ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 98 หญ้าแพรพรรณหยกของหยุนซี
ตอนที่98 หญ้าแพรพรรณหยกของหยุนซี
กล่าวจบ หยุนซีก็คว้าแขนเสื้อที่ขาดลุ่ยของตนขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดใบหน้าเล็กน้อย ทันทีทันใดคล้ายกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ สองมือพัลวันรีบคลำบริเวณรอบเอวอย่างร้อนรน ผ่านไปชั่วครู่ นางจับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง หยิบคว้าขึ้นมาปรากฏเป็นใบหญ้าสีเขียวหยกออกจากเอว พอเห็นว่าสิ่งนี้ยังคงอยู่ดีปลอดภัย หยุนซีก็ตบแผ่นอกตัวเองเบาๆ พ่นลมหายใจเสียงยืดยาวด้วยความโล่งอก
ใบหญิงภายในมือของหยุนซีใบนี้ ดูไปดูมาเหมือนกับอัญมณีสีเขียว เปล่งแสงระยิบระยับไปทั่วทั้งตัวของมัน เซียถงที่มองเพียงปราดเดียวพึงทราบทันที นี่คือหญ้าแพรพรรณหยก ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีความจำเป็นสำหรีบการหลอมกลั่นโอสถระดับสอง
“ท่านอาจารย์หยุนวี ต้องการหญ้าแพรพรรณหยกไปหลอมกลั่นโอสถกระมัง?”
เซียถงโพล่งถามออกมาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ทันทีที่สิ้นเสียง นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า หยุนซีหลอมกลั่นได้เพียงโอสถระดับหนึ่งและพิษเท่านั้น ระดับชั้นโอสถที่เกินระดับสองขึ้นไป คนที่ไม่มีธาตุไฟโดยธรรมชาติภายในกายเฉกเช่นหยุนซี ไม่สามารถหลอมกลั่นได้เลย เซียถงแอบรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะกลัวว่าประโยคคำกล่าวนี้จะไปจี้ปมในใจของอีกฝ่ายเข้า
“หญิงแพรพรรณหยกมิได้ใช้สำหรับการหลอมกลั่นโอสถเท่านั้น แต่มันยังมีคุณสมบัติจำเพาะอื่นนอกเหนือจากนั้น”
หยุนซีมิได้ใส่ใจคำถามหรือเก็บมาคิดมากใดๆ เพียงเอ่ยปากตอบอย่างสบายๆ กลับไป ทอดสายตามองหญ้าแพรพรรณหยกในมืออยู่สักครู่ ประกายตาสีดอกท้อพลันเปล่งปลั่ง เปิดเผยรอยยิ้มอ่อนจางขึ้นบนใบหน้าของนาง เสมือนสิ่งนี้คือสมบัติล้ำค่า
จากนั้นก็เก็บหญ้าแพรพรรณหยก ใส่ไว้ที่เอวดังเดิมอย่างระมัดระวัง ยกฝ่ามือตบหน้าผากตัวเองไปทีหนึ่ง สีหน้าการแสดงออกในขณะนี้ของหยุนซีบิดเบี้ยวโมโหอย่างยิ่ง
“ไอ้บัดซบพวกนั้น! ทำใบหญ้าเหล่านี้ขาด! ไปนับว่าชะตาขาดแล้วจริงๆ! ข้าจะกลับไปฆ่าไอ้พวกสัตว์นรก!”
สิ้นเสียงกล่าวจบ นางเดินหยิบกระบี่ยาวที่ร่วงตกอยู่บนพื้น และมุ่งหน้าออกไปทางหนองน้ำโดยตรง
ทว่าเดินไปได้สองสามก้าว ฝีเท้าของนางพลันหยุดชะงักชะงันกะทันหัน ร่างโซเซแกว่งซ้ายทีขวาทีไปมาคล้ายจะล้ม แม้กระทั่งจะทรงตัวให้ตรงยังแทบไม่ไหวแล้ว
“ท่านอาจารย์หยุนซี ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส เกรงว่า…”
เซียถงรีบวิ่งเข้าไปประคองโอบอุ้มอีกฝ่ายจากด้านหลังทันที
“ข้าจะไปฆ่าพวกมัน!”
หยุนซีโบกมือปัดใช้กระบี่ยาวกวาดไปมา พยายามดิ้นรนออกจากเซียถงที่เข้าห้ามปราม
“ท่านอาจารย์หยุนซี จะอย่างไรควรให้ความสำคัญกับอาการบาดเจ็บในขณะนี้ของท่านด้วย จะบุกเข้าไปในส่วนลึกของหนองน้ำแห่งนี้ทั้งที่สภาพไม่สมบูรณ์ เกรงว่าจะมีแต่อันตราย!”
เซียถงกอดหยุนซีเอาไว้แน่นในอ้อมแขน เฝ้ามองท่าทางการแสดงออกของหยุนซีที่ยังคงดื้อรั้นไม่หยุด ตราบใดที่นางเผลอปล่อยมือไป อีกฝ่ายน่าจะพุ่งหนีหายไปต่อหน้าต่อตาแล้วจริงๆ
คล้อยหลังฝืนกำลังดิ้นรนอยู่สักพักใหญ่ ดูเหมือนว่าหยุนซีจะหมดเรี่ยวแรงในที่สุด เอนกายพักพิงบนหัวไหล่ของเซียถง ค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบหญ้าแพรพรรณหยกขึ้นมาเชยชมเล็กน้อย ลึกลงไปในแววตาคู่สวยสีลูกท้อเต็มไปด้วยความหม่องหม่น เซียถงยืนกอดประคองร่างอรชรเพรียวบางเอาไว้แน่น เหม่อมองไปที่หญ้าแพรพรรณหยกในมือของอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน ไม่ปริปากกล่าวอะไรใดๆ
เซียถงไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้น หยุนซีได้รับหญ้าแพรพรรณหยกมาทั้งหมดกี่ใบ แต่บนมือของอีกฝ่ายยามนี้มีเพียงใบเดียวเท่านั้น และนางเองก็มิทราบเช่นกันว่า หญ้าแพรพรรณหยกดังกล่าวมันมีความสำคัญต่อหยุนซีมากขนาดไหนกันแน่ ถึงทำให้นางโกรธเกรี้ยวได้ถึงขั้นนี้
อย่างไรก็ตามแต่ เซียถงเลือกที่จะไม่เอ่ยปากถามอะไรมากมายเป็นดีที่สุด
หลังจากต่างฝ่ายต่างเงียบไปชั่วระยะหนึ่ง หยุนซีก็ข่มกลั้นเก็บความหมองหม่นเหล่านั้นกลับเข้าไปเบื้องลึกในใจ ประกายตากลับมาสดใสเจิดจรัสดังเดิม ยืดตัวขึ้นตรง พร้อมนำหญ้าแพรพรรณหยกเก็บลงในเอวอีกคราอย่างระมัดระวัง เดินกลับลงภูเขาออกจากป่าสน ก้าวแช่มทีละขั้นทีละตอนอย่างทุลักทุเลพร้อมกับกระบี่เล่มยาวในมือ เสมือนร่างกายมีน้ำหนักกว่าร้อยตันก็มิปาน ทุกก้าวที่เดินตรงออกไปดูยากลำบากยิ่งยวด เนื้อตัวสั่นเทิ้ม แต่นางยังคงเดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
เสมือนกับว่าในเวลานี้กำลังมีคนสำคัญรออยู่เบื้องหน้านาง หากไม่สืบเท้าย่างหนึ่งก้าว ระยะห่างระหว่างนางกับอีกฝ่ายก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งก้าวเช่นกัน
เฝ้ามองแผ่นหลังที่สั่นคลอนของหยุนซี เซียถงสัมผัสได้ทันทีถึงจิตใจที่เด็ดเดี่ยวและทะนงตนดื้อรั้น ต่อให้อีกฝ่ายล้มคะมำนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เซียถงก็เชื่อว่า แทนที่หยุนซีคนนี้จะเอ่ยปากร้องเรียกขอความช่วยเหลือ แต่นางจะเลือกคลานต่อไปจนกว่าจะถึงที่หมาย
ด้วยความประทับใจในส่วนนี้ เซียถงรีบสับเท้าวิ่งไล่ตามอีกฝ่ายจนทัน เอื้อมมือไปหยุงแขนของหยุนซีขึ้นพาดกับไหล่ของตน กล่าวว่า
“ท่านอาจารย์หยุนซี ข้าไม่เคยมาหนองน้ำลึกขนาดนี้ ดังนั้นจึงไม่รู้ทางกลับ ท่านอาจารย์ช่วยพาข้าไปส่งที่ตีนภูเขาที”
เนื่องด้วยอุปลักษณ์นิสัยอย่างหยุนซี นางไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากตัวเซียถงแน่นอน ดังนั้นเซียถงจึงเสนอตัวเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือแทน เพื่อที่จะได้แอบช่วยพยุงร่างอีกฝ่ายส่งลงภูเขาไปโดยสวัสดิภาพ
หยุนซีเหลือบสายตามองเซียถงเล็กน้อย หนึ่งระลอกคลื่นอารมณ์แปลกประหลาดปนสงสัยโฉบแล่นผ่านในดวงตาของนาง คิ้วขมวดยู่ยี๋เล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจว่า
“ไฉนเจ้าโง่ปานนี้? รู้ทางขึ้นเขา แต่กลับไม่รู้จักทางลงเขา?”
“อาจารย์เป็นแบบไหนศิษย์ก็เป็นแบบนั้น หากศิษย์คนนี้โง่ แสดงว่าอาจารย์มิได้สอนสั่งให้ดี”
เซียถงยิ้มตอบ
หยุนซีที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดคลี่ยิ้มมิได้ สาวน้อยนางนี้ไม่ยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายขาดทุนเลยสักครั้งจริงๆ
เซียถงส่งหยุนซีไปถึงหอพักในสถานศึกษาเซิงหลิง แล้วค่อยแอบย่องเข้าไปในห้องหลอมกลั่นโอสถอีกครา ระดมเปลวเพลิงจุดไฟใต้เตาหลอมกลั่น จากนั้นก็นำกิ้งก่าพิษโยนลงในเตาหลอมโดยตรง จากนั้นเป็นอันเริ่มกระบวนการหลอมกลั่นโอสถพิษ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ปรากฏโอสถพิษเม็ดกลมสีเหลืองนอนนิ่งอยู่ในเตาหลอม เซียถงหยิบมันขึ้นมาพินิจมองบนฝ่ามือ มุมปากเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา อาศัยโอสถพิษจากกิ้งก่าพิษในหนองน้ำ มันเกินพอแลวสำหรับเอาคืนไป๋หลี่อวี๋อิงและบรรดาสาวๆ เหล่านั้น พอนำโอสถเม็ดนั้นมาบดจนละเอียดกลายเป็นผง เซียถงก็นำผ้าเช็ดหน้ามาห่อบรรจุไว้ และแอบย่องออกจากห้องหลอมกลั่นโอสถไป
เมื่อนางมาถึงหอพักหรูในสถานศึกษาเซิงหลิง เซียถงก็ตรงต่อไปยังอาคารหลังหนึ่งที่ดูงดงามและโดดเด่นกว่าตัวอาคารอื่นๆ ลอบเร้นเข้าไปที่บ่อน้ำท่ามกลางผ่าไพ่สีเขียวขจี เปิดฝาบ่อน้ำออกและโรยผงพิษทั้งหมดลงไป ทั้งยังโยนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นลงในบ่อ ปิดฝา ลาจากป่าไผ่ผืนนั้นไปอย่างไร้ร่องรอย
บ่อน้ำในป่าไผ่เขียวขจีแห่งนี้ เป็นแหล่งน้ำเพียงแห่งเดียวที่ทุกคนในสถานศึกษาเซิงหลิงใช้ดื่มกิน
เดินทางกลับเข้ามายังหอพักของตน เซียถงทอดสายตามองหอพักหลังนั้นที่อยู่ด้านตรงข้าม มุมปากฉายแววเย้ยเยาะปรากฏออกมา เท่าที่นางไปสืบทราบมา ในวันนี้ไป๋หลี่อวี๋อิงกับบรรดาผู้ติดตามของนางมิได้แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่นอนค้างกันในหอพักหลังนั้นแทน
หึหึ พรุ่งนี้รอชมละครฉากใหญ่ได้เลย
พอกลับมาที่ห้องพักของนาง อิ๋งเอ๋อร์กำลังนอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะ ผล็อยหลับไป เซียถงปลุกให้นางย้ายไปนอนบนเตียงดีๆ จากนั้นก็ตรงเข้าไปห้องด้านใน นั่งไขว่ห้างขัดสมาธิอยู่บนเตียงและเริ่มดูดซับพลังวิญญาณบำเพ็ญตบะ