดวูบเป็นสายเงาหนึ่ง กลีบบุปผาที่คีบถูกยิงออกไปอีกชุดหนึ่ง ความเร็วในการเคลื่อนไหวของนางจัดได้ว่ารวดเร็วเกินกว่ายอดฝีมือเสาหลักฟ้าทั่วไปจนมองตามได้ทัน ดังนั้นแล้ว ผู้คนโดยรอบบริเวณนี้จึงไม่มีใครสามารถมองตามได้ทันเลยสักคน