ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 81 เจ้าชอบพี่ชายข้ากระมัง
ตอนที่81 เจ้าชอบพี่ชายข้ากระมัง?
ฉีหมิงเยว่รับขวดโอสถสีม่วงไว้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก คล้อยลอบสังเกตสีหน้าหยุนซี ก่อนจะยื่นขวดโอสถสีม่วงกลับไปอย่างระมัดระวัง กล่าวด้วยท่าทีเขินอายว่า
“ท่านอาจารย์ ข้าไม่มีเหรียญทองแล้วจริงๆ คงไม่มีเงินซื้อโอสถขวดนี้”
“นี่เจ้าหูหนวกรึอย่างไร? ไม่ได้ฟังที่ข้ากล่าวเลย? ขวดนี้สำหรับเจ้าไง”
หยุนซียกมือเท้าสะเอวจับจ้องอีกฝ่ายเจือแววหงุดหงิด ก่อนเดินหยุดตรงหน้าเซียถง หรี่สายตาสีลูกท้องาม กวาดสายตาพินิจตั้งแต่หัวจรดเท้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปิดปากเงียบมิได้กล่าวอันใดทั้งสิ้น แต่จะสังเกตเห็นได้จากประกายแสงวาบหนึ่งที่เผยปรากฏขึ้นจากดวงตาคู่นั้น
เสมือนหนังศีรษะของเซียถงลุกซู่วเมื่อต้องเข้าสัมผัสกับดวงตาคู่ดังกล่าวของหยุนซี ด้วยสัญชาตญาณนางผงกศีรษะให้ หมุนตัวเตรียมเดินจากออกไปทันที แต่ชั่วขณะนั้นเอง อีกฝ่ายก็กล่าวไล่หลังดังขึ้นว่า
“สาวน้อย เจ้านี่นิสัยเหี้ยมโหดโดยแท้ ครั้งแรกก็จะลงไม่ลงมือกับองค์หญิง พอมาครั้งนี้ก็กับองค์รัชทายาท เพิ่งมาได้แค่สองวันกลับก่อเรื่องร้ายแรงไปถึงสองครั้งแล้ว”
“แต่สองครั้งที่ผ่านมา รายรับของท่านอาจารย์หยุนซีก็ค่อนข้างโตมิใช่น้อย? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคราวนี้ กำไรจากขวดโอสถคาดว่า น่าจะดีที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา?”
เซียถงเอ่ยกล่าวอย่างใจเย็น
“อืม รายได้จากการขายคราวนี้นับว่าพอประมาณ ข้าถลุงเล่นได้อีกสักพักใหญ่เลยล่ะ พูดได้เลยว่า เจ้าคือตัวทำกำไรของข้าก็มิผิด”
หยุนซีหรี่ตาแคบจ้องเซียถงตาเขม็ง ชะงักหยุดไปหนึ่งจังหวะและเอ่ยต่อพร้อมน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นว่า
“แต่ตามกฎระเบียบแล้ว หากมีเหตุทะเลาะวิวาทกันสามครั้งในสถานศึกษาเซิงหลิง เจ้าจะถูกไล่ออกทันทีโดยไม่สนว่าใครเป็นคนแนะนำเจ้าเข้ามา”
โดยเฉพาะกับประโยคสุดท้าย หยุนซีเน้นน้ำเสียงหนักเป็นพิเศษ
“ท่านอาจารย์หลัวซี ท่านเองก็น่าจะเห็นเช่นกัน กลับเป็นฝ่ายนั้นที่เป็นคนเริ่มเรื่องก่อปัญหา หากข้าไม่คิดเคลื่อนไหว เกรงว่าวันนี้คงต้องมีคนตายแล้วกระมัง?”
เซียถงกล่าว
“เจ้าจะไปจริงจังอันใดกับพวกไร้น้ำยา? ไม่มีใครสักคนเป็นคู่ต่อสู้เจ้าได้ หากมีความแค้นกันนัก ก็ไปชำระกับนอกเขตสถานศึกษา อย่าสร้างความวุ่นวายภายในนี้เด็ดขาด หากมีครั้งที่สาม ตามกฎของสถานศึกษา เจ้าจะถูกไล่ออกทันที”
หยุนซีส่งสายตาเป็นสัญญาณเตือนแก่เซียถงให้รับทราบ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปพร้อมกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเหรียญทองจำนวนมากมาย
หลังหยุนซีได้เดินจากไป เหลือเพียงสามคนเท่านั้นบนเส้นทางสายนี้ เซียถง ฉีหมิงเยว่และเซี่ยหลู่เฟิง สายลมเย็นสดชื่นสายหนึ่งพัดผ่าน นำพากลีบบุปผาทั้งหลายปริโปรยท่ามกลางความเงียบสงัด จนก่อให้เกิดบรรยากาศแปลกๆ ขึ้นมาแก่ทั้งสาม ฉีหมิงเยว่เหลือบมองไปทางเซียถง ส่วนเซียถงเหลือบมองไปทางเซี่ยหลู่เฟิงอีกทีหนึ่ง
ช่วงเวลาดังกล่าว เซี่ยหลู่เฟิงหันไปจับจ้องฉีหมิงเยว่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่า ตนรู้จักกับฉีหมิงเยว่นางนี้จริงๆ ส่วนฉีหมิงเยว่ได้แต่เบี่ยงสายตาหนีไปทางเซียถงอีกทีด้วยความเขินอายสุดขีดจนใบหน้าแดงก่ำ และเป็นเซียถงอีกครั้งที่อดใจมองไปทางเซียหลู่เฟิงมิได้ ทั้งนี้นางเองก็อยากรู้ว่า สรุปสุดท้ายนี้อีกฝ่ายเคยรู้จักกับฉีหมิงเยว่มาก่อนจริงๆ หรือไม่ผ่านดวงตาคู่นั้น
ทั้งสามมองหน้ากันไปกันมาเช่นนี้อย่างเงียบๆ เงียบงันจนบรรยากาศดูผิดประหลาด จนท้ายที่สุด เซียถงเป็นคนแรกที่เอ่ยปากทำลายความเงียบงันอันแสนแปลกประหลาดลง นางหันไปกล่าวกับเซี่ยหลู่เฟิงว่า
“ก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จาแล้วกัน ส่วนข้าขอตัวก่อน”
กล่าวจบ นางหันหลังกลับและเดินออกไปทันที ทว่าเพียงปลายเท้ายกขึ้นเหนือพื้น ฉีหมิงเยว่ที่อยู่ข้างๆ รีบเอื้อมมือขึ้นมาคว้าแขนของเซียถงไว้แน่น โพล่งลั่นด้วยความลุกลี้ลุกลนว่า
“ดะ-เดี๋ยวก่อน! ข้าไปด้วย!”
ฉีหมิงเยว่เร่งฝีเท้าเดินนำออกไปและลากเซียถงให้เดินตามออกมาโดยไว ท่าทางการแสดงออกของนางดูประหม่าร้อนรนอย่างยิ่ง แทบจะหิ้วปีกลากเซียถงออกไปให้ห่างจากเซี่ยหลู่เฟิงด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ฉีหมิงเยว่ เจ้าจะพาข้าไปไหน?”
หลังจากหิ้วปีกลากเซียถงออกมาเดินรอบสถานศึกษาได้สักพักหนึ่ง นางก็ต้านแรงอีกฝ่ายดึงตัวกลับมา เอ่ยปากถามฉีหมิงเยว่ทันที
ฉีหมิงเยว่ลากนางเชิงบังคับให้เดินไปไหนต่อไหนก็ไม่ทราบ เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้น เดินเตร่ไปอย่างไร้จุดหมาย
ฉีหมิงเยว่เงยหน้าขึ้นมา กวาดสายตามองไปโดยรอบเจือสีหน้างุนงง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“ไป…ไปห้องพักของข้า! ข้า…เอ่อ…ข้าอยากไปล้างตัวเปลี่ยนชุดใหม่!”
เซียถงพยักหน้าตอบ ส่วนตอนนี้อยากจะแกะมือของอีกฝ่ายถอนออกไปเสียเหลือเกิน แต่ฉีหมิงเยว่ก็จับไว้ซะแน่น จนสุดท้ายทำได้เพียงลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และปล่อยให้อีกฝ่ายลากนางเดินออกไปต่อ แต่สิ่งหนึ่งที่เซียถงรู้สึกได้อย่างชัดเจนคือ บนฝ่ามือที่กำแน่นของฉีหมิงเยว่ยามนี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“อย่าคิดมากไปเลย พี่ชายข้ามิได้ให้ความสำคัญกับรูปโฉมของสตรีเพศขนาดนั้น แต่จุดสำคัญเขาดูที่จิตใจ แล้วอีกอย่าง เจ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่สวยตรงไหน เพียงออกไปทางน่ารักจิ้มลิ้มมากกว่า”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกเปล่งออกมา ใบหน้าของฉีหมิงเยว่พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋อีกครั้ง นางจับจ้องไปทางเซียถง สีหน้าแววตาดูตื่นตระหนกสั่นไสวไปหมด กล่าวน้ำเสียงติดอ่างไม่เป็นภาษา
“จะ-เจ้า…เจ้าพูดเรื่องอันใด…ข้า…ข้าไม่ได้….”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ”
เซียถงพยักหน้าให้ สบสายตานางกลับไปและกล่าวต่อว่า
“พ่อข้าเองก็กำลังมองหาว่าที่พี่สะใภ้ของข้าอยู่เช่นกัน หลายวันมานี้ได้ยินคนในจวนพูดถึงเรื่อง หาคู่ให้พี่ชายข้ามาก็ไม่น้อยเลย จะอย่างไรข้าจะช่วยแนะนำเจ้าให้พี่ชายรู้จักให้มากกว่านี้เอง”
ขณะที่เอ่ยกล่าวออกไปแบบนั้น เซียถงสัมผัสได้ในทันใดว่า แรงบีบที่อีกฝ่ายจับแขนของนางมันยิ่งแน่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะบิดกระดูกให้แตกคามือได้อยู่แล้วกระมัง เซียถงถึงกับขมวดคิ้วสูดหายใจเข้าแช่มลึก เหลือบสายตามองไปยังฉีหมิงเยว่ที่เขินตัวบิด กล่าวว่า
“ฉีหมิงเยว่ หากบีบแขนข้าแน่นกว่านี้อีกนิด เกรงว่ากระดูกต้องมีแตกกันไปข้างแล้ว”
ฟังเสียงเรียกสติดังนั้น ฉีหมิงเยว่ดพึงตระหนักได้ทันใดว่า นางกำลังกำแขนเซียถงแน่นจนเลือดแทบไม่เดินแล้ว จึงรีบปล่อยมือคลายออกโดยไว และกล่าวขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่หลายรอบ เล่นเอาเซียถงอดส่ายหัวอย่างช่วยมิได้ หญิงสาวนางนี้เป็นคนฉลาดหัวไว แต่ไฉนถึงดูป้ำๆ เป๋อๆ ได้ขนาดนี้เมื่อเจอกับเซี่ยหลู่เฟิง?
หอพักที่ฉีหมิงเยว่อยู่เป็นส่วนฝั่งหลังของสถานศึกษาเซิงหลิง กล่าวได้ว่าเป็นบริเวณที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวอาคารเรียนหลักไม่น้อย ส่วนหอพักที่ว่าเป็นบ้านไม้ขนาดย่อม มีหลายหลังติดๆ กัน และห้องพักของฉีหมิงเยว่เป็นหลังที่สามนับจากหน้าสุด ภายในเป็นห้องเดี่ยวสำหรับหนึ่งคนอาศัย มีเตียงเล็ก ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อยดี
เซียถงเหลือบมองข้าวของใช้ภายในห้องก็พึงทราบทันที ฉีหมิงเยว่มิใช่คนร่ำรวยอะไร และเงินจำนวนมากถึงสิบเหรียญทองก็มิใช่เงินก้อนเล็กๆ สำหรับนางเลย บางทีนั่นอาจจะเป็นเงินเก็บออมทั้งชีวิตของนางด้วยซ้ำไป
ใช้เงินที่ตัวเองอุตส่าห์เก็บออมทั้งหมดเพื่อรักษาหน้าของเซี่ยหลู่เฟิง เซียถงอดสะเทือนใจมิได้ หลังจากนั่งรอให้ฉีหมิงเยว่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสรรพ นางจึงเอ่ยถามเข้าประเด็นไปตามตรงทันทีว่า
“เจ้าชอบพี่ชายข้ากระมัง?”
ฉีหมิงเยว่ที่กำลังพับเสื้อผ้าชุดเก่าที่สกปรกเข้าจัดเรียงในตู้ถึงกับชะงักแข็งค้างไปชั่วขณะ หันขวับกลับมามองเซียถงด้วยความประหลาดใจสุดขีด จากนั้นใบหน้าขาวผ่องจิ้มลิ้มน่ารักของนางก็เริ่มเห่อร้อน แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำดั่งผลผิงกั่ว [1] สีแดงสุก ดวงตาทอประกายเปล่งระยับเพิ่มมากขึ้น นางในตอนนี้ช่างงดงามเสียเหลือเกิน
“ข้าช่วยเจ้าได้”
พอเห็นอีกฝ่ายแข็งค้างไปแบบนั้น เซียถงก็ยิ่งมั่นใจกับการคาดเดาของตนเองมากยิ่งขึ้น และกล่าวต่ออย่างใจเย็นว่า
“หากเจ้าชอบเขา เช่นนั้นก็ควรสารภาพไปตามตรง เพราะดูเหมือนว่า อีกฝ่ายเองก็พอมีความประทับใจต่อเจ้าเช่นกัน”
[1] ผิงกั่ว = แอปเปิ้ล