ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 89 ฟื้นฟูรูปโฉม (1)
ตอนที่89 ฟื้นฟูรูปโฉม (1)
พอเห็นเซียถงเดินออกมา นางจึงตรงเข้าไปหา เข้าควงแขนอีกฝ่ายท่าทางเป็นกันเอง ส่งยิ้มกล่าวว่า
“ไปโรงอาหารด้วยกันเถอะ”
เซียถงเหลือบสายตามองตามไปยังแขนอีกฝ่ายควงกอดอย่างสนิทสนม คลี่ยิ้มบางพร้อมพยักหน้ามอบแก่ฉีหมิงเยว่ พินิจจากท่าทางการแสดงออกอันเรียบง่ายเหล่านี้ กระทั่งนางเองก็ยังสามารถสัมผัสถึงคำว่า ‘มิตรภาพ’ ของฉีหมิงเยว่ที่มีต่อตัวนางได้
“เมื่อวานเห็นขอตัวแยกออกไปก่อน เจ้าไปไหนมารึ?”
เซียถงเอ่ยถามฉีหมิงเยว่ระหว่างทางไปโรงอาหาร
สายตาหวานยิ้มแย้มประดุจเสี้ยวจันทร์ของฉีหมิงเยว่ ทันใดนั้นพลันหรี่ลงอย่างเศร้าสร้อยเมื่อได้ฟังประโยคคำถามนี้ของเซียถง ถอดถอนหายใจเสียงยืดยาวไปทีหนึ่ง ทั้งสีหรน้าแววตาดูหม่นหมองลงหลายส่วน
ฉีหมิงเยว่ส่ายหัวไปครา ขณะที่กำลังจะปริปากกล่าว ทันใดนั้นทั่วร่างของนางถึงกับแข็งค้างฉับพลัน เงยหน้าจับจ้องไปยังทิศทางเบื้องหน้าด้วยแววตาแสนว่างเปล่า พอเซียถงเคลื่อนสายตาติดตามไปยังทิศดังกล่าว ก็พบเซี่ยหลู่เฟิงที่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เดิมที่ก่อนหน้า ฉีหมิงเยว่คู่คิ้วขมวดถัก สีหน้าเศร้าหมอง ก็ดูเหมือนว่าจะคลายอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อพบพานอีกฝ่าย
เมื่อสังเกตเห็นพวกนางทั้งสองมองเข้ามา รอยยิ้มสีบางพลันปรากฏเล็ดลอดออกมาจากริมสีปากรูปสวยของเซี่ยหลู่เฟิง แสงตะวันฉาดฉายส่องกระทบผ่านกิ่งก้านลอดเร้นลงมาตกกระทบกับใบหน้าหล่อเหลาดั่งหยก สีอรุณดุจทองจากธารแสงเหล่านี้ยิ่งเพิ่มทวีความหล่อเหลาตรงหน้า ในขณะเดียวกัน เซียถงเองยังต้องตกละลึง มิยักรู้มาก่อนเลยว่า เซี่ยหลู่เฟิงจะมีใบหน้าที่หล่อเหลาและประณีตงามปานนี้
เซี่ยหลู่เฟิงเดินไปหาทั้งสองพร้อมรอยยิ้มอันสดใส ประกายตาทอแสงเคลื่อนใส่ทางใบหน้าของฉีหมิงเยว่หนึ่งปราด จะว่าไปแล้วสาวน้อยที่อยู่ข้างถงถงก็งดงามมิใช่น้อย เปรียบได้กับต้นพู่ระหงขาวอันเฉิดฉายจากสายน้ำ
พอฉีหมิงเยว่เห็นเซี่ยหลู่เฟิงเดินใกล้เข้ามาทางนี้เรื่อยๆ นางก็พลันใจสั่นระรัวผิดจังหวะจนมิสามารถควบคุมได้ นัยน์ตาคู่งามสั่นไสวพราวแสงระยับ เพียงสายตาหันเข้าสบกับเซี่ยหลู่เฟิง เสมือนก่อกำเนิดร่องรอยความหวังขึ้นบนใบหน้าของนาง
เขาจะมาพูดอะไรกับข้า?
หรือจะชวนไปทานอาหารด้วยกัน?
“ข้ารออยู่แล้ว นี่คือเงินจำนวนสิบเหรียญทองของเจ้า ขอบคุณมากเรื่องเมื่อวาน”
เซี่ยหลู่เฟิงเดินตรงเข้าไปหาทั้งสอง และยื่นถุงผ้าเนื้อละเอียดส่งให้แก่ฉีหมิงเยว่
ฉีหมิงเยว่พยักหน้าตอบเล็กน้อย หยิบถุงผ้าในมือมาแล้วเอ่ยตอบไปว่า
“อืม”
หนึ่งคำสั้นๆพร้อมน้ำเสียงแสนเรียบเฉย แต่ถึงกระนั้นเซียถงก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงร่องรอยความผิดหวังของอีกฝ่าย
หลังจากกคืนเงินเสร็จสรรพ เซี่ยหลู่เฟิงยังมิได้ลาจากออกไปทันที แต่กลับขมวดคิ้ว เพ่งสายตาจับจ้องสาวน้อยตรงหน้าอย่างประณีตสำรวม เพราะเหตุใดกัน เขาถึงรู้สึกคุ้นหน้าของนางทุกครั้งที่ได้พบเจอกันเสมอ ราวกับว่าเคยพบเจอกันที่ไหนสักแห่งหนจริงๆ แต่ถึงแบบนั้น เขาเองก็ยังจำไม่ได้สักที
เห็นเซี่ยหลู่เฟิงที่จับจ้องใบหน้าของตนไม่คลายอ่อนลงเลยสักนิด ฉีหมิงเยว่ก็หน้าแดงก่ำ กอดแขนของเซียถงไว้แน่นด้วยความประหม่าขวยเขิน
“นี่เรา…เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือไม่?”
เซี่ยหลู่เฟิงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นทันที
ฉีหลิงเยว่ตัวแข็งทื่อเป็นหินในบัดดล ส่งสายตาจับจ้องไปยังเซี่ยหลู่เฟิงทอประกายผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก ธารแสงพราวเฉิดเฉยระยับที่ส่องสะท้อนจากแววตาก่อนหน้า ค่อยๆอันตรธานเลือนหายไป
ปรากว่าเขาจำตัวนางไม่ได้ ใจดวงนี่ที่ร้อนรุ่มเย็นลงในบัดดล ฉีหมิงเยว่รู้สึกดั่งว่า ตนเองจมลงสู่ห้วงน้ำแข็ง ร่างกายแขนขาหนาวเหน็บจนชาไปทั่วทั้งตัว ภาพฉากอันแสนอบอุ่นที่ซ่อนลึกสุดขั้วหัวใจยามนี้กำลังพร่าเลื่อน ร่างของบุรุษหนุ่มสีขาวค่อยๆจากหายออกไป เหลือเพียวสิ่งเดียวที่ยังสลักจำได้ก็คือ ทะเลเลือดที่แปดเปื้อนยันท้องนภาฟากฟ้า
อย่างไรเสีย หากปราศจากความอบอุ่นของชายคนนั้น แล้วนางจะเข้มแข็งได้อย่างไรในวันนี้?
มีของเหลวสีใสกลิ้งกลอกฉาดฉายอยู่ในแววตาของนาง สุดท้ายนี้อดที่จะก้มหน้าก้มตาลงมิได้ พลางส่งเสียงแผ่วบางตอบกลับไปแค่ว่า
“ไม่”
น้ำเสียงนี้ยังคงนุ่มนวล ทว่ามิทราบเหตุใด ใครที่ได้ฟังต่างต้องสัมผัสได้ถึงความเย็นชา
เซี่ยหลู่เฟิงยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น พอเห็นฉีหมิงเยว่ก้มหน้าต่ำลงเคียงหยดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา เขาก็พลันรู้สึกตื่นตระหนกมิใช่น้อยอยู่ภายในใจ โดยมิทราบว่า เกิดอะไรขึ้น หรือเขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้สาวน้อยนางนี้ไม่มีความสุข? จนแล้วจนรอด เขารีบเร่งหันหน้าไปหาเซียถง เผยสีหน้าแสดงความกังวลออกมาให้เห็นกันชัดๆ ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือกันกรายๆ
เซียถงเองก็ฉงนใจงุนงงกับท่าทีของฉีหมิงเยว่ไม่ต่าง แต่สบสายตากับเซี่ยหลู่เฟิงตอบกลับอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน สุดท้ายได้แต่ส่ายหน้ากลับไปให้ เพราะนางเองก็มิทราบ ว่าไฉนจู่ๆฉีหมิงเยว่ก็ร้องไห้ออกมา
“ไปกันเถอะ”
ปล่อยให้สองพี่น้องอย่างเซียถงกับเซี่ยหลู่เฟิง ยืนงงจนทำอะไรไม่ถูกอยู่สักพัก ฉีหมิงเยว่ที่อาการพอจะดีขึ้นเล็กน้อยก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง กลับมาในสีหน้าการแสดงออกที่ปกติดังเดิม ส่งยิ้มแก่เซี่ยหลู่เฟิงเล็กน้อยด้วยความมิค่อยเต็มใจนัก จากนั้นก็ฉุดแขนลากเซียถงให้เดินออกมาโดยตรง
เซี่ยหลู่เฟิงทอดสายตาเหม่อมองตามแผ่นหลังของฉีหลิงเยว่ที่ค่อยๆห่างไกลออกไป จากนั้นพลันขมวดคิ้วถักหนาขึ้นอีกครา ไม่ใช่ว่าเขาเคยพบหน้านางมาก่อนงั้นรึ? และทันใดนั้น ภาพฉากของสาวน้อยนางหนึ่งที่ร่างกายปกคลุมไปด้วยธารเลือดก็โฉบแล่นผ่านเข้ามาในหัวของนางทันควัน เหตุการณ์ในวันนั้นยังคงติดตาตรึงใจของเขาเสมอมา แต่จะอย่างไร ใบหน้าของสาวน้อยนางนั้นเปียกชโลมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน จนเขาไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้เลย
ฉีหมิงเยว่กอดแขนเซียถงแน่น ดึงอีกฝ่ายและสับเท้าจ้วงออกมาจากบริเวณนั้นโดยไว ตลอดทางเดินนางปิดปากเงียบไม่เอ่ยกล่าวอะไรใดๆ เซียถงเองก็ไม่คิดจะถามเช่นกัน เพราะหากนางต้องการจะพูด ปานนี้คงส่งเสียงออกมาแล้ว ดังนั้นการที่นางปิดปากเงียบงันจวบจนตอนนี้ ต่อให้ถามอะไรไปก็คงมิได้สถานการณ์ดีขึ้น ซ้ำร้ายยังอาจทำให้สถานการณ์ทวีความหม่นหมองลงไปอีก บรรยากาศอันเงียบสงัดนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งพวกนางทั้งคู่มาถึงโรงอาหาร และทันใดนั้นฉีหมิงเยว่พลันหยุดฝีเท้าโดยพลัน
“เซียถง พี่ชายของเจ้า…มีหญิงสาวที่ชอบพอแล้วรึยัง?”
จู่ๆฉีหมิงเยว่ก็เอ่ยปากถามขึ้นมา
ซึ่งคำถามนี้ทำให้เอาเซียถงคันปากยิ่งแล้ว จนอยากถามสวนกลับไปจริงๆว่า นี่เจ้าไม่รู้เลยงั้นรึ? ต่อให้ใช้ฝ่าตีนดูก็ยังจับสังเกตได้ว่า เซี่ยหลู่เฟิงมีความสนใจในตัวเจ้าเช่นกัน? แต่หลังจากคิดดูอีกทีแล้ว นางไม่ควรพูดแบบนั้นออกไปตรงๆจะดีกว่า จึงกล่าวเพียงว่า
“ข้าไม่เคยได้ยินเขากล่าวถึงเรื่องนี้เลย คงจะยังไม่มี”
ฉีหมิงเยว่ปิดปากเงียบไปอีกครา
ช่วงบ่ายของวันเป็นคาบเรียนแขนงวิชากลยุทธ์ และตัวแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วเองก็ไม่ได้ทำตัวหาเรื่องหรือก่อปัญหาให้กกับเซียถงใดๆอีก ตลอดคาบช่วงบ่ายผ่านไปได้อย่างสงบสุข หลังเลิกเรียน เซียถงก็เดินทางไปยังร้านขายสมุนไพรเพื่อจับจ่ายซื้อวัตถุดิบหลอมกลั่นโอสถตามคำแนะนำของเสี่ยวฮั่ว ทั้งยังซื้อเตาหลอมโอสถของตัวเองด้วย ก่อนจะมุ่งหน้ากลับเข้าจวนเสนาบดี
พอมาถึงจวนเสนาบดี ปิดประตูใส่กลอนแน่น เซียถงจุดเปลวไฟใต้เตาหลอมโอสถก่อนเป็นอันดีบแรก หยิบเห็ดหลืนจือมรกตและสมุนไพรชนิดอื่นๆซึ่งเป็นวัตถดุดิบขึ้นมาเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ จากนั้นค่อยเริ่มกระบวนการหลอมกลั่นโอสถทันที
และการหลอมกลั่นโอสถในครั้งนี้จำเป็นจะต้องใช้ความประณีตและความละเอียดในการควบคุมเปลวไฟขั้นสูง เซียถงไม่กล้าประมาทเลยแม้สักอึดใจเดียว ดำเนินการภายใต้คำแนะนำของเสี่ยวฮั่วทุกประการด้วยความระมัดระวังสุดขีด
ยามรัตติกาล แสงจันทราหันหาทิศตะวันตก บนฝ่ามือของเซียถงมีโอสถล้างพิษปราณนภาระดับสองอยู่ในมือ อันที่จริงแล้ว อาศัยแค่โอสถปราณระดับสองทั่วไป ย่อมไม่สามารถล้างพิษในร่างกายของเซียถงได้แน่นอน แต่การที่เพิ่มส่วนผสมสำคัญอย่าง เห็ดหลืนจือมรกตลงไปด้วย จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการขับพิษดีขึ้นจากเดิมถึงสองทวีเท่า
หลังจากกลืนโอสถขับพิศปราณนภาระดับสองลงไป นางรู้สึกถึงเพียงกระแสพลังงานสีมรกตจางอ่อนโคจร ออกแล่นไปทั่วทั้งร่างกายา พอเวียนครบสองรอบโคจรบรรจบ เสี่ยวฮั่วก็ระงับปิดกั้นเส้นลมปราณในส่วนอื่นๆ พยายามผลักดันให้กระแสพลังงานสีมรกตนี้พุ่งขึ้นไปยังเส้นลมปราณบนไหล่ทั้งสองข้าง พอกระแสลมปราณขุมนี้เข้าปะทะชนเข้ากับก้อนพิษสีทมิฬ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้อยู่
พอเห็นเป็นเช่นนั้น เซียถงดีใจเป็นอย่างมาก รีบระดมขุมพลังขอบเขตเสาหลักฟ้าทั้งหมดที่มีสูบฉีดเข้าช่วยกระแสพลังงานสีมรกตนั่นอีกแรง ส่งผลให้กระแสพลังงานสีมรกตเคลื่อนตัวเร็วยิ่งขึ้น และก้อนพิษสีทมิฬอันเหนียวหนืดที่อุดตันก็เริ่มถูกกัดกร่อนจนสลายหายไปทีละเล็กละน้อย