ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 78 อดีตที่แสนตราตรึง
ตอนที่78 อดีตที่แสนตราตรึง
เซียถงอดตกใจกับแววตาอันเฉยชาของฉีหมิงเยว่ที่มีต่อไป๋หลี่เย่มิได้ พึงทราบว่า ผู้หญิงทุกคนที่ได้เห็นไป๋หลี่เย่ต่างต้องกรีดร้องกันเป็นบ้าเป็นหลัง หลงใหลกันหัวปักหัวปำ แต่นี่กลับเคลื่อนสายตามองไปผ่านไปอย่างหน้าตาเฉย จนท้ายที่สุดเซียถงถึงขั้นโพล่งตัวลุกขึ้นและมองติดตามสายตาของฉีหลิงเยว่ออกไปโดยไว ด้านหลังไป๋หลี่เย่ ปรากฏเป็นร่างชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีขาว คาดกระบี่สีเงินอยู่ที่เอวเล่มหนึ่ง ท่าทางสงบนิ่งปราศจากแววหยิ่งผยองจองหองใดๆ แลดูเป็นคนไม่มีพิษภัยเลย ซึ่งชายคนนั้นก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก เซี่ยหลู่เฟิง
เสมือนกับว่าสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องลงมาจากบนหน้าต่างโรงอาหาร เซี่ยหลู่เฟิงจึงแหงนศีรษะมองขึ้นไปสบตาเข้ากับฉีหมิงเยว่อย่างพอดิบพอดี ทั้งคู่รู้สึกตกใจไม่ต่าง ก่อนที่จะเป็นเซี่ยหลู่เฟิงที่ส่งยิ้มอบอุ่นมอบแก่อีกฝ่ายให้
ฉีหมิงเยว่ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงดังพรวดพราด ยกไม้ยกมือปิดป้องใบหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความเขินอายสุดขีด รีบวิ่งลงบันไดหนีออกไป
ฉีหมิงเยว่สับฝีเท้าหนีด้วยความตื่นตระหนก ระหว่างทางใจสั่นระรัวตื่นเต้นจนไม่ดูทาง ความคิดภายในหัวตีกันสับสนไปหมด จนท้ายที่สุดวิ่งเข้าประสานงา ชนเข้ากับไป๋หลี่อวี๋อิงที่บังเอิญผ่านมาแถวหน้าประตูทางเข้าออกโรงอาหารพอดี ทั้งสองถึงกับล้มคะมำร่วงลงกับพื้นก้นจ้ำเบ้า
“นังบ้านนอกที่ไหนอีก? กล้าดีอย่างไรมาวิ่งชนองค์หญิงจนล้มคะมำเช่นนี้? ใจร้อนอะไรปานนั้น?”
กลุ่มสาวๆ ที่ค่อยเดินติดตามไป๋หลี่อวี๋อิง รีบเข้าช่วยพยุงร่างขององค์หญิงแสนเถิดทูนของตนเองขึ้นมาโดยไว บางคนถึงกับวิ่งไปถีบยอดอกของฉีหมิงเยว่ซ้ำอย่างแรงจนนอนหงายลงกับพื้นทันที
โดนฉีหมิงเยว่วิ่งชนจนล้มคะมำกลางที่สาธารณะปานนี้ ไป๋หลี่อวี๋อิงย่อมรู้สึกอับอายขายขึ้หน้าเป็นที่สุด หลังจากที่บรรดาสาวๆ เหล่านั้นพยุงร่างขึ้นมา นางก็หยิบแส้ที่คาดเอวขึ้นมา และกระหน่ำฟาดใส่ฉีหมิงเยว่ไม่หยุดหย่อน คำรามลั่นด้วยความโกรธจัดว่า
“นังโง่! เดี๋ยวองค์หญิงผู้นี้ควักลูกตาให้สุนัขจรกินเลยดีหรือไม่?!”
แส้เส้นหนาฟาดใส่ทั่วร่างฉีหมิงเยว่อย่างบ้าคลั่ง เสียงเนื้อหนังปริแตกดัง กระแสความเจ็บปวดที่โฉบแล่นเกินพรรณนาจนถึงขั้นที่ว่า นางต้องเก็บขาเก็บแขนหดตัวเป็นลูกหนังกลมด้วยความทรมาน นอนสั่นเทาอยู่กับพื้นดินแบบนั้น พยายามยื่นมือขึ้นพนมและกล่าวขอโทษขอโพยไป๋หลี่อวี่อิง จากนั้นจึงค่อยหมอบคลานออกไปอย่างทะลักทะเล
“คิดจะจากก็จากไปเช่นนี้? ไม่ง่ายเกินไปหน่อยกระมัง?”
ปรากฏหญิงสาวทั้งสองคน ก้าวฉับเดินออกมาจิกหัวฉีหมิงเยว่และโยนร่างของนางกลับไปทีเดิม ก่อนจะพวกนางจะง้างรัศมียกมือขึ้นรุมตบอีกชุดใหญ่ จนท้ายที่สุดฉีหมิงเยว่ไปกองกับพื้นดินฝุ่นแดง นอนหมดสภาพแน่นิ่ง
ก่อนจะได้ตะเกียกตะกายลุกขึ้น ฉีหมิงเยว่โดนบาทาของบรรดาสาวๆถีบซ้ำจนหน้าหงาย ครั้งนี้นอนหดตัวนิ่งไม่กล้าขยับไปไหนอีก แววตาเปี่ยมไปด้วยความกลัวสุดขีด
“ข้าจำได้แล้ว นังนี่แหละที่ช่วยนังอัปลักษณ์น่าเกลียดตัวนั้น บัญชีแค้นที่ทำกับหลานอวี่จะไม่ถูกสะสาง เช่นนั้นขอรวบยอดทีเดียวในวันนี้!”
“คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าวิ่งชนองค์หญิงของพวกเรา? จะชดใช้อย่างไรที่ร่างกายสกปรกๆ ของเจ้าสัมผัสโดนองค์หญิง! เจ้าตายแน่!”
“เจ้ากับนังอัปลักษณ์นั่นล้วนเป็นศัตรูของสาธารณะ วันนี้เจอเจ้าก่อน เช่นนั้นก็ต้องโดนสั่งสอนก่อน!”
ระดับความแข็งแกร่งของฉีหมิงเยว่นับว่าไม่โดดเด่นอะไร ยามนี้นางถูกบรรดาสาวๆ ปิดล้อมกรอบเอาไว้นับสิบ ย่อมไม่มีพละกำลังใดจะไปต่อต้านได้เลย ทั้งตอนนี้เองนางถึงกับดิ้นพล่าน เพราะถูกหนึ่งในนั้นใช้เท้าเหยียบฝ่ามือขยี้เหยียบย้ำไม่หยุด มุมปากกระอักเลือดสดสายหนึ่งรินไหล สีหน้าซีดเผือดเจ็บปวดแทบสิ้นสติ
“นังอัปลักษณ์นั่นกล้าทำให้หลานอวี่ต้องเสียโฉม เช่นนั้นแล้ว เรามาทำให้หน้าของนังนี่เสียโฉมบ้างดีหรือไม่?”
หนึ่งในนั้นกล่าวแนะนำขึ้นพร้อมรอยยิ้มแสนชั่วร้าย
บรรดาสาวๆ ทั้งหลายต่างมองไปที่ไป๋หลี่อวี๋อิง ราวกับกำลังรอความเห็นจากนาง ซึ่งนางเองก็ยื่นกอดอกมองดูฉีหมิงเยว่นอนโทรมอยู่กับพื้นอย่างเฉยชา มุมปากกระตุกยิ้มขึ้นทีหนึ่ง กล่าวเพียงว่า
“ตามใจ จะต้มยำทำแกงอะไรกับมันก็ตามอิสระพวกเจ้าเลย”
ขณะนั้นเอง ดวงตาของนางพลันฉายแววชั่วร้ายออกมา ระดับน้ำเสียงแปรเปลี่ยนไป ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข กล่าวว่า
“แต่พวกเจ้าไม่คิดหรือว่า การทำให้นังนี่ตาบอดจะเป็นวิธีที่น่าสนใจกว่าทำให้เสียโฉมเฉยๆ?”
ในเมื่อไม่มีทางจัดการกับเซียถงได้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็แค่ลงมือให้หนักกับทุกคนที่อยู่รอบตัวของมัน จัดการฉีหมิงเยว่ทำลายอนาคตของนังนี้ไม่ให้เหลือ แล้วขอดูเสียหน่อยว่า ต่อไปยังมีใครกล้าผูกมิตรกับนังเซียถงอีก?
“องค์หญิงของเราฉลาดหลักแหลม! ทำให้มันพิการตาบอดย่อมเป็นความคิดที่ดีกว่าทมำให้เสียโฉมมาก!”
บรรดาสาวๆ เหล่านั้นต่างพยักหน้าพึงพอใจ สาวรับใช้นางหนึ่งของไป๋หลี่อวี๋อิงหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมาถือในมือ และเดินตรงไปจิกหัวฉีหมิงเยว่ขึ้นมา ง้างมีดกว้างพุ่งเสียบใส่ดวงตาของนางอย่างเลือดเย็น
ฉีหมิงเยว่เหม่อมองคมมีดที่กำลังแทงเข้าหา ก่อนจะหลับตาลงอย่างแช่มช้า ภาพใบหน้าของเซี่ยหลู่เฟิงโฉมฉายขึ้นมาในหัวของนางทันใด ยามนี้นางมิได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด เพียงว่ายังมีปลายแสงแห่งความหวังหลงเหลือ
เขาคนนั้นจะปรากฏตัวขึ้นมาช่วยนางในยามคับขันดังตอนนั้นอีกหรือไม่? เป็นยามค่ำคืนที่มีพายคมดาบอันแสนโกลาหลและบ้าคลั่งจู่โจมทั่วสารทิศ ตัวข้าอยู่ระหว่างความเป็นความตาย แต่ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มในชุดขาวตรงเข้ามาช่วยเหลือ ในมือกระชับกระบี่สีเงินเย็นเล่มหนึ่งเอาไว้ เข้าสกัดพายุดาบอันแสนโกลาหลนั่น
ในคืนนั้น….ที่องค์จักรพรรดิต้องการกำจัดนางทิ้ง เหล่าญาติพี่น้องล้วนนอนจมทะเลเลือดโดยสิ้น นางปราศจากความช่วยเหลือใดอีกต่อไป เสมือนจมลงสู่ก้นมหาสมุทรแห่งความสิ้นหวัง เฝ้ารอเพียงความตายที่คืบคลานเข้ามา ขณะที่ร่างกายที่ค่อยๆ ดำดิ่งสู่ห้วงสีทมิฬไร้ขอบเขต ทันใดนั้นก็มีมือคู่หนึ่งอันแสนอบอุ่นเอื้อมเข้ามากลัดกุมช่วยเหลือ และพานางออกไปจากทะเลแห่งซากศพและวังเวงแห่งความสิ้นหวังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
ท่ามกลางความหนาบเหน็บและโดดเดี่ยว เขากล่าวว่า รอข้าอยู่ตรงนี้ อีกไม่นานข้าจะพาเจ้าออกไปเอง
ทั่วทั้งร่างกายของนางในขณะนั้นปกคลุมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน แต่เขาคนนั้นก็ยังโอบกอดไว้แน่นในอ้อมแขน ช่างเป็นแรกสัมผัสที่อบอุ่นหัวใจเกินบรรยาย เฝ้ารอเพียงไม่นาน เซี่ยหลู่เฟิงก็พานางออกมาจากโศกนาฏกรรมในหุบเขาตอนนั้นได้
“เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง?”
สุ้มเสียงหนึ่งที่แสนอบอุ่นเปล่งดังขึ้นข้างใบหูของฉีหมิงเยว่ ได้ปลุกนางขึ้นจากภวังค์แห่งความทรงจำ พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็สบเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาดั่งที่ก้นบึ้งภายในดวงใจปรารถนาเอาไว้ นัยน์ตาสุกไสวของเขาช่างอบอุ่นไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลยสักนิด เฉกเช่นเดียวกับเมื่อสามปีที่แล้วไม่มีผิด
ความเศร้า ความสิ้นหวัง และความปีติทั้งหลายหลากทะลักพวยพุ่งออกมาจากสายตาคู่ของนางในทันที คล้ายมีคำพูดนับไม่ถ้วนต้องการจะเปล่งออกมา แต่กลับสำลักติดอยู่ในลำคอด้วยความปลื้มปีติ นางทำได้เพียงคว้าอกเสื้อของอีกฝ่ายและกอดไว้แน่น