ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 9 ปฏิเสธการอภิเษก
ตอนที่9 ปฏิเสธการอภิเษก
องค์จักรพรรดิสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง ดวงตาคู่ลึกล้ำจ้องไป๋หลี่เย่เขม็งแววเดือดดุ
“เรื่องดังกล่าวข้าผู้นี้ได้ตัดสินใจแล้ว! ไม่ว่าเจ้าจะกล่าวเพียงใดก็ไร้ประโยชน์! เสนาบดีเซี่ย เลือกฤกษ์มลคลอภิเษกสมรสโดยเร็ว!”
เซี่ยอี้เฉินที่เพิ่งฟื้นสติกลับมาท่ามกลางความตื่นตะลึง รีบลุกขึ้นโค้งศีรษะขานตอบทันใด
“กระหม่อนจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮูหยินเฉิงที่นั่งอยู่เคียงข้างได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความโกรธจัดจนควันแทบออกหู เหลือบหางตามองเซียถงด้วยสายตาแค้นอาฆาตสุดขีด เหตุใดนังขยะอัปลักษณ์อย่างมันถึงมีชีวิตได้ดิบได้ดีปานนี้? แค่เอาตัวเข้าไปรับดาบแทนองค์รักชทายาท ก็ถ๔กฝ่าบาทแต่งตั้งให้เป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทได้! ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!
เซี่ยเสวี่ยเหลียนยามนี้ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เห่อร้อนเค้าน้ำตาเล็กน้อย นางพยายามส่งสายตาให้ไป๋หลี่เย่อย่างสุดชีวิต นางร้อนรนใจจวนเจียนอยากร่ำไห้ แสดงท่าทางดูอ่อนโยนคล้ายเป็นฝ่ายถูกรังแก ทำเอาองค์รัชทยาทยิ่งกระวนกระวายใจเข้าไปใหญ่ พออยากจะเอ่ยกล่าวอะไรสักอย่างพลันต้องหยุดชะงักไปทันที เมื่อหันเข้าสบสายตากับเซียถงที่กำลังเฝ้ามองอยู่เช่นกัน ซึ่งแววตาคู่นั้นของนางมันอัดแน่นไปด้วยความเหี้ยมโหดและเลือดเย็นอย่างบอกไม่ถูก
ที่แท้ก็ยังมีละครน่าสนุกฉากใหญ่ให้รับชมอยู่ เซี่ยถงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้คนอื่นประพันธ์ชีวิตตัวเองได้ตามใจต้องการเป็นแน่ เพียงว่ายามนี้ยังไม่สบโอกาสเหมาะ คงต้องเฝ้าสังเกตการณ์ในเงามืดไปก่อน
“ฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันช่วยองค์รัชทายาทไว้ในครานั้นนับเป็นสิ่งที่ประสมนิกรคนหนึ่งพึงกระทำ และหม่อมฉันมิได้หวังหรือต้องการสิ่งใดตอบแทน หวังว่าฝ่าบาทจะคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไม่ชอบไป๋เอ๋อร์หรอกรึ?”
องค์จักรพรรดิเผยสีหน้าตกลึงงันเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขี้นอย่างประหลาดใจขึ้นว่า
“ตอนนี้เจ้าสูญสิ้นลมปราณแล้ว ทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่ไม่ค่อยใกล้เคียงกับหญิงงาม ในอนาคตเกรงว่าจะหาสามีสักคนได้ยาก และการที่เจ้าตกต่ำถึงเพียงนี้ก็เพราะไป๋เอ๋อร์ แล้วข้าผู้นี้มีหรือจะแล้งน้ำใจปานนั้น?”
ตรงกันข้ามกันคนอื่นโดยสิ้นเชิง น้ำเสียงขององค์จักรพรรดิแทนที่จะกล่าวดูหมิ่นดูแคลน ทว่าน้ำเสียงดังกล่าวกลับอ่อนโยนฟังดูเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เป็นห่วงอนาคตของนาง
ปฆิกิริยาเช่นนี้ทำให้เซียถงยิ่งสงสัยหนักเข้าไปใหญ่ อันที่จริงจวนเสนาบดีแห่งนี้ก็มิได้มีอำนาจอิทธิพลมากเท่าไหร่นักภายในราชสำนัก และท่านแม่ของนางก็เป็นเพียงหลานสาวของจวนขุนนางกั๋วกงเท่านั้น ตัวนางเองยิ่งไม่คู่ควรกับตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชทายาทเลย และไม่ใช่แค่จวนแม่ทัพ กระทั่งเหล่าคุณหนูทั้งหลายในจวนอัครเสนาบดี พวกนางแต่ละคนงดงามประดุจดอกไม้ ตัวเลือกที่เพียบพร้อมกว่าเซียถงมีเยอะแยะมากมาย แต่ไฉนฝ่าบาทถึงต้องเรียกนางล่ะ?
“หม่อนฉันมีความเสื่อมใสในตัวองค์รัชทายาทดท่านั้น แต่หาไม่ถึงขั้นโปรดปราน”
เซียถงเพิ่งพูดจบ ทันใดนั้นเองก็เป็นไป๋หลี่เย่าที่อดทนอดกลั้นต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นพรวดคำรามขู่ขึ้นว่า
“เสด็จพ่อ! หากท่านยังต้องการให้ข้าแต่งงานกับนังอัปลักษณ์นี่จริงๆ ลูกจะขอโกนผมออกบวช! ขอเป็นสังฆราชนั่งบำเพ็ญสมาธิอยู่ในวัดตลอดชั่วชีวิต!”
น้ำเสียงของเขาทั้งหนักแน่นฟังดูหยิ่งผยองไม่ยอมคน ซคางนี่ทำให้องค์จักรพรรดิสีหน้ามืดทมิฬลงในใด ไป๋หลี่เย่ฉวยโอกาสนี้กล่าวต่อว่า
“ลูกเองก็มีคนที่ชอบแล้ว! นางผู้นั้นคือเซี่ยเสวี่ยเหลียน คุณหรูรองแห่งจวนเสยาบดีแห่งนี้!
องค์จักรพรรดิเหลือบสายตามองไปทางเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่นั่งอยู่มุมหนึ่ง และพยักหน้าให้ทีหนึ่งอย่างช่วยมิได้ นางผู้นี้ดูงดงามก็จริง แต่…นางไม่ใช่คนของวังหลวง มารดาของนางมีสายเลือดพ่อค้า ทั้งยังเป็นเพียงคุณหนูรองเท่านั้น
“ฝ่าบาท ในเมื่องค์รัชทยาทไม่เต็มใจ และหม่อมฉันเองก็ไม่ต้องการเช่นนี้ เกรงว่าหากฝืนอภิเษกต่อไปคงมีแค่ความทุกข์ทรมาน หากฝ่าบาทต้องการชดเชยอะไรสักอย่างให้หม่อนฉันจริงๆ โปรดถอดถอนคำสั่งนี้ด้วยเถิด”
เซียถงแลเห็นแววตาขององค์จักรพรรดิที่ยามนี้ดูลังเล จึงรีบเอ่ยเสียงดังฟังชัด
องค์จักรพรรดิ ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ สุดท้ายส่ายหน้าอาน
“เรื่องที่จะพูดจบแล้ว”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากจวนโดยตรง เตรียมนั่งเกี้ยวรุม้าเดินทางกลับพระราชวัง
เซียเสวียเหลียนที่เห็นว่า องค์จักรพรรดิไม่มีแม้แต่ความตั้งใจที่ต้องการจะแต่งตั้งตัวนางขึ้นเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทเลยด้วยซ้ำ ใบหน้าก็พลันซีดเผือด ขณะเดียวกัน แววความเกลียดชังที่ส่องสะท้อนในดวงตาของนางก็ยิ่งเข้มข้นลึกล้ำยิ่งขึ้น
เซียถงงและคนอื่นๆเดินทางออกจากจวนเพื่อจะลาส่งฝ่าบาทกลับไป แต่ก่อนหน้านั้นองค์จักรพรรดิกลับกวักมือเรียกเซียถงให้เดินเข้าไปหาใกล้ๆและกล่าวเสียงเบาว่า
“พรสวรรค์ของเจ้าไม่เลวเลย แถมยังโดดเด่นเสียยิ่งกว่าไป๋เอ๋อร์ของข้าอีก น่าเสียดาย…”
“เป็นคนธรรมดาทั่วไปก็ดีเช่นกัน สตรีเพศไม่ควรร่ำร่ายเคียงกระบี่และทวน”
เซียถงแสร้งก้มหน้าก้มตาลงทำเป็นโศกเศร้า
ดวงตาขององค์จักรพรรดิทอประกายแวววับ
“เซียถง ข้าผู้นีเคยได้ยินมาว่า วรยุทธที่เจ้าฝึกปรือมาตั้งแต่ยังเด็กเป็นวิชาแปลกพิสดารและลึกลับ ทั้งยังเป็นวิชาที่ข้าผู้นี้ยังไม่เคยเห็นมาก่อน…ข้าสงสัยเสียว่า วรยุทธ์ดังกล่าวของเจ้าได้มาจากที่ใด?”
เซียถงแหง่นหน้าขึ้นมอง แววตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“เป็นวรยุทธ์ที่ฝึกปรือตั้งแต่เด็กเคียงคู่กับน้องสาว ทว่าข้าเคยได้ยินท่านพ่อบอกว่า เนื่องจากตัวข้านั้นหัวไวกว่า ทั้งยังเข้าใจอะไรเร็ว ส่งผลให้ข้ามีพัฒนาการก้าวหน้าเร็วงกว่าคนปกติมาก”
แต่ทันใดนั้นองค์จักรพรรดิพลันเปลี่ยนคำถามทันที
“มารดาของเจ้า…เคยมอบสิ่งใดให้เจ้าบ้างหรือไม่?”
“มารดาของข้าเคยมอบหลายสิ่งอย่างแก่ข้ามากมาย และนางก็ดีกับข้าอย่างยิ่ง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เซียถงลอบสายตาเฝ้าเงยมององค์จักรพรรดิ สังเกตเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความหวาดหวัง ยามนี้ภายในใจของนางถึงกับกระจ่างแจ้ง! เข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว!
ที่แท้ฝ่าบาทก็ตั้งใจจะแต่งตั้งตัวนางขึ้นเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทเพียงเพราะเรื่องวรยุทธ์นี่เอง!
แต่เซียถงยังคงเสแสร้งปั้นใบหน้าไร้เดียงสา ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเศร้าสร้อยขึ้นว่า
“แต่ต่อมา มารดาของข้า…ก็ป่วยหนัก ไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นจากเตียงได้ด้วยซ้ำ ส่วนบิดาก็กลัวว่า อาการป่วยของมารดาข้าจะเป็นโรคร้ายแรงแพร่ไปติดคนอื่น จึงถูกเนรเทศไล่ให้ไปอยู่อาศัยในกระท่อมด้านในสุดของจวนเสนาบดี และตอนนี้…ข้าก็ไม่ได้เห็นหน้ามารดามากว่าสิบปีแล้ว”
น้ำเสียงของนางช่างฟังดูอ่อนแอและน่าสงสารเป็นที่สุด
“หรือว่าก่อนจากลากัน…มารดาของเจ้าเคยมอบสิ่งใดไว้ให้บ้าง?”
องค์จักรพรรดิยังคงซักถามต่อไป
“สิ่งของ…”
เซียถงขมวดคิ้วครุ่นคิด ผ่านไปสักครู่หนึ่งจึงร้องเสียงดังกล่าวว่า
“ข้าจำได้แล้ว!”
“มันคืออะไรรึ?”
ทันใดนั้นดวงตาขององค์จักรพรรดิพลันเปล่งประกายขึ้นทันที ยามนี้เขาอดรู้สึกเนื้อเต้นมิได้
“ข้าจำได้ว่า…ตอนประมาณห้าขวบ ท่านแม่เคยมอบไข่มุกรัตติกาลแก่ข้าเม็ดหนึ่ง เดิมทีสิ่งนี้เป็นสินไหมเดิมตอนนางออกเรือน มูลค่าหลายพันเหรียญทอง แต่ต่อมาข้าก็กลืนเข้าท้องไปเสียแล้ว”
สีหน้าขององค์จักรพรรดิมืดทมิฬลงทันที เค้นเสียงเย็นคำหนึ่งและเดินจากออกไปโดยตรง เขาเอ่ยปากถามออกไปมากแล้ว แต่กลับไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับมาสักอย่าง ช่างเสียเวลาจริงๆ!
เซียถงเหลือบมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่จากออกไปอย่างหกหู่ สีหน้าใสซื่อไร้เดียงสาดั่งก่อนหน้าเลือนหายไป แทนที่กลายมาเป็นสีหน้ามากเล่ห์เหลี่ยม มุมปากพลันแสยะยิ้มฉีกกว้าง ปรากฏว่าเจตนาของฝ่าบาทก็เช่นนี้นี่เอง
พอหมุนตัวกลับ เตรียมจะกลับเรือนตัวเอง ก็เห็นเซี่ยเสวี่ยเหลียนยืนดักตนเองอยู่ด้านหลัง สีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความอิจฉาริษยา
“เซียถง นังแพศยาไร้ยางอาย! น้ำหน้าอย่างเจ้ารึหวังจะครอบครององค์รัชทายาทของข้า!”