ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 90 ฟื้นฟูรูปโฉม (2)
ตอนที่90 ฟื้นฟูรูปโฉม (2)
หนึ่งชั่วยามถัดมา ของเหลวสีดำส่งกลิ่นเน่าเหม็นจำนวนมากทยอยกันรินไหลทะลักล้นออกมาตามรูขุมขนจากทั่งร่างกายของเซียถง เวลาที่ของเหลวเหล่านี้หยดลงใส่พื้น กลับหลอมละลายกลายเป็นควันสีครามฟุ้ง นี่แสดงให้เห็นถึงความอันตรายของพิษชนิดดังกล่าว
ยามนี้เส้นลมปราณทั้งสองสายที่ทอดยาวไปสู่ใบหน้าไม่มีอะไรมาขวางกั้นอีกต่อไป เซียถงระดมลมปราณสีครามเข้มขุมแล้วขุมเล่า เข้าหล่อเลี้ยงใบหน้าอย่างไม่หยุดหย่อนโดยผ่านเส้นลมปราณทั้งสองสายบริเวณไหล่ พอเส้นลมปราณทั้วใบหน้าถูกพลังลมปราณสีครามเข้มขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง จุดด่างดำอจำนวนมากมายบนผิวหน้าเองก็ถูกขจัดหายไปตามธรรมชาติ ทั้งนี้ยังส่งผลให้ผิวพรรณบริเวณใบหน้าเปล่งปลั่งเป็นประกายเรียบเนียนขึ้นมากจากแตกก่อน
หลังจากที่เส้นลมปราณทั้งสองสายนี้ถูกเปิดออกโดยสมบูรณ์ เซียถงก็สัมผัสได้ทันทีว่า ระดับแรงดันของพลังลมปราณในร่างกายมันแรงขึ้นมาก ส่งผลให้เวลาอัดฉีดพลังเข้าหล่อเลี้ยงกระดูกและเส้นเอ็นทั่วกายา ได้รับผลประโยชน์ที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ตราบเท่าที่มีเวลาเพียงพอ นางจะสามารถทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงโดยสมบูรณ์แบบได้ นางรีบเร่งระงับความเปี่ยมสุขภายในใจโดยไว และกรอกเทพลังลมปราณทั้งหมดส่งไปยังทั่วกายาอีกครั้ง
แต่คล้ายกับว่ายามนี้ถึงจุดคอขวด ความแข็งแกร่งของนางถูกปรับปรุงพัฒนาขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะหยุดนิ่งไป และไม่ว่าเซียถงจะพยายามดูดซับพลังวิญญาณโดยรอบอีกมากมายเพียงใด แต่กลับไม่มีความคืบหน้าอันใดอีกเลย
“นายท่าน การจะพัฒนาความแกร่งกล้าควรจะต้องค่อยเป็นค่อยไป รีบร้อนเกินไปกลับได้โทษมากกว่าประโยชน์”
เสี่ยวฮั่วกล่าวเตือน
ในท้ายที่สุดนี้ เซียถงจำต้องยอมแพ้ไป กระโดดลงจากเตียงและเดินไปหยุดลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งโดยไว กระชากผ้าคลุมใบหน้าออกมา ยลโฉมตัวเองผ่านบานกระจกเบื้องหน้า สิ่งเดียวที่เห็นจากในกระจกบานนั้นคือ สตรีงามถล่มเมืองนางหนึ่ง ผิวพรรณทั่วใบหน้าเรียบเนียนขาวผ่องประดุจหิมะ คู่คิ้วยาวเป็นทรงคันธนูเรียวสวย นี่คือ ความงดงามที่ยืนหนึ่งในใต้หล้าอย่างแท้จริง เสมือนกับว่า ช่างฝีมือจากสรวงสวรรค์ใช้ความพยายามทั้งหมดในชั่วชีวิต บรรจงสร้างใบหน้าอันแสนงดงามนี้ซึ่งเป็นผลงานศิลป์ชิ้นเอกขึ้นมา
ไม่มีหญิงสาวในรุ่นอายุเดียวกันคนใดที่เผยแสดงความงดงามที่เบ่งบานขนาดนี้ได้เท่ากับเซียถงแล้ว และความงามที่นางได้ครอบครองนี้มันก๋มีคุณสมบัติเพียงพอแล้วที่จะบัญชาให้บุปผาเปลี่ยนสี สั่งให้ธารน้ำแข็งท่ามกลางฤดูหนาวหลอมละลาย
เซียถงยกนิ้วขึ้นแตะแก้มสีขาวเนียนของตน ก่อนจะคลี่ยิ้มส่งออกมาเล็กน้อย สีหน้าในยามนี้ของนางเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข พิษร้ายแรงเหล่านั้นถูกกำจัดออกไปโดยหมดสิ้นแล้วจริงๆ ส่งผลให้รอยจุดด่างดำทั่วบริเวณใบหน้าได้สิ้นสลายหายไปตลอดกาล และชีวิตของนางต่อจากนี้ก็จะมิได้ถูกพิษร้ายเหล่านี้คุกคามอีกต่อไปเช่นกัน
“นายท่าน ท่านงดงามมาก ไม่มีอิสตรีนางใดจะงดงามไปกว่าท่านอีกแล้วบนผืนพิภพแห่งนี้”
เสี่ยวฮั่วเอ่ยปากชมจากใจจริง
เซียถงเหลือบสายตามองไปทางกระจก ปิดปากเงียบกริบไม่กล่าวใดๆ จากนั้นก็เดินผละออกไป หยิบสมุนไพรที่เหลือจากการหลอมกลั่นขึ้นมาและนำมาบดผสมกันเป็นของเหลว หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ของเหลวสีดำปริมาณมากเต็มชามโอสถ
นางใช้ของเหลวสีดำในชามเหล่านั้นแต้มทาไปทั่วบริเวณใบหน้า เพื่อสร้างจุดด่างดำของปลอมขึ้นมาปกปิดใบหน้าที่แท้จริง
ผิวสีขาวเนียนบนแก้มทั้งสองฝั่งของเซียถงถูกจุดด่างดำกลบรัศมีความเปล่งปลั่งไปจนหมดสิ้น โฉมงามจากในกระจกได้แปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์น่าเกลียดอีกครั้ง
“นายท่าน ท่านไม่ชอบรูปโฉมเมื่อสักครู่หรอกรึ?”
เสี่ยวฮั่วถึงกับเอ่ยปากถามขึ้นทันที ปั้นสีหน้างุนงง
“ข้าต้องชอบอยู่แล้ว แต่หากจะไปไหนมาไหนโดยอาศัยรูปลักษณ์เช่นนั้น เกรงว่าสิ่งนี้จะชักนำปัญหาต่างๆ มากมายเข้ามาโดยไม่จำเป็น ข้าจะต้องแข็งแกร่งให้ได้มากกว่านี้เสียก่อน ถึงจะออกข้างนอกได้พร้อมกับโฉมหน้าที่แท้จริง”
สวรรค์ฟ้าอิจฉาความงดงามของมวลมนุษย์ สิ่งนี้หาใช่เรื่องเกินจริง ความงดงามที่มากเกินไปกลับส่งผลเสียมากกว่าได้ และอาจนำพาภัยพิบัติถึงแก่ชีวิตมาให้โดยไม่รู้ตัว แม้นางจะไม่เคยเกรงกลัวต่อปัญหาเบื้องหน้าที่รออยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะต้องเสียแรงเสียเวลาเปล่ากับปัญหาโง่ๆ ที่ไม่เกิดประโยชน์อันใดจริงหรือไม่? ในปัจจุบันสิ่งที่เซียถงปรารถนาคือ การฟูมฟักความแข็งแกร่งของตนอย่างเงียบๆ เท่านั้น ขอเพียงได้ครอบครองขุมพลังที่กล้าแกร่งเพียงพอ นางก็จะสามารถปกป้องท่านแม่จากผู้ไม่หวังดีจากทั่วสารทิศในขณะนี้ได้
ในช่วงบ่ายของวันนี้ เป็นคาบเรียนแขนงวิชายุทธ์ ซึ่งก็ยังวนเวียนกับการฝึกกำลังกายอย่างการวิ่งขึ้นลงบนภูเขาป่าสนดังเดิม แต่คราวนี้เพิ่มจากหนึ่งร้อยรอบเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบรอบ แน่นอน เซียถงวิ่งเสร็จเป็นคนสุดท้าย ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว อาการปวดเมื่อยยังคงมีปรากฏมาบ้าง แต่โดยรวมแล้ว มันดีกว่าครั้งก่อนหน้ามาก
ทันทีที่วิ่งเสร็จสิ้น นางก็หาสถานที่เงียบสงบและนั่งขัดสมาธิทันที จากนั้นก็เริ่มกระบวนการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินจากทั่วอาณัติบริเวณ แปรเปลี่ยนพลังวิญญาณปริมาณไร้สิ้นสุดเหล่านั้นกลายมาเป็นพลังลมปราณ ก่อนจะสูบฉีดพวกมันเข้าหล่อเลี้ยงร่างกายผ่านเส้นลมปราณทั่วกายา เสมือนว่าร่างกายในตอนนี้ของนางมีความต้องการไม่สิ้นสุด พยายามเติมพลังลมปราณเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ
ดูท่าแล้ว หลังจากที่ทะลวงขึ้นมาถึงขอบเขตเสาหลักฟ้า การจะเลื่อนระดับขึ้นแต่ละขั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญมาก แต่อย่างไรก็ตาม อาศัยอัตราความเร็วประมาณนี้ นางมั่นใจว่า จะสามารถทะลวงขึ้นกลายเป็นขอบเขตเสาฟ้าชั้นสูงโดยสมบูรณ์ได้ภายในเวลาไม่เกินสามเดือน
แต่จะว่าไป…ระดับพลังลมปราณของผู้คนจากจักรวรรดิอื่นๆ ที่เข้าร่วมงานประลองสี่จักรวรรดิ โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขาน่าจะอยู่ในขอบเขตใดกัน? ขณะที่เซียถงกำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกดังขึ้นจากเบื้องลึกภายในป่าสน เซียถงถอดถอนพลังลมปราณกลับเข้าจุดตันเถียนโดยไว สิ้นสุดการบำเพ็ญตบะแต่เพียงเท่านี้ เสี้ยวพริบตาต่อมา คมมีดสั้นเร้นประกายสีเย็นก็เลื่อนลงมาบนฝ่ามือขวาอย่างเงียบงัน จัดท่ากระชับจับแน่นให้ถนัดมือ จากนั้นค่อยย่องฝีเท้าแอบเข้าไปภายในป่าสนอย่างลับๆ
ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง เซียถงค่อยๆ เคลื่อนสายตาจับจ้องไปยังทิศทางที่มีเสียงร้องไห้ดังออกมา ก็บังเอิญไปเห็นหญิงสาวนางหนึ่งที่กำลังเอนกายพักพิงอยู่ตรงลำต้นของต้นไม้สูงยักษ์ ร้องสะอื้นเสียงต่ำ เคียงหญิงชราผมเผ้าหงอกขาวยืนอยู่ไม่ห่าง
แลเห็นใบหน้าของหญิงชรานางนั้นได้อย่างชัดแจ้งผ่านแสงจันทราสว่าง แก้วใจดวงนั้นของเซียถงถึงกับสั่นระรัวเต้นแรงด้วยความตกใจ เพราะหญิงชรานางนั้นมีผิวสีน้ำเงินอมเทา ทั้งยังมีเนื้องอกขนาดใหญ่เป่งโตออกมาจากบริเวณใบหน้าด้านขวา ห้อยลงมายานถึงคอ จนดูคล้ายกับว่าอีกฝ่ายมีสองหัว โดยรวมแล้วดูน่ากลัวอย่างยิ่งราวกับผีสาง
“องค์หญิง สรวงสวรรค์ให้โอกาสพวกเราสอง รอดชีวิตจากการล่มสลายของจักรวรรดิได้ ทั้งหมดก็เพื่อให้โอกาสที่สองแก่พวกเราในการฟื้นฟูจักรวรรดิหรู่หรานกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เช่นนั้นแล้วองค์หญิงจะมาทำตัวอ่อนแอเยี่ยงนี้ได้อย่างไร?”
“แต่ย่าเฟิง ข้ามิได้ต้องการฟื้นฟูจักรวรรดิของเรา ไม่…ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้น ข้าทำไม่ได้!”
หญิงสาวนางนั้นเงยหน้าขึ้นมาพร้อมเอ่ยตอบ
ภายใต้แสงจันทราที่สาดส่องเข้าใส่ ทำให้เซียถงเห็นโฉมหน้าของหญิงสาวนางนั้นได้อย่างชัดแจ้ง
เซียถงที่เห็นใบหน้าของหญิงสาวนางนั้นก็ถึงกับตกใจอย่างยิ่ง หญิงสาวที่กำลังร้องไห้นางนั้นก็คือ…ฉีหมิงเยว่!
แท้จริงแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของนางกลับเป็นถึงองค์หญิงของจักรวรรดิที่ล่มสลายไปแล้ว! เรื่องเช่นนี้เซียถงแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเช่นกัน!
“เพราะเช่นนั้น บ่าวจึงส่งท่านให้เข้าเรียนในสถานศึกษาเซิงหลิง เพื่อให้องค์หญิงใกช้ชิดกับองค์รัชทายาทของจักรวรรดิตงหลี่ ตราบใดที่ทำให้อีกฝ่ายหลงใหลในตัวท่านได้ เราก็จะสามารถหยิบใช้ขุมพลังความแข็งแกร่งของจักรวรรดิตงหลี่ เพื่อฟื้นฟูจักรวรรดิหรู่หรานของเราให้ยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง!”
เมื่อเห็นใบหน้าของฉีหมิงเยว่ที้เปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยน้ำตา สายตาคู่นั้นหญิงชรานางนั้นก็ทอประกายละอายใจ เอื้อมมือลูบผมเผ้าของอีกฝ่าย
“แต่ถึงแบบนั้น องค์นรัชทายาทที่ว่ากลับหาใช่คนที่ข้ามีความรู้สึกดีเลยด้วยไม่ และที่สำคัญภายในสถานศึกษายังมีสตรีงามอีกหลายหลาก ข้าไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ”
ฉีหมิงเยว่กล่าวตอบ ขณะยกเรียวนิ้วยาวขึ้นปาดน้ำตา
อันที่จริงแล้ว มิใช่ว่าไม่มีโอกาส แต่นางไม่อยากเข้าใกล้อีกฝ่ายเลยสักนิด