ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 79 พูดจาหนังสุนัข
ตอนที่79 พูดจาหนังสุนัข
เซี่ยหลู่เฟิงมองหน้านางฉายแววงุนงง ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องจับจ้องตนด้วยสายตาเช่นนั้น เพียงว่า หน้าตาเฉกเช่นนี้ของนางค่อนข้างคุ้นเคยอยู่บ้าง เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนสักแห่งหน แต่สุดท้ายเขาก็จำไม่ได้อยู่ดี
เซียถงที่เพิ่งวิ่งเข้ามาเสริม เหลือบมองฉีหมิงเยว่ไปทีหนึ่งตัดสลับกับสาวรับใช้ของไป๋หลี่อวี๋อิงนางนั้นที่อยู่เคียงข้าง ก่นเสียงเย็นชากล่าวขึ้นว่า
“คงชอบแทงตาคนอื่นให้บอดมากกระมัง? เช่นนั้นเดี๋ยวข้าสนองให้”
คมมีดเลื่อนปรากฏลงมาจากใต้แขนเสื้อยาวของเซียถงตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ นางพุ่งเข้าไปใช้มีดสั้นเสียบทะลุเบ้าตาของสาวรับใช้นางนั้นจนมิดด้าม หนึ่งภาพฉากสยดสยองก่อกำเนิดต่อหน้าต่อตาทุกคน เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ เซียถงกะซวกมีดในมือดึงกลับมาพร้อมลูกตาก้อนกลมที่ยังเสียบคาอยูบนใบมีด สาวรับใช้นางนั้นกรีดร้องลั่นสุดน่าสังเวช ยกมือขึ้นปิดป้องเบ้าตาที่กลวงโบ๋ พร้อมกับธารเลือดสดที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุดดั่งกับน้ำพุ
แต่เพียงเท่านี้ เซียถงยังไม่คลายความเกลียดชังภายในใจของนาง ยกบาทาขึ้นถีบแผ่นอกของสาวรับใช้นางนั้นจนคว่ำ ยกเท้าขึ้นขยี้บริเวณใบหน้าของอีกฝ่าย บรรจงออกแรงบีบบดอย่างช้าๆ เสมือนคั่นแตงโมน้ำเยอะ ยิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ เลือดสีแดงสดก็ยิ่งพุ่งทะลักออกมาจากเบ้าตากรวงโบ๋ของอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น
จากนั้นเซียถงค่อยเงยมา กวาดสายตาอันเมินเฉยมองจับจ้องไปที่ใบหน้าของบรรดาสาวๆ ทุกคนนับสิบที่อยู่โดยรอบ
หากเซี่ยหลู่เฟิงมาช้ากว่านี้ไปก้าวหนึ่ง ฉีหมิงเยว่คงพิการตาบอดเป็นแน่แล้ว พอรู้ว่าไม่มีปัญญาทำอะไรนางได้ ก็เลยหันมาระบายอารมณ์รังแกใส่ฉีหมิงเยว่ที่ไร้ทางสู้แทน พฤติกรรมไร้ยางอายเช่นนี้ ค่อนข้างทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดอยู่ทีเดียว
เรียวตาหรี่แคบยิงประกายแสงเย็นเยียบใส่บรรดาสาวๆ โดยรอบ พวกนางทั้งหลายถึงกับอกสั่นขวัญเสียด้วยความกลัวจัด คู่เท้าของเซียถงกระตุกวูบ แปรสภาพลายเป็นเงาประกายสายหนึ่ง พุ่งโฉบบรรดาสาวๆ นับสิบเหล่านั้นเสมือนภูตผี และทุกฝีเท้าที่เคลื่อนผ่าน ล้วนปรากฏเสียงกรีดร้องของหญิงสาวร้องระงมไม่หยุดหย่อน สำแดงใช้คมมีดละเลงลวดลายสีเลือดกรีดยาวเป็นแผลสด ฝากฝังไว้ทั่วทั้งใบหน้าของพวกนางทุกคน
บรรจบครบหนึ่งรอบถ้วน เซียถงหยุดลงต่อหน้าไป๋หลี่อวี๋อิงตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ เหลือบมองบรรดาสาวๆ เหล่านั้นที่ขวัญกระเจิงกรีดร้องลั่นราวกับเป็นบ้า
“ข้าบอกไปแล้ว ล้ำเส้นข้า นับว่าเอาชีวิตมาเสี่ยงตายแล้ว”
สุ้มเสียงเย็นชาแผดดังกึกก้อง ทำเอาบรรดาสาวๆ เหล่านั้นยิ่งกรีดร้องหนักข้อเข้าไปใหญ่ราวกับเจอผี
“เสียงดังน่ารำคาญโดยแท้ หากยังไม่หุบปากข้าจะประเคนคมมีดยัดปากพวกเจ้ารายคน”
บรรดาสาวนับสิบตื่นตระหนกสุดกู๋กับความเลือดเย็นไร้ปรานีของเซียถง พวกนางยกมือขึ้นปิดปากพยายามระงับเสียงกรีดร้องสุดกำลังทั้งน้ำตา บางถึงกลัวสุดขีดถึงขนาดทนไม่ไหว อาเจียนออกมาเนื่องด้วยความตึงเครียดเกินจะทนไหว
เซียถงพ่นลมหายใจเย็นมองพวกไม่ได้เรื่องตรงนั้นอยู่หนึ่งปราด ก่อนจะหันมองกลับมายังไป๋หลี่อวี๋อิงที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงเนื่องด้วยความตกใจ นางไม่คิดเลยว่า เซียถงจะโหดเหี้ยมปานนี้จริงๆ ถึงขั้นที่ว่าไล่กรีดใบหน้าของหญิงสาวเหล่านั้นจำนวนนับวิบจนเสียโฉมโดยพร้อมเพรียง แม้ว่าตัวนางจะเป็นถึงองค์หญิงแห่งจักรวรรดิตงหลี่ผู้ทรงอำนาจ แต่ก็ยังปราศจากความหาญกล้า ทำเรื่องเช่นนี้ได้ ภูมิหลังของบรรดาสาวๆ พวกนี้ล้วนแข็งแกร่ง หากรังแกข่มขวัญเพียงคนสองคน ไป๋หลี่อวี๋อิงยังกล้า แต่กลั่นแกล้งรังแกทั้งหมดในคราเดียว เกรงว่าจะไม่
ในฐานะสักขีพยานต่อภาพฉากอันสยดสยองเบื้องหน้า พลันปรากฏร่องรอยความหวั่นเกรงขึ้นภายในก้นบึ้งในใจของไป๋หลี่อวี๋อิง ดวงตาที่แสนบูดบึ้งไม่พอใจเจือผสมแววเสียขวัญอยู่หนึ่งส่วน
“ไป๋หลี่อวี๋อิง อย่าคิดท้าทายข้าเสียจะดีกว่า หากล้ำเส้นมามากกว่านี้ เกรงว่าต่อให้เป็นเจ้าก็มิอาจแบกรับผลที่ตามมาได้”
ไป๋หลี่อวี๋อิงเสียวสันหลังวาบ รู้สึกหนาวเหน็บสะท้านทรวง นางค่อยๆ หน้าถอดสีเริ่มซีดขาว แต่กระนั้นยังคงฝืนตึง ขบริมฝีปากแน่นยืดแผ่นอกขึ้นสู้ ถึงอย่างไรนางก็ยังมีศักดิ์สถานะองค์หญิงแห่งจักรวรรดิตงหลี่ จะขอร้องให้เสด็จพ่อใช้อำนาจเพื่อปราบปรามนังอัปลักษณ์ตรงหน้ากลับหาใช่เรื่องยากเย็นอันใด
พอคิดได้ดังนั้น ไป๋หลี่อวี๋อิงอยากจะชี้หน้าด่ากราดเซียถงต่อหน้าทุกคนสักชุดหนึ่ง แต่ยามนี้เนื้อตัวของนางกลับสั่นเทาไม่หยุด กระทั่งจะเค้นเสียงส่งออกมาจากลำคอยังทำไม่ได้
นางกลัวจนพูดไม่ออก หรือบางทีจิตใต้สำนึกของไป๋หลี่อวี๋อิงอาจจะทราบดีว่า เมื่อใดที่นางพูดอะไรออกไปอีกแม้แต่คำเดียว เซียถงจะใช้มีดสั้นในมือ ปาดใส่ใบหน้าเหมือนที่เคยโดนคราวก่อนเป็นแน่ หรือไม่ก็อาจจะร้ายแรงกว่านั้น…
“เซียถง! เจ้ากล้ามาก! รู้หรือไม่ว่าโทษฐานที่หลบทำร้ายร่างกายองค์หญิงมันร้ายแรงเพียงใด?!”
พอเห็นไป๋หลี่อวี๋อิงยืนตัวสั่นไม่กล้าขยับเขยื้อนอยู่แบบนั้น ไป๋หลี่เย่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมสีหน้าทมิฬมืดทันที
ยิ่งเห็นว่าเซียถงเพิ่งจะทำให้บรรดาหญิงสาวนับสิบต้องเสียโฉม ไป๋หลี่เย่ก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปใหญ่
พึงทราบ เบื้องหลังของศิษย์สาวกหญิงนับสิบในสถานศึกษาแห่งนี้ที่เซียถงเพิ่งทำให้เสียโฉมไป ล้วนแต่เป็นขุมกำลังที่ทรงอิทธิพลอำนาจในจักรวรรดิตงหลี่แทบทั้งสิ้น และเชื่อได้เลยว่า คนพวกนั้นจะไม่มีวันปล่อยเรื่องในวันนี้ไปโดยง่ายแน่นอน คราวนี้ เซียถงนับว่าชะตาขาดแล้ว
“ข้าหรือจำต้องกลัวเกรงสุนัขที่มีดีแต่เห่า? ต่อให้เป็นเจ้าที่สร้างปัญหาให้ข้า จุดจบของเจ้าเองย่อมไม่ตายดีเช่นกัน ไม่ว่าใครหน้าไหน หากมันกล้าล้ำเส้นของข้า ข้าเองก็ไม่ปล่อยมันไว้ให้รกแผ่นดินเช่นกัน!”
เซียถงเงยหน้าสบสายตาปะทะชนกับอีกฝ่าย และทันใดนั้นเอง ขุมพลังแห่งขอบเขตเสาหลักฟ้าของนางพลันคลุ้มคลั่งระเบิดพลังออกมาสุดขั้ว! รัศมีแสงประกายสีครามเข้มทะลักล้นออกมาจากร่างของนางไม่หยุดหย่อน เพ่งสายตาสีเย็นจับขั้วหัวใจจับจ้องไป๋หลี่เย่และไป๋หลี่อวี๋อิงที่อยู่ตรงหน้าตาเขม็ง
นางทราบดีอยู่ในใจว่า ตนเองได้ทำอะไรลงไป และจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต และพวกผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังบรรดาสาวๆ พวกนี้ย่อมทราบ นี่หาใช่ปัญหาใหญ่หนักหนา เพราะสำหรับรอยแผลเป็นบนใบหน้าของพวกนาง ขอเพียงมีปัญญาซื้อยาสนามแผลทาใบหน้าคุณภาพสูงได้ ย่อมสามารถหายขาดจนไร้ร่องรอยได้ไม่ยาก อย่างที่แผลบนใบหน้าของไป๋หลี่อวี๋อิงที่จางหายไร้ร่องรอยแล้วในขณะนี้
กล่าวได้ถึง ถึงพวกคนที่อยู่เบื้องหลังจะเอาเรื่อง แต่คงไม่มีทางเอาถึงนางถึงที่สุดแน่นอน
ทั่วทั้งร่างกายของเซียถงในยามนี้ถูกรัศมีลมปราณสีครามเข้มปกคลุมอยู่เป็นชั้นหนาแน่น ดูโดดเด่นประดุจดวงดาราที่เฉิดฉายท่ามกลางรัตติกาล ประกอบเข้ากับชุดแต่งกายสีขาว พินิจมองโดยรวมเสมือนเทพธิดาผู้แสนยิ่งยโส สูงส่งทรงบารมี
มิทราบว่ามีเครื่องทำน้ำแข็งติดอยูบนตัวนางรึอย่างไรมิทราบ ถึงได้ส่งไอเย็นยะเยือกเสมือนหลุดออกมาจากปรโลกได้มหาศาลปานนี้ จนทำเอาทุกคนที่ได้สัมผัสต่างใจสั่นขวัญเสีย
บรรดาสาวๆ เหล่านั้นจับจ้องไปที่รัศมีลมปราณสีครามเข้มของเซียถง แต่ละคนต่างมีปฏิกิริยาที่ตื่นตกใจอย่างยิ่งยวด และภายใต้คลื่นแรงกดดันขุมมหึมา ต่างบีบบังคัญให้พวกนางทั้งหลายหน้าถอดสีหนักจนซีดเผือดราวกับแผ่นกระดาษบาง ไม่กล้าส่งเสียงดังแม้แต่จะหายใจ
“เซียถง การที่เจ้ากล้าลงมือทำร้ายผู้คนในสถานศึกษาแห่งนี้นับว่ามีโทษตามกฎระเบียบ ไม่กลัวอาจารย์หยุนซีจะลงโทษเลยงั้นรึ?”
ไป๋หลี่หานมองหน้าเซียถงท่าทีเมินเฉย และเอ่ยถามขึ้นอย่างใจเย็น
“องค์รัชทายาทเกรงว่ากำลังใส่ร้ายหม่อมฉันแล้วกระมัง? หากมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่ภายในใจสักนิด จะเห็นได้ว่า ฉีหมิงเยว่ถูกคนพวกนี้เข้ารังแกและทำร้ายร่างกายก่อน หากยังกล้าพูดจาหนังสุนัขเช่นนี้ออกมาอีก เกรงว่า ข้าต้องส่งท่านไปนอนติดเตียงอีกสักรอบแล้วกระมัง?”
เซียถงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอียงศีรษะมองหน้าปั่นประสาทใส่ไป๋หลี่เย่โดยปราศจากท่าทีเกรงกลัวใดๆ
นี่เป็นการดูดถูกเหยียดหยาม และท้าทายอำนาจของเชื้อพระวงศ์อย่างแท้จริง!
ไป๋หลี่เย่ขมวดคิ้วแน่น ทั่วร่างกายาระเบิดพลังลมปราณสีครามอ่อนออกมา มือข้างหนึ่งกระชับจับด้ามกระบี่คาดเอวไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ส่วนผู้ชายอีกสองถึงสามคนที่อยู่ด้านหลังไป๋หลี่เย่ต่างชักกระบี่ขึ้นชูใส่เซียถง ประกายคมสีเย็นบนใบกระบี่สาดแสงวิบวับ
ด้วยจำนวนศัตรูที่มากกว่าในขณะนี้ เซียถงเริ่มคำนวณถึงความเป็นไปได้ในหลายรูปแบบ เพื่อหาโอกาสชนะว่ามีมากน้อยแค่ไหน
ทันใดนั้น เซียถงสาดประกายตาเร้นแฝงจิตสังหารข้นขลัก กระชับมีดสั้นในมืออย่างเงียบงัน เตรียมออกโรงอีกครา เพราะไม่ว่าอย่างไร วันนี้นางลงมือทำร้ายผู้คนไปก็เยอะแล้ว จะหักแขนหักขาองค์รัชทายาทอีกสักคนคงไม่ต้องสนใจแล้วกระมัง?
“เซียถง หยุด!”
เซี่ยหลู่เฟิงซึ่งอยู่ในสภาพตกสู่ภวังค์ตื่นตะลึง ยามนี้เพิ่งได้สติฟื้นตัวขึ้นมา ปล่อยร่างของฉีหมิงเยว่ที่ประคองอยู่ในอ้อมแขนลง และวิ่งเข้ามาจับมือเซียถงมิให้เคลื่อนไหวใดๆ ต่อ
จากนั้นค่อยเหลียวสายตาจับจ้องไปทางไป๋หลี่เย่อีกครไง กล่าวน้ำเสียงไม่หนักไม่เบาว่า
“ท่านองค์รัชทายาท ครั้งนี้กลับเซียถงที่มีความผิด ข้าจะนำตัวไปสั่งสอนนางเอง ดังนั้นอย่าได้สืบสาวเอาความอันใดอีกเลย”