ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 92 นักหลอมโอสถ (2)
ตอนที่92 นักหลอมโอสถ (2)
“ขอบพระคุณคุณหนู! คุณหนูคือผู้ทรงเมตตาสำหรับบ่าวคนนี้ที่สุดแล้ว”
หยุดชะงักตกสู่ภวังค์ความตื่นตะลึงไปชั่วครู่ อิ๋งเอ๋อร์ดวงตาแดงก่ำคล้ายอยากจะร้องไห้ วิ่งเข้าไปอ้าแขนสวมกอดเซียถงไว้แน่น คุณหนูของนางคนนี้เป็นห่วงเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของคนรับใช้ตัวน้อยๆ คนหนึ่งอย่างนาง จนถึงขนาดมอบเหรียญทองให้ตั้งมากมายปานนี้ ทั้งยังบอกเองว่า เงินกองตรงหน้าเป็นของเจ้า และสามารถใช้จ่ายได้ตามใจอิสระ แล้วมีหรือที่อิ๋งเอ๋อร์ใจไม่ซาบซึ้งกับความใจกว้างดังกล่าวได้อย่างไร? ในทางตรงข้าม ต้องถามกลับไปเสียด้วยว่า จะมีคุณหนูคุณนายสักกี่คนที่ปฏิบัติกับบ่าวทาสของตัวเองดีปานนี้?
เซียถงตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ พลันโดนอิ๋งเอ๋อร์สวมกอดแน่น คล้อยหลังไม่นาน เผยปรากฏรอยยิ้มสีบางคลี่ออกมาเป็นรอยยิ้ม นางยกมือขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ กล่าวว่า
“ในอนาคตต่อไป ข้าจะพยายามหาเงินมาให้อีก พวกเราไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองอีกต่อไปแล้ว”
“คุณหนู คุณหนูของบ่าวยอดเยี่ยมไร้ที่ติ!”
คล้ายว่าเพิ่งตระหนักได้ว่า ตนรู้สึกดีใจจนแสดงท่าทางจนเกินเลย อิ๋งเอ๋อร์จึงรีบคล้ายอ้อมกอดปล่อยเซียถงโดยไว ทั้งนี้ประกายตาคู่นั้นของนาง ยังคงจับจ้องอีกฝ่ายเปี่ยมล้นความชื่นชมไม่เสื่อมคลาย
ในสายตาของอิ๋งเอ๋อร์ตอนนี้ เซียถงเปรียบได้ดั่งเทพเซียนอย่างแท้จริง และดูเหมือนว่าจะไม่มีความคิดใดอื่นสามารถลบล้างทัศนคตินี้ได้
เซียถงวานให้อิ๋งเอ๋อร์จัดการไปจับจ่ายซื้อของในชีวิตประจำวันและซื้อเสื้อผ้าใหม่จำนวนหนึ่งมาเปลี่ยนหลังจากรวบรวมสิ่งของได้เสร็จ จึงจ้างรถม้าต่อเพื่อบรรทุกข้าวของเครื่องใช้และพาอิ๋งเอ๋อร์เข้าไปที่สถานศึกษาเซิงหลิงด้วยกัน ทั้งนี้เซียถงได้ตัดสินใจแล้ว ตนจะพาอิ๋งเอ๋อร์เข้ามาอยู่อาศัยภายในสถานศึกษาด้วยกัน เผื่อว่าเวลาหลอมกลั่นโอสถเสร็จจะได้ฝากให้อิ๋งเอ๋อร์วิ่งเอาไปขายโดยตรง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ตัวเซียถงมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการหลอมกลั่นให้ได้มากที่สุด มิใช่ว่าหลอมเสร็จทีหนึ่งต้องวิ่งเต้นเข้าเมืองอีกทีหนึ่ง เกรงว่าผลลัพธ์คงไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่
หลังมาถึงสถานศึกษาเซิงหลิง เซียถงก็จ่ายเงินจำนวนสิบเหรียญทองแก่อาจารย์คนดูแลหอพัก เพื่อย้ายทั้งตัวนางและอิ๋งเอ๋อร์ไปยังหอพักสุดหรูของสถานศึกษาที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับบรรดาลูกคุณหนูคุณชายทั้งหลายโดยเฉพาะ สถานที่ของหอพักสุดหรูดังกล่าวตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสถานศึกษา ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและธารแม่น้ำสายหนึ่ง ทั้งนี้ยังมีสวนบุปผาพร้อมศาลาพักชมทิวทัศน์เล็กๆ อยูอีกด้วย ดูแล้วก็คล้ายกับเรือนพักของบรรดาตระกูลใหญ่โตที่มีทุกอย่างเพียบพร้อม
ภายใต้คำแนะนำของอาจารย์ผู้ดูแลหอพัก เซียถงเดินเข้าไปในตัวอาคารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ขึ้นไปยังชั้นสองเดินสุดทางฝั่งขวานี่คือห้องพักของนาง พอทราบดังนั้นเซียถงจึงวานให้อิ๋งเอ๋อร์เข้าไปจัดการในส่วนที่เหลือโดยทันที
วันนี้มีเรียนแขนงวิชาโอสถในคาบเช้า ไป๋หลี่อวี๋อิงไม่ได้เข้าเรียน ส่งผลให้ไม่มีบรรดาสาวๆ นางใดภายในห้องกล้ายั่วยุหรือปั่นประสาทเซียถงเลยแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างผ่านไปอย่างสงบสุขยิ่งนัก เมื่อคาบเรียนสิ้นสุดลง เซียถงก็เดินตรงไปหยุดเบื้องหน้าหยุนซี จากนั้นก็หยิบเงินจำนวนห้าเหรียญทองขึ้นมาจากใต้แขนเสื้อยาว พร้อมส่งให้แก่อีกฝ่าย
หยุนซีมิได้เผยแสดงสีหน้าท่าทีดูมีความสุขเหมือนครั้งแล้วๆ มา แต่นางเอียงศีรษะจับจ้องเซียถงด้วยความกังขาสงสัย แววตาทอประกายความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันใด กล่าวว่า
“มิใช่ว่าครอบครัวเจ้ายากจนหรอกรึ? ไฉนจู่ๆ ก็มีเงินมีทองใช้ซะแบบนั้น?”
“แม้ว่าจวนเสนาบดีเซี่ยจะมิได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยากจนแร้นแค้นอย่างที่คิด ยังพอมีเงินทองติดตัวอยู่บ้าง”
เซียถงส่ายหน้าปฏิเสธข้อคาดเดาของหยุนซีไป ถึงแม้นางจะไม่ชอบขี้หน้าเซี่ยอี้เฉินก็จริงอยู่ แต่สุดท้ายนี้ ในสายตาของคนอื่นที่มองมา มันก็ยังเป็นพ่อของนางอยู่ดี ดังนั้น เรื่องชื่อเสียงของจวนเสนาบดีเซี่ยยังจำต้องคงรักษา เพื่อต้องใหยิบใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้า
“ปรากฏว่าจวนเสนาบดีเซี่ยมิได้ยากจนซะทีเดียว”
หยุนซีพยักหน้าทีหนึ่ง โบกมือเรียวยาวสีขาวผ่องประดุจหิมะไปทางเซียถง กล่าวขึ้นว่า
“วันแรกเจ้าเป็นหนี้ข้าสิบเหรียญทอง ดอกเบี้ยของข้ามีอัตราก้าวกระโดดวันละหนึ่งเท่าจากจำนวนหนี้ของวันก่อนหน้า ดังนั้นสิบเหรียญทองที่เจ้าติดข้า ถัดไปหนึ่งวันก็เพิ่มเป็นยี่สิบเหรียญทอง เมื่อนวานเพิ่มขึ้นอีกกลายมาเป็นสี่สิบเหรียญทอง และวันนี้เท่ากับว่า เจ้าติดหนี้ข้าทั้งหมดรวมเป็นเงินแปดสิบเหรียญทอง”
เดี๋ยวก่อน…อัตราดอกเบี้ยบ้านไหนเข้าคิดกันแบบนี้?
หยุนซีนางนี้ไม่ขูดเลือดขูดเนื้อกันเกินไปหน่อยรึ?
เซียถงรู้สึกปวดเศียรเล็กน้อย แต่จะอย่างไรตอนนี้นางก็เป็นนักหลอมโอสถแล้ว เรื่องเงินๆ ทองๆ กลับหาใช่ปัญหาสำหรับนางอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจมากนัก พยักหน้าตอบหยุนซีกล่าวเพียงว่า
“เข้าใจแล้วท่านอาจารย์ แต่เงินที่ข้าพกติดตัวในเวลานี้มีไม่ค่อยมาก เช่นนั้นท่านกลับหอพักไปกับศิษย์คนนี้ แล้วจะมอบส่วนที่เหลือคืนให้ทั้งหมด”
“ตอนนี้เจ้ามีเงินมากมายปานนั้น?”
ถึงคราวที่หยุนซีตื่นตัวคล้ายถูกประโยคคำกล่าวนี้ของเซียถงปลุกกระตุ้นขึ้นมาทันใด แต่จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไร? เพราะครั้งก่อนหน้า นางขอเซียถงแค่สิบเหรียญทอง นางยังไม่มีจ่ายเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังพยายามหาทางบ่ายเบี้ยง ทว่า ณ ปัจจุบัน ขอเงินเป็นก้อนใหญ่จำนวนถึงแปดสิบเหรียญทอง อีกฝ่ายกลับตอบตกลงยินยอมง่ายเกินไปไหม? ดวงตาคู่งามสีลูกท้ออมส้มสาดประกายจับจ้องเซียถงไม่ละเลยใดๆ
“สรุปว่าท่านอาจารย์อยากให้ศิษย์คนนี้ใช้หนี้คืนจริงๆ ใช่หรือไม่?”
เซียถงอดหรี่ตามองหยุนซีมิได้ ทั้งนี้ยังตรวจจับเสาะพบร่องรอยความไม่เต็มใจบางอย่างที่เผยสะท้อน ออกมาจากสายตาสีลูกท้อคู่นั้นอย่างชัดเจน มันดูราวกับว่าหยุนซีทิได้มีเจตนาเก็บหนี้จากนางจริงๆ แต่อีกฝ่ายเพียงต้องการให้นางติดหนี้เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งดีอย่างใดอย่างนั้น
“ก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าไม่ว่าง เช่นนั้นนำเงินมาให้ข้าตอนช่วงบ่ายเสียแล้วกัน อย่างไรเสีย อัตราดอกเบี้ยที่ข้าคิดเพิ่มขึ้นแล้ว จากนี้ต่อไปจะเพิ่มทุกๆ สี่เท่า”
หยุนซีชักมือหดกลับมาพร้อมกล่าวอธิบายให้เซียถงฟัง
สิ้นเสียงกล่าวจบ โดยไม่มีรีรอให้เซียถงได้เอ่ยปากกล่าวใดๆ หยุนซีก็หมุนตัวเดินจากออกไป จงใจเร่งฝีเท้าชนิดที่ว่า ไม่ว่าผู้ใดก็เอ่ยหยุดไว้ไม่ทัน เซียถงทอดสายตาเหม่อมองแผ่นหลังที่ลาจากออกไปของหยุนซี คู่คิ้วขมวดแน่นราวกับกำลังครุ่นคิด และนางมั่นใจอย่างมากว่า หยุนซีจะไม่ปรากฏตัวออกมาพบแน่นอนในช่วงบ่ายวันนี้
ยืนพินิจกับตัวเองอีกสักครู่ เซียถงค่อยยกฝีเท้าก้าวฉับออกไปเช่นกัน ระหว่างทางกลับ สองข้างทางยังคงภาพฉากกลีบบุปผาโปรยปราย เคียงคู่มันกับสายลมเย็นโชยอ่อนดังเดิม และทันทีทันใด นางก็พลันได้ยินสุ้มเสียงของใครบางคนเอ่ยเรียกชื่อตนออกมา เหลียวหลังหันกลับไปก็พบว่าเป็น ฉีหมิงเยว่ที่กำลังยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ โบกมือให้อย่างยิ้มแย้ม
เซียถงเปลี่ยนทิศทาง เดินตรงไปหาฉีหมิงเยว่ทันที
“เซียถง ข้าเพิ่งชงชาดอกไม้เสร็จเมื่อเช้านี้ ไปดื่มชากันเถอะ”
ฉีหมิงเยว่ส่งยิ้มพริ้มหวานมอบให้แก่เซียถง เอื้อมมือเข้าควงแขน เดินเคียงคู่ไปยังศาลาพักผ่อนในสถานศึกษาบริเวณแถวนั้น
เซียถงเคียงไม่ห่างพลางเหลือบสายตามองฉีหมิงเยว่เป็นระยะอย่างลับๆ ทั้งนี้ภาพฉากเมื่อวานยังคงจดจำได้ชัดแจ้ง หญิงสาวที่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดต่อสภาวะแรงกดดัน ทั้งสงครามนองเลือดที่เป็นดั่งปมในใจเรื่อยมา และภาระความรับผิดชอบในการกอบกู้จักรวรรดิของตนอีก ไหนเลยที่นางยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสเฉกเช่นตอนนี้ได้? ทั้งที่เบื้องหลังของนางมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสารพัด?
ทั้งสองเดินมานั่งพักในศาลาสวนบุปผาของสถานศึกษา เซียถงเห็นอีกฝ่ายหยิบชุดน้ำชาที่ทำจากอัญมณีสีใส แกะสลักลวดลายดอดโบตั๋นสีทับทิมแดงออกมาวางไว้บนโต๊ะชุดหนึ่ง แค่เห็นก็พึงทราบ ชุดน้ำชาเหล่านี้ล้วนเป็นของหายากโดยทั้งสิ้น ถัดจากชุดน้ำชาปรากฏเป็นจานกระเบี้ยงเคลือบบาง วางขนมอบประมาณแถวหนึ่ง
“ท่านแม่มอบชุดน้ำชานี้ให้แก่ข้ามา แล้ววันนี้เองข้าก็ลองใช้กลีบบุปผาในสถานศึกษามาเป็นส่วนผสมดู เจ้าลองชิมสิ มันอร่อยมากเลย”
ฉีหมิงเยว่ รินชาให้ถ้วยหนึ่งพร้อมส่งมาให้เซียถง
ได้ฟังดังนั้นก็หยิบถ้วยชาอุ่นยกขึ้นมา ยังไม่ทันได้ริมจิบพลันได้กลิ่นหอมกรุ่นพุ่งเข้าใส่จมูกของนางอย่างจัง พอเคลื่อนสายตามองไปในถ้วย ก็เห็นเป็นกลีบบุปผาสีชมพูอ่อนล่องลอย แกว่งซ้ายขวาโอนเอนไปมาตามระลอกชาที่สั่นกระเพื่อมบางๆ
เอนศีรษะเข้าใกล้ ยกขอบแก้วเข้าสัมผัสริมฝีปากเพื่อลองลิ้ม จิบหนึ่งคำ รสหวานหอมแผ่ซ่านไปทั่วอณูปลายลิ้น ความละมุนละไมอบอวลไม่เลือนหายภายในปาก เซียถงถึงกับร้องอุทานขึ้นว่า
“หอมมาก!”
พอได้ยินคำชมของเซียถง ฉีหมิงเยว่ำพลางคลี่ยิ้มบางเผยให้เห็นถึงลักยิ้มน้อยๆ อันน่ารักปรากฏขึ้นทั้งสองข้างบนแก้ม
“อร่อยใช่หรือไม่? เรื่องการชงชาเป็นสิ่งที่ข้าถนัดที่สุดแล้ว ข้าชื่นชอบการชงชาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว พยายามคิดค้นสูตรใหม่ๆ เพื่อเพิ่มเสริมความหอมให้ดียิ่งขึ้น ในอนาคตต่อไป ข้าตั้งใจไม่ว่า เมื่อแต่งงานออกเรือนไป ข้าจะชงชาอร่อยๆ เฉกเช่นนี้ให้อีกฝ่ายดื่มทุกวันเลย”