ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 86 ภูมิใจในตัวท่าน (2)
ตอนที่86 ภูมิใจในตัวท่าน (2)
หากปราศจากธาตุไม้ในกาย ก็เป็นไปมิได้เช่นกันที่นางจะสามารถตัดสินใจเลือกสมุนไพรที่มีความเชื่อมโยงกันทางคุณสมบัติได้อย่างแม่นยำและง่ายดายปานนี้
เทสมุนไพรเหล่านั้นลงในเตาหลอมกลั่น เซียถงเริ่มมุ่งจิตสมาธิเพื่อเร่งระดับความร้อนของเปลวไฟใต้เตาหลอม ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เปลวเพลิงก็เริ่มคงรักษาอุณหภูมิได้ดั่งใจคิด
ส่งสายตาเฝ้าจับจ้องเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วงอยู่เบื้องหน้า แก้วใจดวงนี้กระหน่ำเต้นแรงแทบคลั่ง ในที่สุดนางก็สามารถควบคุมอุณหภูมิของเปลวไฟนี้ได้จนเสถียรแล้ว เพราะหากระดับความร้อนของเปลวไฟมีมากเกินไปก็จะทำให้วัตถุดิบสมุนไพรในเตาไหม้เกรียมเป็นตอตะโกได้ หรือหากมีระดับความร้อนที่ต่ำเกินไป ก็มิอาจหล่อหลอมวัตถุดิบเหล่านั้นให้ถึงจุดหลอมเหลวที่เหมาะสมได้ ส่งผลให้ไม่สามารถสำแดงประสิทธิภาพที่อยู่ในตัวสมุนไพรออกมาได้อย่างเต็มที่ ถึงจะฝืนจนหลอมกลั่นออกมาได้สำเร็จ ก็เป็นได้แค่โอสถไร้คุณภาพเม็ดหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเปลวเพลิงใต้เตาหลอมดับลง เป็นสัญญาณว่าเสร็จสิ้นกระบวนการหลอมกลั่นแล้ว ยามนี้ใจหนึ่งพลันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เซียถงกลัวว่า พอเปิดฝาเตาหลอมรอบนี้ออกมา อาจจะมีโอสถไหม้เกรียมก้อนสีดำอยู่ภายในนั้นดั่งครั้งแล้วๆ มาอีก
“นายท่าน ยามนี้สามารถควบคุมเปลวเพลิงได้แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใดๆ ระหว่างกระบวนการหลอมกลั่น โปรดเปิดฝ่าเตาขึ้นมาดูเถิด”
เสี่ยวฮั่วกล่าวให้กำลังใจ
เซียถงยื่นมือเปิดฝ่าเตาหลอมออกมาทันที ต่อหน้าสายตาปรากฏเป็นโอสถเม็ดสีขาวน้ำนมรูปทรงกลมดิกจำนวนสามเม็ดนอนอย่างสงบภายในนั้น เห็นความสำเร็จเป็นประจักษ์ชัด เซียถงอดคลี่ยิ้มขึ้นมิได้
ครั้งนี้นางประสบความสำเร็จ! นับเป็นความสำเร็จอย่างสูงสำหรับเส้นทางหลอมกลั่นโอสถของนาง!
“นายท่านยินดีด้วย! ตอนนี้ท่านกลายมาเป็นนักโอสถสามัญแล้ว!”
เสี่ยวฮั่วกล่าวกับนาง
เซียถงหยิบโอสถสีขาวน้ำนมทั้งสามเม็ดขึ้นมา ประคับประคองด้วยความระมัดระวังยิ่ง ประกายตาฉายแววสดใสกว่าปกติทั่วไป ใจเต้นตึกตัก แม้ว่าสิ่งที่นางหลอมกลั่นมาได้จะเป็นแค่โอสถระดับหนึ่ง แต่ที่นางกลายมาเป็นนักโอสถสามัญได้ก็เพราะโอสถระดับหนึ่งสามเม็ดนี้เป็นใบเบิกทาง
โอสถระดับหนึ่งทั้งสามเม็ดนี้มีชื่อว่า โอสถเสริมลมปราณ สามารถใช้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้บำเพ็ญตบะที่อยู่ในขอบเขตเสาหลักแดงลงมา ส่วนอีกหนึ่งสรรพคุณคือบำรุงเลือดเล็กน้อย
โดยทั่วไปแล้ว โอสถขั้นพื้นฐานแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยในมือเซียถง เพราะคนที่มีระดับลมปราณอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาคนรอบตัวนางก็อยู่ในขอบเขตเสาหลักเหลืองชั้นกลาง คล้อยหลังไตร่ตรองไปสักพักหนึ่ง นางจึงตัดสินใจนำโอสถทั้งสามเม็ดนี้ไปขายที่ร้านขายโอสถ
เซียถงย่องออกจากสถานศึกษาเซิงหลิงอย่างเงียบๆ เดินทางกลับเข้าจวนเสนาบดีและเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปที่ร้านขายโอสถในยามรุ่งเช้า ท้องนภาเริ่มสดใสขึ้นอีกวัน
เมื่อเดินเข้ามาภายในร้าน ผู้ช่วยร้านที่เป็นชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาก็ตรงเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้มว่า
“คุณหนูท่านนี้ ต้องการโอสถชนิดใดหรือขอรับ?”
“โอสถระดับหนึ่งขายเม็ดละเท่าไหร่?”
เซียถงเอ่ยถามกลับไปแทน พลางกสาดสายตาเฝ้าสังเกตโอสถระดับหนึ่งที่วางขายอยู่ในตู้กระจกเบื้องหน้า ก่อนจะขายนางจพเป็นต้องรู้ราคาตลาดก่อน นางมีราคาอยู่ภายในใจแล้ว ดังนั้นแล้ว นางจำเป็นต้องถามราคากลางออกไปก่อน เพื่อป้องกันมิให้พ่อค้าพวกนี้กดราคาได้ในภายหลัง
“โอสถระดับหนึ่งขายเม็ดละสามสิบเหรียญทอง ไม่ทราบว่าคุณหนูต้องการกี่เม็ดขอรับ?”
ผู้ชายร้านขานตอบพร้อมท่าทีกระตือรือร้น
“เข้าใจแล้ว ข้ามีโอสถระดับหนึ่งอยู่สามเม็ด เจ้ารับซื้อเท่าไหร่?”
เซียถงทราบราคาขายของร้านนี้แล้ว ดังนั้น หากอีกฝ่ายบอกราคารับซื้อที่ต่ำเกินไป นางก็จะรู้ได้ทันทีว่าส่วนต่างของกำไรของอีกฝ่ายได้รับมันมากน้อยขนาดไหน สิ้นเสียง นางก็ยื่นโอสถทั้งสามเม็ดส่งให้ต่อหน้าผู้ช่วยร้านทันที
ผู้ช่วยร้านคนนั้นหยิบโอสถเม็ดหนึ่งจากบนฝ่ามือของเซียถงขึ้นมาพิจารณาอย่างใกล้ชิด โอสถที่เซียถงหลอมกลั่นขึ้นมามีสีขาวน้ำนมชัดเจน เนื้อผิวเรียบเนียน สิ่งเหล่านี้แสดงให้ถึงความใส่ใจรายละเอียดในระหว่างการหลอมกลั่นที่ดีเยี่ยม คุณภาพโอสถเหล่านี้เหนือชั้นกว่าโอสถที่หลอมกลั่นโดยนักโอสถสามัญทั่วไปอยู่เท่าหนึ่ง
หลังพิจารณาเสร็จสรรพ ผู้ช่วยร้านคนนั้นก็กล่าวกับเซียถงขึ้นว่า
“โดยปกติเราจะรับซื้อโอสถระดับหนึ่งในราคาเม็ดละสิบเหรียญทอง แต่พินิจจากสีและเนื้อสัมผัสของโอสถเหล่านี้ดูจะเหนือชั้นกว่าโอสถระดับหนึ่งทั่วไป เช่นนั้นทางเราขอจ่ายเพิ่มอีกเม็ดละสองเหรียญ เท่ากับว่าทางเราขอรับซื้อในราคาสิบสองเหรียญทอง”
ชิ้นละสิบสองเหรียญทองรับว่าสมเหตุสมผล เซียถงพยักหน้าตอบตกลงในทันที แม้จะดูเหมือนว่าทางร้านได้กำไรไปค่อนข้างมาก แต่อย่าลืมเสียว่า สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายทางนั้นมี แต่ฝ่ายนางไม่มีคือ ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของร้านที่เปิดบริการมากว่าหลายสิบปี และสองคือ การญาติดีกับร้านขายโอสถเหล่านี้เอาไว้ นับเป็นสิ่งไม่เสียหายเช่นกันในอนาคต
ผู้ช่วยร้านพยักหน้ายิ้มแย้ม และหยิบเหรียญทองจำนวนสามสิบหกเหรียญออกมา นำมาใส่ถุงผ้าส่งมอบให้เซียถงอย่างสุภาพ
เซียถงมัดถุงผ้าใบนี้เหน็บไว้ข้างเอว สำหรับเงินจำนวนสามสิบหกเหรียญทอง นางในตอนนี้ถือได้ว่า สภาพการเงินอยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นมากจากก่อนหน้า หลังจากจ่ายหนี้คืนให้หยุนซีไป นางก็ยังมีเหรียญทองเหลืออยู่ในตัวอีกประมาณยี่สิบกว่าเหรีญทอง ซึ่งนี่เพียงพอแล้วสำหรับนางในการดำเนินชีวิตอีกสักระยะ
กลับเข้ามาในจวนเสนาบดี เซียถงแบ่งเงินจำนวนสิบเหรียญทองให้แก่ฮูหยินหลี่สำหรับไว้กินไว้ใช้ แต่อีกฝ่ายที่เห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้ก็อดที่จะเอ่ยถามมิได้ว่า ไปเอามาจากไหนตั้งมากมาย? ส่วนนางกล่าวตอบแค่ว่า หาใช่ได้มาจากสิ่งผิดกฎหมายเสียแล้วกัน
เซียถงยิ้มและเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีเพื่อเบี่ยงความสนใจของท่านแม่ เพราะยามนี้มิสามารถบอกกับอีกฝ่ายได้จริงๆ ว่า ตนสามารถหลอมกลั่นโอสถได้แล้ว พอพูดคุยกันจนหายคิดถึงและขณะที่กำลังจะจากออกไป นางก็เหลือบสายตามองอาจูอยู่สักครู่หนึ่ง พลางนึกไปถึง ท่าทางการแสดงออกของอาจูในตอนนั้นที่คล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ท้ายที่สุดกลับเงียบไป
หากมีเวลาว่างมากกว่านี้ สักวันเซียถงจะย้อนกลับมาถามเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดแน่นอน
เดินผ่านโถงใหญ่ขณะกำลังจะออกไปเรียนในสถานศึกษาเซิงหลิง เซียถงก็บังเอิญเดินสวนกับเซี่ยเสวี่ยเหลียงพอดิบพอดี ครั้งสุดท้ายที่เจอกันคือตอนที่อยู่ในสนามประลอง นางตอกส้นเท้าประเคนใส่กระบาล จนบริเวณคางของอีกฝ่ายกระแทกอัดพื้นจนกระดูกร้าว ทั้งยังหยิบใช้มีดสั้นเสียบทะลุฝ่ามือของอีกฝ่ายอีกจนติดแน่นกับพื้น ส่วนทางฝั่งแม่อย่างฮูหยินรองเฉิง ก็ถูกเซียถงกระหน่ำฟาดด้วยแส้หางเหล็กอย่างบ้าคลั่ง จวบจนตอนนี้ก็ยังนอนโทรมติดเตียงอยู่ไม่ไปไหน คาดได้ว่า กว่าที่อาการบาดเจ็บจะทุเลาลงจนสามารถลุกขึ้นเดินเหินได้อีกครั้ง น่าจะใช้เวลาอีกประมาณอย่างน้อยสิบวันถึงครึ่งเดือน
เซี่ยเสวี่ยเหลียนในขณะนี้ บริเวณใบหน้าโดนพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว ยกมือขึ้นกลัดกุมแผลบริเวณฝ่ามือที่มีผ้าพันแผลสีขาวห่อไว้เป็นชั้นหนา จับจ้องเซียถงตาเขม็งด้วยความจงเกลียดจงชัง หันไปกล่าวถ่อยคำแสนหยาบคายกับสาวรับใช้ที่อยู่ข้างหลังว่า
“รู้สึกว่าจะมีบางคนได้เข้าเรียนที่สถานศึกษาเซิงหลิงแล้ว แต่ถึงจะใช้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้า แต่มันก็มิสามารถซุกซ่อนความอัปลักษณ์ของมันทั้งกายและใจได้!”
เซียถงที่เห็นแบบนั้น ก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความเวทนาใจ เซี่ยเสวี่ยเหลียนไม่รู้จักปรับปรุงพฤติกรรมให้ดีขึ้นมาเลยจริงๆ สภาพเป็นถึงขนาดนี้แท้ๆ ยังฝีปากอาจหาญกล้ายั่วยุกันได้ นางเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้นว่า
“หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งจักรพรรดิตงหลี่ มิทราบว่า องค์รัชทยาทเดินทางมาเยี่ยมเยือนบ้างแล้วรึยัง?”
เซียถงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ในบัดดล จึงกล่าวต่อทันทีไม่เปิดช่องจังหวะให้เซี่ยเสวี่ยเหลียนได้เอ่ยตอบเลยว่า
“อ่อ ข้าลืมไป ตอนที่ข้าอยู่ในสถานศึกษาเซิงหลิง เห็นว่าองค์รัชทยาทของเจ้ากำลังยิ้มแย้มมีความสุขดีกับหญิงอื่นแล้ว แต่ละนางเห็นว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลผู้สูงศักดิ์กันทั้งสิ้น คงลืมสาวน้อยจากจวนเสนาบดีชั้นปลายแถวอย่างเจ้าไปแล้วจริงๆ”
เพียงหนึ่งประโยคนี้ประดุจคมมีดแหลมพุ่งเสียบทะลุขั้วดวงใจของเซี่ยเสวี่ยเหลียนเข้าอย่างจัง ตั้งแต่ที่นางได้รับบาดเจ็บสาหัส มันเป็นความจริงที่ว่า…องค์รัชทยาทไม่เคยเดินทางมาเยี่ยมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งนี่เปรียบเสมือนปมด้อยปมใหญ่ที่สลักลึกภายในของเซี่ยเสวี่ยเหลียนตลอดมา ใบหน้าสวยของนางที่ถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลสีขาวบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งยวด เพ่งสายตาเปี่ยมล้นแรงอาฆาตใส่เซียถง เร่งฝีเท้าก้าวฉับเดินจากออกไปพร้อมกับสาวรับใช้ที่อยู่เคียงข้างโดยตรง
เซียถงปรายตามองเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่เดินจากไปเล็กน้อย พลางถอนหายใจเฮือกยาวภายในใจ หากนางเป็นเซี่ยเสวี่ยเหลียน ด้วยสภาพแบบนี้ที่กำลังบาดเจ็บหนัก คงเลือกที่จะเลี่ยงมิให้พบเจอกับปัญหาไปก่อนสักระยะ ในเมื่อรู้ว่า ศัตรูของนางเป็นบุคคลที่ไม่สามารถยั่วยุได้ ก็ควรกลับไปตั้งหลักฝึกฝนให้แข็งแกร่งเพื่อกลับมาล้างแค้นอะไรเทือกนั้น ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ใช้ความมั่นหน้ามั่นใจเข้าปะทะโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้