ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 84 จงใจสร้างปัญหา (2)
ตอนที่84 จงใจสร้างปัญหา (2)
นอกจากความเสียใจที่เผยออกมาจากดวงตาสีลูกท้อคู่นั้นแล้ว มันกลับปราศจากแววความรังเกียจหรือขยะแขนงใดๆ ทั้งสิ้น ดั่งเช่นท่าทางการแสดงออกของคนอื่นๆ ที่มีต่อเซียถงเมื่อเห็นโฉมหน้าของนาง
เซียถงรับผ้าพันคอของหยุนซีนำมาใช้แทนผ้าคลุมใบหน้าผืนนั้น และส่ายหน้ากล่าวว่า
“ไฉนถึงน่าเสียดายล่ะท่านอาจารย์? ถึงแม้ใบหน้าของข้าจะอัปลักษณ์น่าเกลียดเพียงใด แต่ข้าก็ยังมีชีวิตที่เต็มไปด้วยอิสระและความสุขดี อีกทั้งยังภูมิใจที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ บางทีตัวข้าอาจจะมีความสุขเสียยิ่งกว่าสาวงามบางคนที่จำต้องพึ่งพาเงาของผู้อื่นไม่รู้กี่เท่าทวี”
“ฮ่าฮ่า! ฝีปากของเจ้าช่างเฉียบแหลมนัก!”
หยุนซีระเบิดหัวเราะขึ้นทันทีพร้อมปรบมือด้วยความชื่นชมต่อทัศนคติของอีกฝ่าย
คล้อยหลังจากนั้น เสียงหัวเราะของหยุนซีพลันหยุดชะงักงันไปชั่วขณะ กล่าวน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“เซียถง ข้าได้กลิ่นพิษจากในร่างกายของเจ้าตั้งแต่ก่อนเปิดผ้าคลุมหน้าแล้ว แล้วพอได้เห็นใบหน้าของเจ้าในขณะนี้ ข้าก็ยิ่งมั่นใจขึ้นหลายส่วน จุดด่างดำบนใบหน้าของเจ้าล้วนเกิดจากพิษที่ว่าจริงๆ หากเมื่อใดที่เจ้ากลายมาเป็นนักหลอมโอสถเต็มตัว เจ้าก็จะสามารถหลอมกลั่นโอสถล้างพิษนี้ด้วยตัวเองได้ และในเวลานั้นใบหน้าของเจ้าจะกลับมางดงามอย่างที่ควรจะเป็น”
ปรากฏว่าที่หยุนซีเคลื่อนไหวโจมตีเมื่อครู่ ทั้งหมดทำไปเพราะนางต้องการจะตรวจสอบว่า เซียถงถูกวางยาพิษจริงๆ หรือไม่?
เซียถงที่ได้ตระหนักทราบถึงเจตนาที่แท้จริงของหยุนซี เสมือนสัมผัสได้ถึงกระแสน้ำอุ่นที่ไหลบ่าเข้ามาในหัวใจดวงนี้
“เซียถง เจ้าเป็นคนที่มีธาตุไฟในกายแกร่งกล้ามาก และมีความเป็นไปได้สูงมากที่ในอนาคตต่อไป เจ้าจะได้กลายมาเป็นเซียนโอสถ จงเอาไว้ให้ดี ตราบใดที่เจ้าไม่ยอมแพ้ ความสำเร็จอันไร้สิ้นสุดจะต้องมาถึงในสักวัน”
สีหน้าท่าทีของหยุนซีในขณะนี้มิได้ล้อเล่นเมื่อก่อนหน้า แต่ทุกน้ำเสียงที่เปล่งดังออกมาล้วนเต็มไปด้วยความคาดหวังที่มีต่อเซียถง คล้อยหลังได้ฟังเรื่องธาตุไฟในกายของเซียถงจากอาจารย์ในหอทะเบียน ทีแรกหยุนซีเองก็ไม่อยากเชื่อหูตัวเองเช่นกัน เพราะนางไม่เคยเห็นศิษย์สาวกคนใดสามารถทำให้เปลวไฟในลูกแก้วทดสอบลุกโชติช่วงได้สูงปานนั้น
เนื่องจากหยุนซีไม่มีธาตุไฟอยู่ในตัวเลย ทุกครั้งที่หลอมกลั่นโอสถจำต้องพึ่งพาไฟจากทางสถานศึกษา คุณสมบัติของนักหลอมโอสถไม่สมบูรณ์ ดังนั้นหยุนซีจึงเป็นได้แค่เซียนพิษเท่านั้น และนี่คือสิ่งที่น่าเศร้าใจที่สุดในชีวิตของนาง
“ขอบคุณสำหรับคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ เซียถงจะไม่ยอมแพ้และตั้งใจศึกษาให้มาก จะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง”
เซียถงพยักหน้าตอบด้วยความเคารพจากใจจริง
หยุนซีนับเป็นบุคคลแรกในผืนพิภพแห่งนี้ที่สามารถทำให้นางรู้สึกเลื่อมใสได้
“หลังจากเจ้ากลายมาเป็นนักหลอมโอสถแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยจ่ายหนี้ข้าก็แล้วกัน”
หยุนซีจ้องมองไปที่เซียถงพร้อมด้วยสายตาอันเปี่ยมล้นความหวัง หยิบพลั่วที่ปักคาอยู่บนต้นไม้และเดินจากไปทันที
เซียถงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ขณะกำลังจะเอ่ยปากกล่าวอะไรสักอย่างออกมา อีกฝ่ายกลับเดินจากไปเสียแล้ว เพราะเหตุใดกัน…นางถึงรู้สึกว่า ‘หนี้’ ที่หยุนซีพูดถึงเมื่อครู่มันจะมีความหมายเป็นอย่างอื่น? หรือนางต้องการโอสถ? แต่ลำพังด้วยความสามารถของหยุนซี โอสถเหล่านั้นกลับดูไร้ค่าต่อหน้านางไปเลย
พึงทราบ ต่อให้นางจะไม่มีธาตุไฟอยู่ในตัว แต่ก็ยังพึ่งพาอาศัยไฟจากสถานศึกษาเพื่อหลอมกลั่นโอสถได้อยู่ดี
ยิ่งเซียถงได้มีปฏิสัมพันธ์กับหยุนซีมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกหน้าเงินหรือโลภมากอะไรขนาดนั้น ที่นางพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาเงินเช่นนี้ เกรงว่าน่าจะมีความลับอื่นซ่อนอยู่เบื้องหลัง
หลังครุ่นคิดไปสักครู่หนึ่ง เซียถงก็เดินจากป่าไผ่ออกมาพร้อมกับผ้าคลุมผืนใหม่ที่ได้รับมาจากหยุนซี กลับไปยังสถานศึกษาเซิงหลิง นางมิได้สนใจรูปลักษณ์หน้าตาของตัวเองก็จริง แต่คงไม่ใช่เรื่องดีเช่นกันที่ว่า หากเปิดเผยใบหน้านี้สาธารณชนไป มันจะนำพาปัญหาไร้สาระต่างๆ นานาเข้ามาให้เสียเวลาโดยเปล่า
พอเข้ามาในสถานศึกษาเซิงหลิง นางก็ตรงเข้าไปในห้องเรียนแขนงวิชายุทธ์ทันที คล้อยหลังเข้ามาถึงก็พบฉีหมิงเยว่โบกมือจองที่นั่งให้แล้ว ตำแหน่งเกือบท้ายห้อง ทว่าทันทีที่หย่อนก้นนั่งลง เซียถงพลันสัมผัสได้ถึงสายตาบางคู่ที่จับจ้องเข้ามา เคลือบชโลมแววจิตสังหารสาดใส่
เมื่อเงยหน้ามองตามต้นสายตาเหล่านั้น ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ไม่มีผิด ปรากฏว่าเป็นไป๋หลี่อวี๋กับไป๋หลี่เย่อีกแล้ว ศิษย์สาวกทั้งหมดในสถานศึกษาแห่งนี้ โดยพื้นฐานจะต้องลงทะเบียนเรียนวิชาแขนงยุทธ์เป็นตัวหลัก ส่วนอีกสองสายวิชาให้เลือกได้ตามอิสระ
เซียถงรู้สึกเกียจคร้านเกินกว่าจะมาใส่ใจสองพี่น้องคู่นี้แล้ว จึงเมินสายตาของทั้งคู่ที่จับจ้องกันเขม็ง และนั่งรออาจารย์ผู้รับผิดชอบสอนวิชาแขนงยุทธ์อย่างเงียบงัน ไม่นานเกินรอ อาจารย์ประจำแขนงวิชายุทธ์ก็เปิดประตูตรงขึ้นเวทีสอนด้านหน้าห้องเรียน เขาเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำ ทุกอากัปกิริยาการเดินของเขาช่างสง่างามไร้ที่ติ
เหลือบสายตามองปราดหนึ่งเจือแววเบื่อหน่าย เซียถงถึงกับหันขวับขยี้ตามองอีกรอบทันทีด้วยความตะลึง! เพราะอาจารย์ประจำแขนงวิชายุทธ์กลับมิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก ไป๋หลี่หาน!
ตระหนักได้ถึงสายตาคู่ตื่นตระหนกของเซียถงที่มองมาทางนี้ มุมปากของไป๋หลี่หานเชิดยิ้มกระตุกขึ้นเล็กน้อย ประกายตาเฉียบคมปนเจ้าเล่ห์พุ่งผ่านช่องสายตาหน้ากากลวดลายน้ำแข็ง ยิงเข้าใส่นางที่นั่งอยู่โดยตรง ดูมีท่าทีภาคภูมิติดขี้เล่น ในเวลานี้เขารู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ราวกับว่าทุกครั้งที่ได้เห็นท่าทางอันตื่นตะลึงของเซียถง เขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เซียถงข่มตาหลับสงบสติอารมณ์ลงภายในใจ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นสบตากับไป๋หลี่หานอีกครั้งอย่างเฉยเมย เป็นที่ชัดเจน อีกฝ่ายอยากที่จะเห็นใบหน้าตอนที่นางตื่นตกใจ ดังนั้นแล้ว จึงขอปั้นหน้าเรียบเฉยเพื่อดูหน่อยว่า ยังจะอารมณ์ดีไปได้ถึงไหนอีก?
พบเห็นร่องรอยความไม่แยแสบนใบหน้าของเซียถง มุมปากของไป๋หลี่หานกระตุกขึ้นอีกครา เสมือนว่าเผยสะท้อนรอยยิ้มปรากฏขึ้นจากดวงตาได้ก็มิปาน
ถอดถอนสายตาจากเซียถง เคลื่อนมองไปทางอื่น กวาดเข้าหาเหล่าศิษย์สาวกมากหน้าหลายตาทั่วห้องเรียน กระแอมไอเบาๆ จึงกล่าวขึ้นว่า
“หากต้องการพัฒนาความแกร่งกล้าของพวกเจ้าเอง ประการแรกเลย พวกเจ้าจะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ดังนั้นบทเรียนในวันนี้ของพวกเจ้าทุกคนคือ ออกไปวิ่งบนภูเขาป่าสนเพื่อฝึกความอึด ไปกลับหนึ่งร้อยรอบ! ระหว่างทางไม่อนุญาตให้หยุดพักเหนื่อย ไม่อนุญาตให้หยิบยื่มพลังลมปราณมาใช้!”
ทันทีที่คำกล่าวประโยคนี้ดังออกมา ทุกคนในห้องเรียนต่างร้องอุทานลือลั่นกลายมาเป็นบรรยากาศแสนโกลาหล ยกเว้นเสียแต่เซียถง ไม่มีใครเห็นด้วยกับบทเรียนที่ไป๋หลี่หานมอบหมายให้เลย ให้วิ่งขึ้นลงบนภูเขาป่าสนไปกลับร้อยรอบ ห้ามพักระหว่างทางและห้ามไม่ให้ใช้พลังลมปราณช่วย นี่มันหลักสูตรอะไรกันแน่? แล้วเมื่อใดกันกว่าพวกเขาจะวิ่งเสร็จ? พวกเขามาเรียนเพื่อฝึกปรือทักษะการต่อสู้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ใช่มาเพื่ออยากเป็นนักวิ่งอึด
“มีใครอยากแสดงความเห็นอะไรหรือไม่?”
เมื่อสัมผัสถึงความไม่พอใจของบรรดาศิษย์สาวกที่ชักสีหน้าใส่กัน ทันทีทันใด พลันปรากฏคลื่นแรงกดดันไอเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากร่างของไป๋หลี่หาน กวาดสายตาคู่คมสาดเข้าใส่ทุกึคนถ้วนหน้า กล่าวขึ้นต่อว่า
“หากใครไม่พอใจก็ยกมือขึ้นได้”
ทันทีที่สิ้นเสียง อุณหภูมิโดยรอบในห้องเรียนพลันลดฮวบลงกว่าสิบองศาในพริบตา สายตาแสนอันตรายของเขาทำให้ทุกคนเนื้อตัวสั่นเทาโดยมิตั้งใจ พอไป๋หลี่หานเคลื่อนสายตามองไปทางไหน เหล่าศิษย์สาวกทางนั้นต่างส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง ภายใต้สถานการณ์เฉกเช่นนี้ มีเพียงคนโง่งมเท่านั้นที่กล้าแสดงความขับข้องใจต่ออาจารย์ผู้นี้ เว้นเสียแต่ว่า มีคนเบื่อชีวิตแล้วจริงๆ
ไม่มีใครออกความคิดเห็น? ไป๋หลี่หานกวาดสายตามองอีกรอบหนึ่งบรรจบ เห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน เขาจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ภายใต้สายตาอันสุดแสนอันตรายของไป๋หลี่หานที่ยังเฝ้าจับจ้องไม่เสื่อมคลาย ทุกคนต่างลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินทางออกจากสถานศึกษาเซิงหลิงโดยทันที และเริ่มออกวิ่งขึ้นภูเขาป่าสนอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
สำหรับคนปกติทั่วไป การวิ่งจากตีนเขาป่าสนขึ้นไปถึงยอดเขาจะเวลาหนึ่งชั่วยามโดยประมาณ แต่ศิษย์สาวกทุกคนในสถานศึกษาเซิงหลิงล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญตบะทั้งสิ้น ความแข็งแกร่งทางกายภาพย่อมเหนือกว่าคนปกติหลายเท่า สืบเนื่องให้ความเร็วย่อมสูงกว่าโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม วิ่งไปกลับหนึ่งร้อยรอบโดยห้ามพักและห้ามใช้พลังลมปราณ นี่นับว่างานหนักสำหรับพวกเขาแล้ว ซึ่งจุดสำคัญที่สุดคือ พวกเขาจะต้องวิ่งให้ครบก่อนมืด