ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 74 เผชิญหน้าโจทก์เก่า (2)
ตอนที่74 เผชิญหน้าโจทก์เก่า (2)
กลีบบุปผาอีกสองคมพุ่งเข้าตัดใบหน้าของหลานอวี่ กลายเป็นลายเส้นบาดแผลคล้ายหนวดแมว
“กรี๊ดด!! ข้าจะทุบตีเจ้าจนกว่าจะสมใจอยาก แล้วนั่งเลาะฟันของเจ้าให้หมดปากไป!”
หลานอวี่จำต้องพึ่งพาอำนาจดั่งพญาเสือจอมปลอมของไป๋หลี่อวี๋อิงเพื่อคุ้มกะลาหัวตัวเอง และให้เหล่าศิษย์สาวกคนอื่นก้มหน้าเชื่อฟังนางตามใจปรารถนา แล้วตั้งแต่เมื่อใดกันที่ตนถูกหยามหน้าขนาดนี้?
ใบหน้าของนางมีรอยแผลเป็นข้างละสองแผล แล้วยังจะมีชายใดเหลียวแลสนใจอีกหรือไม่ในชาตินี้?
ด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดขีด นางสับเท้ารีบตรงไปยืนต่อหน้าเซียถง วาดรัศมีง้างมือขึ้นและหวดเข้าตบใส่แก้มขวาของเซียถงโดยไม่มีปรานี
ทว่าฝ่ามือนี้เคลื่อนไปได้ครึ่งทาง แต่กลับถูกหยุดไว้โดยพลัน ฉีหมิงเยว่ตรงเข้ามาขวางหน้า คว้าข้อมือของหลานอวี่จับไว้แน่นหนา ขณะที่กำลังจะหันมาพูดกับเซียถง แต่นางกลับเห็นเพียงประกายแสงสีเย็นสว่างวาบผ่านหน้าผ่านตาไป พอรู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังสนั่นลั่นกึกก้อง พอหันกลับไปมองต้นเสียง ปรากฏว่า เซียถงได้ประเคนกำปั้นหนักซัดหน้าหลานอวี่จนปากบิดผิดรูปไปชั่วขณะ เลือดสดผสมฟันแท้อีกหลายซี่กระอักพรวดหลุดออกมาจากปากของหลานอวี่คนนั้น
เสียงหายใจหอบถี่เสมือนสุนัขใกล้ตาย เหล่าศิษย์สาวกทั้งหลายต่างจับจ้องไปที่หลานอวี่นี่นอนกองอยู่กับพื้น ตัดสลับมาที่เซียถงที่ยืนนิ่งดูสภาพอันน่าสังเวทของอีกฝ่าย นี่กล้าลงมือทำร้ายหลายอวี่กลางที่สาธารณะเช่นนี้ จะไม่ใจเด็ดเกินไปหน่อยรึ?
หลานอวี่รู้สึกปวดระบมอย่างยิ่งบริเวณแก้มขวาของนาง พอเห็นเศษซี่ฟันที่หลุดร่วงอยู่ตามพื้นพร้อมกองเลือดก็ถึงกับกรีดร้องเสียงดังลั่น ยกมือปิดปากปิดหน้าตัวเองด้วยความอัปยศปนเจ็บปวด
“หากรอบข้ายังกล้ามายุ่งกับข้าอีก คงไม่ง่ายดั่งเสียโฉมในคราวนี้”
เซียถงยกเรียวนิ้วที่เปื้อนเลือดขึ้นมาเช็ดกับชายแขนเสื้อเบาๆ เหลือบหางตาแลมองหลานอวี่ด้วยความสมเพช
ท่ามกลางภาพฉากสายลมอรชรเย็นประดับคู่กลีบบุปผาโปรยปราย คู่คิ้วของหญิงสาวนางหนึ่งหยุดนิ่งปราศจากร่องรอยความรู้สึกใด ใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง โดยเฉพาะกับแววตาอันเย็นยะเยือกจนราวกับว่าสามารถแช่แข็งผู้ในรัศมีร้อยลี้ได้ในพริบตา ปลายชุดยาวสีขาวโบกสะบัดเหินเล็กน้อย ยืนตระหง่านอย่างภาคภูมิทรงสง่างดงาม
ใบหน้าถูกผ้าคลุมปกปิดเห็นเพียงเงาให้เฝ้าจินตนาการถึง สองเท้ายืนหยัดเคียงร่างโฉมสะคราญสวย จนสุดท้ายกลายเป็นที่ดึงดูดของฝูงชนนับไม่ถ้วนในพริบตาเดียว
อันที่จริงแล้ว เดิมทีเซียถงตั้งใจว่าจะใช้มีดตัดข้อมือของหลานอวี่ให้ขาดสะบั้นพิการไป แต่น่าเสียดายที่ชั่วขณะนั้นฉีหมิงเยว่เข้ามาขวางเสียก่อนจนเสียจังหวะไป
ฉีหมิงเยว่ยังคงยืนแข็งค้างอยู่แบบนั้น เหม่อมองเซียถงในสีหน้าแววตาเปี่ยมไปด้วยความงุนงง นางไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า หญิงสาวที่ดูเรียบร้อยและสง่างามนางนี้จะมีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต ถึงขั้นที่ว่าออกหมัดซัดหน้าหลานอวี่จนเสียโฉมหน้าหงายลงกับพื้นจริงๆ และหากนางมาทราบทีหลังว่า ความตั้งใจเดิมของเซียถงคือตัดข้อมืออีกฝ่ายให้ด้วนไปซะ บางทีนางเองก็คงกรีดร้องลั่นระดมเหมือนหลานอวี่แน่นอน
“เจ้าเองก็เช่นกัน อย่ามายุ่งกับข้าอีก มิฉะนั้นเตรียมเสี่ยงชีวิต ไม่พิการก็ตาย!”
เซียถงเหลือบสายตาหยุดลงบนร่างไป๋หลี่อวี๋อิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า แสยะยิ้มฉีกมุมปากเล็กน้อย และหมุนตัวกลับไปโดยไม่เหลียวแลอีกเลย และเสี้ยวพริบตาที่หันกลับมานั้นเอง หลานอวี่ที่กำลังยกมือป้องปิดใบหน้าก็ลอบชักมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ที่เอวออกมา ระเบิดคลื่นพลังสีเขียวสุกใสจรัสจ้า พุ่งเข้าหาเซียถงด้วความเร็วประดุจสายฟ้า
“เซียถงระวัง!”
ฉีหมิงเยว่กรีดร้องลั่นสุดเสียง ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มของนางถึงกับซีดเผือดขนานหนัก ขวัญหนีดีฝ่อไม่เหลือ เพราะในความเข้าใจของนาง การที่หลานอวี่ลอบโจมตีเซียถงในชั่วจังหวะทีเผลอโดยทุ่มพลังทั้งหมดที่มี นี่นับเป็นความโชคร้ายอย่างที่สุดของตัวเซียถงเอง
แต่ใครจะไปทีราบ พอเห็นมีดสั้นในมือของหลานอวี่กำลังพุ่งเข้าเสียบร่างเซียถงจากด้านหลัง ทันใดนั้นเซียถงก็หันขวับ เสมือนเงาผีพรายเฝ้ารออยู่แล้ว พุ่งจับเสียงดังหมับ บิดข้อมือของหลานอวี่เพื่อเปลี่ยนทิศทางให้คมมีดหันเข้าหาตัวนางเอง จากนั้นก็ออกแรงผลักเต็มกำลัง คมมีดสั้นในมือของหลานอวี่กำลังพุ่งเข้าเสียบลำคอของตัวเองในเสี้ยวอึดใจ
“ช่วยด้วย!!”
หลานอวี่กรีดร้องลั่น
“ใครอนุญาตให้พวกเจ้าสู้กันที่นี่?”
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด หญิงสาวนางหนึ่งสวมชุดผ้าพลิ้วสบาย ปรากฏกายขึ้นมาต่อหน้าต่อตาพวกนางทั้งสอง พร้อมใช้ท่อนแขนข้างหนึ่งเข้ามากันท่า ออกแรงต้านเซียถงกลับไปเพื่อป้องกันมิให้คมมีดในมือของหลานอวี่แทงคอตัวเองตาย
พอเห็นแบบนั้น เซียถงพยายามโหมพลังต่อต้านอยู่สักพัก คมมีดที่จ่ออยู่บนลำคอของหวานอวี่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้อีกครั้ง แต่ก็ถูกแรงท่อนแขนของหญิงสาวนางนั้นผลักสวนกลับไปได้อย่างง่ายดาย
พอเห็นว่าอาศัยพละกำลังเพียงอย่างเดียวสู้มิน่าไหว เซียถงจึงผ่อนปรนกำลังและคลายมือออกมาในที่สุด
เสี้ยวจังหวะที่ทุกอย่างดูเหมือนจะคลี่คลายลง เซียถงฉวยโอกาสนั้น ยางนิ้วมือทั้งห้าปราดเข้าตะปบลำคอของหญิงสาวนางนั้นในทันใด
“เป็นสาวจากบ้านป่าเมืองเถื่อนรึไงกัน? ถึงขนาดกล้าลงมือลงไม้กับอาจารย์?”
หญิงสาวนางนั้นปลดปล่อยขุมพลังขอบเขตเสาหลักฟ้าออกมาโดยไว คว้าจับข้อมือของเซียถงเอาไว้ตรงหน้า
เซียถงโคจรลมปราณทั่วกายา ออกแรงกระชากชักแขนกลับเข้ามาได้ไม่ยากเย็นเกินไป ก่อนเคลื่อนสายตาไปหยุดลงไปที่ร่างของหลานอวี่ที่หลบอยู่ด้านหลังหญิงสาวนางนั้นอย่างเย็นชา สำหรับหญิงสาวที่เข้ามาขวางนางนี้ ถึงแม้จะแต่งตัวดูสบายๆ เรียบง่าย แต่ในเรื่องความสวยความงามนับว่าโดดเด่นอย่างยิ่งยวด ดวงตาคู่สีลูกท้ออ่อนช่างเย้ายวนทอประกายเจิดจรัส
ทั้งสองสบสายตาจ้องหน้ากันครู่หนึ่ง เซียถงสัมผัสได้ถึงเหงื่อนเย็นที่รินไหลออกมาจากแผ่นหลังได้เล็กน้อย รัศมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นปริมาณเข้มข้นกำลังกดทับอยู่บนร่างอยู่ พึงทราบได้ทันที ระดับความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเหนือกว่าตนอยู่หลายส่วน แต่กระนั้นก็ หากได้มีความสามารถที่จะปราบปรามนางได้โดยง่ายเช่นกัน เซียถงยืดหลังยืนหยัดอยู่ต่อหน้า ปราศจากท่าทีอ่อนข้อหรือเสียเปรียบกว่าใดๆ
ไป๋หลี่อวี๋อิงที่ซึ่งยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล กำลังเฝ้ามองจุดเกิดเหตุสำคัญ และนางก็รู้สึกตกใจอย่างมากที่เซียถงสามารถยืนแข็งข้อ เข้าเผชิญหน้ากับอาจารย์หยุนซีได้จริงๆ! นี่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ทั้งในด้านพลังลมปราณและความกล้าแกร่งของจิตใจ ไม่ว่าทางไหนนังอักลักษณ์นี่ก็เหนือกว่าตัวนางในทุกแง่มุม ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร ไป๋หลี่อวี่อิงจำเป็นต้องจำกัดนังเซียถงทิ้งไปเสียตั้งแต่ตอนนี้!
ขณะที่ท่ามกลางฝูงชนยืนสงบนิ่ง ใต้แขนเสื้อยาวตัวยาวของนางคล้ายมีบางสิ่งขยับเขยื่อนเล็กน้อย ชั่วพริบตาขณะ ไป๋หลี่อวี่อิงสบโอกาส สาดผงพิษไร้สีไร้กลิ่นโยนใส่ไปทางเซียถงโดยทันที
ชั่วขณะอึดใจ หยุนซีที่กำลังจับจ้องเซียถงตาเขม็งพลันระงับรัศมีแรงกดดันโดยพลัน ระดมลมปราณกระแสหนึ่งโบกสะบัดแขนเสื้อกวาดล้างผงพิษเหล่านั้นจนกระจายออกไปไกลโพ้น หันขวับส่งสายตาจับจ้องไปที่ไป๋หลี่อวี๋อิงท่ามกลางฝูงชนและตะโกนขึ้นว่า
“พวกเจ้าสามคน ไปตักน้ำหลังภูเขามาให้ข้า”
ไป๋หลี่อวี๋อิงปั้นหน้าละอายเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นถึงองค์หญิง มีหรือที่นางจะแบกหน้าทนรับบทลงโทษต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไร แต่ถึงแบบนั้น นางเองก็ไม่กล้าไปมีเรื่องกับอาจารย์หยุนซีเช่นกัน
นางยืนงุ่มง่ามอยู่แบบนั้นสักครู่ สุดท้ายรีบสับเท้าก้าวเข้าไปใกล้อาจารย์หยุนซี โน้มตัวเข้าแนบชิด กล่าวน้ำเสียงแผ่วพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มว่า
“ท่านอาจารย์หยุนซี ข้ายังมิได้ทำอะไรเลยจริงหรือไม่? คงไม่ค่อยสมเหตุสมผลเช่นกันหากให้เรียกใช้ข้าไปตักน้ำ?”
ร่างของนางประกบติดกับสีข้างหยุนซีแน่น ปิดเป็นมุมอับลับสายตาชั่วขณะ จากนั้นนางก็ยัดเหรียญทองจำนวนหนึ่งลงในกำมือของอีกฝ่ายทันที
“อืม…มันก็จริง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับองค์หญิง เช่นนั้นองค์หญิงเตรียมตัวเข้าเรียนได้แล้ว”
หยุนซีเก็บเหรียญทองจำนวนนั้นไว้ในแขนเสื้ออย่างเงียบงัน กล่าวทักทามไป๋หลี่อวี๋อิง น้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน รวนหัวเราะแก้เขินกันไป
ไป๋หลี่อวี๋อิงพยักหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเดินถอยหลังกลับออกไป ทิ้งกลุ่มหญิงสาวของนางให้ยืนงงอยู่แบบนั้น ก่อนที่พวกนางทั้งหลายจะได้สติฟื้นคืนและรีบวิ่งติดตามกันออกไป จางเสวี่ยหรงผู้ซึ่งแอบซ่อนตัวท่ามกลางกลุ่มหญิงสาวอย่างเงียบๆ เฝ้ามองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด ก่อนเหลียวหลังเดินจากไป ก็หันมาปรายสายตามองเซียถงเจือแววอำมหิตดุร้าย