ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 82 อาจารย์วิชากลยุทธ์
ตอนที่82 อาจารย์วิชากลยุทธ์
เสมือนดวงใจของฉีหมิงเยว่ถูกเซี่ยถงเขย่าอย่างแรง ทั่วทั้งใบหน้าของนางกลายเป็นแดงสดเสมือนกลั่นออกมาเป็นหยดเลือดได้มิปาน จับจ้องดวงตาคู่ใสบริสุทธิ์ของเซียถง กะพริบปริบอยู่สองสามครา แต่ในท้ายที่สุด กลับส่ายหัวตอบอย่างแช่มช้า
เมื่อเห็นฉีหมิงเยว่ส่ายหัวแบบนั้น เซียถงเองก็หยุดพูดต่อเช่นกัน นางไม่ใช่คนที่จะทำอะไรสักอย่างโดยไม่มีเหตุผล จะอย่างไร เห็นอีกฝ่ายเป็นพวกขี้อายแบบนี้ บวกกับนิสัยเป็นมิตรของฉีหมิงเยว่ ลึกๆ แล้ว เซียถงเองก็อยากจะช่วยเหลือเช่นกัน เอาเป็นว่า รอจนกว่าอีกฝ่ายจะพร้อมเสียแล้วกัน
ฉีหมิงเยว่เปลี่ยนชุดเสื้อผ้าเสร็จสรรพ จากนั้นก็ออกเดินทางไปเรียนพร้อมกับเซียถง ในวันนี้เซียถงจะต้องเข้าเรียนแขนงวิชากลยุทธ์ และได้ร่วมชั้นเรียนเดียวกับฉีหมิงเยว่เช่นกัน
เมื่อเทียบกับแขนงวิชาโอสถ จำนวนศิษย์สาวกภายในแขนงวิชากลยุทธ์มีมากกว่าหลายเท่านัก และภายในห้องนี้มีผู้หญิงน้อยมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย ดังนั้นแล้ว การที่ฉีหมิงเยว่และเซียถงเดินเข้าไปหาที่นั่งในห้องเรียนแห่งนี้ ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นจุดสนใจของบรรดาผู้ชายนับไม่ถ้วนทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเซียถงที่ครอบครองอากัปกิริยาแสนเย็นชา มาพร้อมกับผ้าคลุมปิดบังใบหน้าที่เพิ่มเสริมความลึกลับน่าค้นหาให้แก่นางอีกมหาศาล
ทันทีที่พวกเขาทั้งหลายจับจ้องมองมาทางนาง ทุกคนรู้สึกเสมือนฟ้าดินแห่งหนนี้มีเพียงสตรีเพียงหนึ่ง ร่างอรชรชดช้อย ทรวงทรงองเอวโค้งเว้าสมบูรณ์แบบในชุดสีขาว ทรงเสน่ห์อย่างที่สุดในสายตาบุรุษเพศ ผิวพรรณขาวผ่องประดุจดอกบัวหิมะที่เบ่งบานท่ามกลางหุบเขาน้ำแข็ง พอพวกนางเดินเข้ามาในห้องเรียน ชายทั้งหลายต่างหยิบพัดคลี่ขึ้นปัดป้องใบหน้าอย่างช่วยมิได้
“ซุกซ่อนความงดงามถล่มเมืองไว้ใต้ผ้าคลุมผืนหนึ่ง มันไม่น่าเสียดายเกินไปหรอกรึ?”
ชายถือพัดคลี่คนหนึ่งอดใจกล่าวแซวเซียถงมิได้ พร้อมหัวเราะคิกคัก
ชายทุกคนต่างอดจินตนาการมิได้จริงๆ ว่า ภายใต้ผ้าคลุมผืนนี้ได้แอบซ่อนความงามใดเอาไว้? นั่นจะต้องเป็นรูปโฉมอันงดงามหาที่สิ่งใดพรรณนาได้แน่นอน พอคิดได้ดังนั้น ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่นางพวงแววตาเปี่ยมความหวัง
พัดคลี่ในมือถูกฟันขาดดังฉับขาดครึ่งในทันใด รอยยิ้มมากตัณหาของชายผู้ถือพัดคนนั้นถึงกับแข็งค้างไปชั่วขณะ เหลือบสายตาเคลื่อนลงไปจับจ้องคมมีดสั้นสีเย็นประกายจ่ออยู่ที่คอหอยด้วยความสยดสยองสุดขีด ไม่กล้าขยับเขยื้อนร่างกายใดๆ
สะบัดมือเก็บมีดเข้าใต้แขนเสื้ออย่างว่องไว เซียถงทิ้งทวนรอยแผลบางสีแดงบนคอของอีกฝ่ายให้พึงระลึก และกล่าวว่า
“อยู่ให้ห่างจากข้าจะดีกว่า”
สิ้นเสียงกล่าวจบ นางก็หมุนตัวเดินออกมา ทิ้งให้คุณชายผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจคนนั้นนั่งตัวสั่นเทิ้ม แฝงร่องรอยความหวั่นเกรงค้างเติ่งในดวงตา
เซียถงและฉีหมิงเยว่เดินไปนั่งยังแถวสุดท้ายของห้องเรียน ภาพฉากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของเซียถงไม่มีใครในห้องมองทันแม้สักคน ส่งผลให้จวบจนตอนนี้ ไม่มีใครกล้าเดินมาคุยกับนางอีกเลย ทั้งสองนั่งรอคาบเรียนกลยุทธ์เริ่มขึ้นอย่างเงียบงัน
หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋หลี่เย่ก็เดินเข้ามาในห้องเรียนและทันทีที่ก้าวเท้าขวาเข้ามาในประตู ร่างของเขาก็ถึงกับแข็งค้างไปชั่วขณะเมื่อพบกับเซียถงที่นั่งอยู่หลังห้อง และนางเองก็สบตาปะทะชนเขาสวนตอบกลับมาเช่นกัน สายตาของทั้งคู่เข้าประสานงากันกลางอากาศ บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกลงทันที
ไอความหนาวเหน็บอันไร้ขอบเขตเล็ดลอดออกมาจากคู่สายตาของทั้งเซียถงและไป๋หลี่เย่ ทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างสัมผัสถึงรัศมีความเป็นศัตรูของกันและกันระหว่างทั้งสองได้ทันที ห้องเรียนเงียบลงชั่วขณะ ทุกสายตาต่างมุ่งความสนใจอยู่กับท่าทางปฏิกิริยาของทั้งสอง
“ไฉนองค์รัชทายาทถึงยืนอยู่หน้าประตูเช่นนี้?”
อาจารย์ที่เพิ่งมาถึงห้องเรียนขมวดคิ้วฉงนใจเล็กน้อยที่เห็นไป๋หลี่เย่ยืนปิดประตูทางเข้าขวางกั้นเอาไว้อยู่ ซึ่งคำถามประโยคดังกล่าวได้ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงัดทั้งหมดในห้องเรียนลงทันควัน
“โอ้? ท่านอาจารย์ เชิญเข้าก่อนเลย ข้าจะไปนั่งประจำที่เดี๋ยวนี้”
ไป๋หลี่เย่หันกลับไปส่งพยักหน้าแก่อาจารย์ท่านดังกล่าวที่เพิ่งมาถึงเล็กน่อย และเดินเข้าห้องเรียนไปเพื่อเข้านั่งเก้าอี้แถวหน้าสุดที่ถูกจองเอาไว้สำหรับเขาตั้งแต่แรก
ร่างกำยำสูงใหญ่เดินขึ้นมาบนเวทีสอนหน้าห้องเรียน กวาดสายตาอันคมกริบประดุจอินทรี สาดเข้าใส่เหล่าศิษย์สาวกทุกคนภายในห้อง และในที่สุดก็หยุดลงตรงใบหน้าของเซียถง ร่องรอยความแค้นอาฆาตฉายแววปะทุเดือด ผุดขึ้นจากดวงตาของอาจารย์ท่านนั้นในบัดดล
เพราะเขายังสลักจำได้อย่างแม่นยำต่อเหตุการณ์ที่บุตรสาวของเขาถูกเซียถงใช้มีดกรีดแทงใบหน้า!
เซียถงเหมือบสายตามองดูอาจารย์ท่านนั้นที่ก้าวย่างขึ้นบนเวทีสอน นางถึงกับใจหายวาบในทันใด ปรากฏว่า…อาจารย์ที่สอนแขนงวิชากลยุทธ์ก็คือ แม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว! ทันทีทันใด นางย้อนรำลึกถึงคำกล่าวของไป๋หลี่หานในช่วงเช้าได้ในทันใดที่ว่า ‘ข้ามาที่นี่เพื่อรับชมการแสดง’ จู่ๆ ประโยคคำกล่าวนี้ก็เปล่งดังขึ้นภายในใจ!
นับเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมโดยแท้!
คล้อยหลังสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นางก็สบสายตาแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วที่จับจ้องตนเขม็งกลับไปอย่างสงบนิ่ง เซียถงไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด นับประสาอะไรกับแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วล่ะ? คราวที่แล้วนางก็พร้อมสัประยุทธ์เดือดกับเขาเช่นกัน
พอไป๋หลี่เย่เสาะเห็นแววแค้นอาฆาตสาดสะท้อนผ่านแววตาหม่นประกายมืดทมิฬของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว ร่องรอยความเย้ยเยาะพลันเชิดปรากฏขึ้นบนมุมปากของเขาทันที เซียถง เจ้าคงภาคภูมิใจในตัวเองมากนักใช่หรือไม่? ถึงเวลาที่เจ้าต้องพานพบกับความลำบากแล้ว กล้ากระตุกหนวดเสือยั่วยุแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว ข้าไม่เชื่อว่า ความแกร่งกล้าของเจ้าจะสามารถเอาชนะจำนวนกองทหารนับหมื่นแสนของอีกฝ่ายได้!
“เซียถง เหตุใดเมื่อวานเจ้าถึงโดดเรียน?”
แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วเลิกคิ้วมองเซียถง สายตาคู่นั้นประดุจพญาเสือจ้องเหยื่อ และเปิดฉากเริ่มสร้างปัญหาแก่นางในทันที
“เมื่อวานข้าไม่สบาย จึงได้ขอลาหยุดกับท่านอาจารย์หยุนซีเอาไว้แล้ว ต้องกลับบ้านกะทันหันเพื่อเข้าพบหมอ”
เซียถงผลักภาระความรับผิดชอบทั้งหมดให้แก่หยุนซีโดยตรง สันนิษฐานได้ว่า พวกกล้าได้กล้าชนเฉกเช่นหยุนซี ต่อให้เป็นนายพลจางเจิ้งกั๋วก็ไม่น่าจะกล้ายั่วยุนางได้โดยง่าย
“มันไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะขอลากับใครเอาไว้ แต่การที่เจ้ามีเจตนาโดดเรียนวิชาของข้านับว่ามีความผิดแล้ว แม่ทัพผู้นี้จะลงโทษเจ้า! ตลอดหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ เจ้าจะต้องแบกถังน้ำไว้บนหลังตลอดห้ามวาง!”
พอได้ยินเซียถงกล่าวถึงหยุนซี จู่ๆ แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วก็ยิ่งเกรี้ยวกราดขึ้นเป็นทวี จนทั่วทั้งใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความพิโรธ ยกฝ่ามือแผ่นใหญ่ตบโต๊ะเสียงดังปัง จ้องไปที่นางตาเขม็งราวกับจะพ่นไฟออกมาได้อย่างงั้น
“แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วกับอาจารย์หยุนซีเกลียดขี้หน้ากันมาก”
กระตุกแขนเสื้อเซียถงเล็กน้อยเพื่อเรียก ฉีหมิงเยว่เอ่ยกระซิบเสียงต่ำอยู่ข้างๆ
เซียถงที่ได้ฟังดังนั้นถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่กับตัวเองอย่างลับๆ ความผิดพลาดคราวนี้นับว่าราดน้ำมันบนกองไฟโดยแท้
แต่….
เสี้ยวอึดใจต่อมา เซียถงทอประกายตาออกมาวาบหนึ่ง มุมปากกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองไปทางแม่ทัพจางจิ้งกั๋วและเอ่ยถามสวนกลับไปว่า
“ที่มาลงโทษกันเช่นนี้มิใช่ว่าแม่ทัพมีความแค้นส่วนตัวกระมัง? ท่านอาจารย์หยุนซีกับศิษย์คนนี้นับว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน พอท่านทราบก็เลยพยายามก่อร่างสร้างปัญหาแก่ศิษย์แล้ว? ในความเห็นของศิษย์ กลับไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากซับซ้อน เพราะหากท่านแม่ทัพมีความสามารถจริงๆ ก็ควรไปสะสางปัญหากับท่านอาจารย์หยุนซีด้วยตัวเอง มิใช่ระบายอารมณ์ลงกับเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างศิษย์จริงหรือไม่? หากเรื่องในวันนี้แพร่กระจายออกไป ทม่านแม่ทัพอาจกลายมาเป็นขี้ปากของทุกคนในสถานศึกษา หาว่ามีดีแค่รังแกเด็กคนหนึ่ง”