ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 85 ภูมิใจในตัวท่าน (1)
ตอนที่85 ภูมิใจในตัวท่าน (1)
ดังนั้นแล้วพอมาถึงเชิงเขา ทุกคนจึงเริ่มออกวิ่งกันอย่างหนักหน่วง ส่วนเซียถงมิได้วิ่งไล่ตามหลังฝูงชนเหล่านั้น นางกลับเลือกใช้เส้นทางที่คดเคี้ยวราวกับลำไส้แกะเพื่อวิ่งตามลำพัง ตลอดทางยาวทอดไปถึงบนหุบเขาเต็มไปด้วยวัชพืชและหลุมบ่อ ทำให้วิ่งยากกว่าเส้นทางหลักขึ้นภูเขา
อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าการฝึกฝน ยิ่งระดับความยากมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยิ่งดีขึ้นมากเท่านั้น
เมื่อสับเท้าวิ่งออกไปตรงหน้า เซียถงลัดเลาะไปตามเส้นทางบนหุบเขาด้วยความเร็วคงที่ตามมาตรฐาน วิ่งขึ้นไปจนสุดทาง ทั้งลวดหนามและวัชพืชมากมายบาดเกี่ยวข้อเท้าและกางเกงของนางจนเป็นแผล บ้างถึงกับกรีดลึกเข้าผิวหนังบริเวณข้อเท้าเข้าไป ก่อให้เกิดความเจ็บปวดเล็กน้อย แต่นี่กลับทำให้นางรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ดั่งได้หวนระลึกถึงครั้นที่ฝึกพิเศษในหน่วยลับ
ในช่วงห้าสิบรอบแรกของการวิ่ง เซียถงคงรักษาความเร็วได้ไม่มีแสดงอาการเหน็ดเหนื่อยใดๆ ออกมา แต่ผ่านไปห้าสิบรอบหลังจากนั้น นางก็เริ่มรู้สึกว่าคู่เท้าของตนเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ แผลพุพองที่ฝ่าเท้าถูกไถกับรองเท้าที่ขาดยุ่ย กระแสความแสบสันเริ่มลุกลาม ทุกย่างก้าวที่ฝ่าเท้าเหยียบลงเสมือนวิ่งบนลู่คมเข็มที่ทิ่มแทง แผลบริเวณข้อเท้าเองก็เริ่มปริฉีกกว้าง ธารเลือดสดรินไหลออกมา
แต่อาศัยเพียงความเจ็บปวดแค่นี้กลับไม่มีความหมายอันใดเลยสำหรับเซียถง นางปาดเหงื่อบนหน้าผากและมุ่งหน้าวิ่งต่อไป
ณ จุดสูงสุดบนยอดเขาป่าสน ไป๋หลี่หานกำลังยืนนิ่งพร้อมสองมือไพล่หลัง ท่าทางสง่าผ่าเผย สายลมบนยอดเขาเฉกเช่นนี้ค่อนข้างเย็นและรุนแรง ชักนำเสียงดังหวีดหวิวกระแสแล้วกระแสเล่า ชุดคลุมสีดำงเรียบหรูโบกกระพือเสมือนราชันย์ สายตาจับจ้องลงไปยังเส้นทางที่ทอดยาวนำมาสู่ยอดเขา ระหว่างทางมีทั้งศิษย์สาวกที่แอบพักเหนื่อย บ้างก็ก้าวฉับว่องไว แต่หากสังเกตให้ดีคนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ลอบใช้พลังลมปราณอย่างลับๆ
ไป๋หลี่อวี๋งอิงที่มักใช้เวลาอยู่กับการหลอมกลั่นโอสถ นางย่อมไม่เคยออกกำลังกายหนักขนาดนี้มาก่อน ในปัจจุบันนางหมดแรงเกลี้ยงจนแทบหายใจหายคอไม่ออก สุดท้ายร่างอันเหนื่อยจัดเจียนหน้ามืดหมดสติก็ได้รับการช่วยเหลือจากบรรดาสาวๆ ผลัดกันหิ้วปีกพาร่างของนางขึ้นลงภูเขาอย่างยากลำบาก จนครบร้อยรอบในท้ายที่สุด
ในด้านพลังกาย ไป๋หลี่เย่เหนือกว่าไป๋หลี่เอวี๋อิงอยู่มาก แต่ผ่านไปครึ่งทาง ฝ่าเท้าของเขาก็ระบมหนักแล้วเช่นกัน จิตใจมัวผัวพันอยู่กับความเจ็บปวดเหล่านั้นจนไม่เป็นอันวิ่งต่อ จวบจนสิ้นไร้ไม้ตอก เขาจึงลอบใช้พลังลมปราณสีครามอ่อนคลุมเคลือบฝ่าเท้าเอาไว้อย่างลับๆ ไม่เพียงจะไม่รู้สึกเจ็บเท้าแล้วเท่านั้น แต่สิ่งนี้ยังช่วยให้ร่างกายของเขาเบาหวิวลงมาก หลังจากนั้นที่เหลือก็กลับกลายเป็นเรื่องง่ายไปโดยปริยาย
ไป๋หลี่หานได้แต่ส่ายศีรษะให้แก่พวกคนโกงเหล่านี้ และมองไปยังอีกฝากฝั่งหนึ่งของเขาภูเขา บนเส้นทางรกร้างเต็มไปด้วยวัชพืชและคมหนามสารพัด ปรากฏเงาร่างหนึ่งกำลังวิ่งหน้าตั้งอย่างบากบั่นอยู่เพียงลำพัง ทุกย่างก้าวที่ลงสัมผัสพื้นดินปราศจากการระดมใช้ลมปราณใดๆ เข้าช่วยเหลือ และไม่เคยพักเหนื่อยระหว่างทางเลยสักครั้ง วินัยค่อนข้างจัดไม่มีออกนอกกราบแม้สักนิด
มุมปากภายใต้หน้ากากของไป๋หลี่หานกระตุกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มบาง สายตาเรียวยาวหรี่แคบ จับจ้องนางด้วยความชื่นชมที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในใจ
ขอบฟ้ายามนี้กลายเป็นสีเทาเข้มแล้ว เซียถงวิ่งไปกลับได้แปดสิบรอบ ราวกับน่องขาและคู่ฝ่าเท้าแทบแหลกสลาย ปราศจากความสบายตัวดั่งห้าสิบรอบแรก ทุกย่างก้าวที่วิ่งเสมือนถูกแรงต้านดึงไว้จากด้านหลัง
หากนางเลือกวิ่งบนเส้นทางปกติบนภูเขาปานนี้นางคงวิ่งครบหนึ่งร้อยรอบก่อนใครๆ แต่ความสำเร็จที่ได้รับจะไปหอมหวานได้อย่างไร? การวิ่งบนเส้นทางรกร้างมากด้วยอุปสรรคเช่นนี้ นับเป็นการฝึกฝนเพื่อขัดเขลาความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างแท้จริง
“นายท่าน ข้าสัมผัสได้ คนอื่นยังแอบใช้พลังลมปราณเป็นตัวช่วย แล้วไฉนท่านถึงไม่หยิบใช้บ้างสักเล็กน้อย?”
เมื่อเห็นเซียถงออกวิ่งไม่หยุดตั้งแต่บ่ายจวบจนเย็นใกล้ค่ำสภาพเหน็ดเหนื่อย เสี่ยวฮั่วอดใจเอ่ยถามขึ้นมิได้ผ่านห้วงความคิด
“หากโกงในการฝึก คนที่เสียประโยชน์กลับเป็นตัวเราเอง มิใช่คนอื่นไม่”
เซียถงหอบหายใจถี่หนัก พลางขานตอบอีกฝ่ายกลับไป เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแปะติดทั่วผิวกาย ส่งผลให้นางรู้สึกหายใจลำบากยิ่งขึ้น แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกดีที่ได้เหงื่อมากขนาดนี้
เสี่ยวฮั่วคลี่ยิ้มกว้างอยู่ภายในจิตสำนึกของเซียถง มันรู้สึกภาคภูมิใจมิใช่น้อยที่ได้เซียถงเป็นเจ้านายของมัน
“นายท่าน ข้าภูมิใจในตัวท่านเหลือเกิน”
เสี่ยวฮั่วกล่าวจากใจจริง
เซียถงส่งยิ้มตอบ ปรับลมหายใจของนางให้เสถียรและเพิ่มความเร็วในการวิ่งขึ้นอีกครั้ง เมื่อวิ่งไปกลับจนครบร้อยรอบ เซียถงรู้สึกปวดระบมไปทั้งตัว ฝ่าเท้าทั้งสองข้างด้านชาไร้ความรู้สึก เหนื่อยจนกายละเอียดกับกายหยาบแทบแยกออกจากกันแล้ว
บริเวณตีเขาในยามนี้ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว สันนิษฐานได้ว่า ศิษย์สาวกที่ร่วมชั้นคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกันกลับหมดแล้ว
หลังพักเหนื่อยสักครู่หนึ่ง เซียถงก็ลุกขึ้นนั่งในท่าขัดสมาธิและเริ่มดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินจากโดยรอบเข้าสู่กายา คราวนี้อาจจะเป็นเพราะร่างกายนี้ถูกรีดแค้นศักยภาพจนถึงขีดจำกัด ส่งผลให้ประสิทธิภาพการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินแกร่งกร้าวขึ้นกว่าเดิมหนึ่งเท่าถ้วน จากนั้นก็แปรสถานะพลังวิญญาณเหล่านั้นกลายมาเป็นพลังลมปราณ เร่งสูบฉีดโคจรไปทั่วแขนขาอันอ่อนล้า เข้าหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ภายในร่างกายของนาง
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ก้อนพิษทมิฬแกนหลักที่ขวางกั้นกระแสลมปราณจากไหล่ทั้งสองข้างมิให้ขึ้นถึงใบหน้า เริ่มจะมีปฏิกิริยาอะไรบางอย่าง พึงทราบดังนั้น เซียถงเร่งระดมพลังลมปราณกระแสใหญ่เข้าชนกับก้อนพิษทมิฬเหล่านั้นอยู่หลายคราติด แต่สุดท้ายกลับน่าเสียดายที่กัดเซาะก้อนพิษออกมาได้แค่เศษเสี้ยวกลุ่มน้อยๆ เท่านั้น ลองพยายามอีกชุดใหญ่ พอเห็นว่าไม่เป็นผลอันใดแล้ว นางก็เลยยอมแพ้ไป
ดูเหมือนว่าก้อนพิษทมิฬที่ขวางกั้นอยู่บนไหล่ทั้งสองข้างจะจำเป็นต้องใช้โอสถล้างพิษเข้าจัดการโดยเฉพาะจริงๆ
ลุกขึ้นบิดขี้เกียจเสียงกระดูกลั่นดังเปรี๊ยะประ ความอ่อนล้าของนางก่อนหน้าหายเป็นปกติเกือนครึ่งแล้ว นางค่อยๆ แหงนหน้ามองท้องนภาฟ้า สีหน้าเบิกบานใจ แลเห็นพระจันทร์จรัสฉายทางทิศตะวันตก พึ่งจะรู้ตัวว่านี่เป็นเวลาดึกดื่นยามรัตติกาลแล้ว แต่ห้วงสมองความคิดในยามนี้กลับรู้สึกแจ่มใส ไม่มีอาการง่วงหรือเพลียอ่อนใดๆ ครุ่นพินิจกลับตัวเองสักครู่ เซียถงตัดสินใจมุ่งหน้ากลับเข้าสถานศึกษา หวังจะไปแอบใช้ห้องหลอมกลั่นโอสถเพื่อจะไปฝึกฝีมือต่อ
ตามที่คิดดังนั้น ร่างเงาของนางไสวหายวับจากเชิงเขาออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเซียถงจากออกไปได้สักพัก พลันปรากฏชายคนหนึ่งค่อยๆ ย่างเท้าก้าวออกมาจากเบื้องลึกภายในป่าใกล้เคียงกับบริเวณเชิงเขาที่นางอยู่ก่อนหน้า พินิจจากลวดลายคลื่นเมฆาบนหน้ากากแล้ว เขาคนนี้ก็คือชายที่ร่วมมือกับเซียถงเพื่อจับสัตว์อสูรปราณวิญญาณในตอนนั้น
ภายใต้แสงจันทร์ทอแสงสว่าง สายตาที่เผยออกมาผ่านหน้ากากคลื่นลายเมฆาฉายแววอัศจรรย์ใจ จับจ้องไปยังทิศทางที่เซียถงจากออกไป ท่าทางการแสดงออกเปี่ยมล้นความชื่นชม รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนมุมปากของเขา เสมือนกับว่า มีความสุขที่ได้เห็นหญิงสาวนางนั้นเบิกบานใจ
เซียถงลอบปีนหน้าต่างกระโดดเข้ามาในตัวอาคารแขนงโอสถ เดินตรงไปยังหลังห้องเรียนและเปิดประตูเข้าห้องหลอมกลั่นไปโดยทันที ภายในนั้นนางพบเตาหลอมโอสถวางเอาไว้อยู่พอดี และเริ่มจุดไฟใต้เตาหลอมปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะ นางหันศีรษะไปยังชั้นวางสมุนไพรบนกำแพง หยิบสรรจำนวนหนึ่งออกมาและโยนใส่เต้าหลอมโดยตรง
“นายท่าน นี่แหละคือหน้าที่ของธาตุไม้ภายในกายของท่าน สังเกตเห็นหรือไม่ว่า ในบรรดาสมุนไพรนับร้อยชนิดบนชั้นวาง ท่านกลับสามารถเลือกสรรวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการหลอมกลั่นออกมาได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ทั้งยังสามารถช่างปริมาณด้วยมือเปล่าได้อย่างเหมาะสม”
เสี่ยวฮั่วกล่าว
เมื่อกวาดสายตามองสมุนไพรเหล่านั้น เซียถงแทบไม่ต้องคิดอะไรให้มากความเลย อาศัยเพียงแค่สัญชาตญาณเท่านั้นจริงๆ หลังจากได้รับฟังคำอธิบายของเสี่ยวฮั่ว ก็พึงเข้าใจได้ในทันใดว่า สัญชาตญาณเหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติจำเพาะจากธาตุไม้ในร่างกายนาง