ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 1 บทที่ 2 เซียวยวี่ ข้าจะรอเจ้ากลับมา
ต้นฤดูใบไม้ผลิในเดือนสอง เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวไม่แน่นอน อากาศยังคงหนาวเย็น
เซี่ยยวี่หลัวได้แต่วิ่งไป ลมหนาวเย็นเยียบ นางวิ่งจนมีเหงื่อซึมชื้นทั่วตัว วิ่งไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านในคราเดียว แต่กลับมองไม่เห็นแม้แต่เงา
น่าจะเดินทางไปไกลแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวยังคงคาดหวังจะได้พบหน้าสักครั้ง เมื่อวานตัวเองหาเรื่องโวยวาย เกรงว่าภายในใจเซียวยวี่คงแค้นจนอยากถลกหนังเฉือนเอ็นนางออกมาต้มกินเสีย
ไปครานี้ใช้เวลานานถึงสี่เดือนกว่า หากปล่อยให้มีความทรงจำเลวร้ายแบบนี้ แค่คิดก็ทำให้โมโหจนกระอักเลือดได้ ไม่ดีเสียเลย!
เซี่ยยวี่หลัวที่มีความปรารถนาจะอยู่รอดอย่างแรงกล้าวิ่งออกไปนอกหมู่บ้านต่อ ไม่รู้ว่าวิ่งไปนานแค่ไหน ในที่สุดก็ได้ยินเสียงคนกำลังสนทนากัน
“พี่รอง ท่านว่าครั้งนี้พี่ใหญ่จะสอบติดไหม?” เป็นเสียงของเด็กผู้หญิง น้ำเสียงเบาบาง แฝงเร้นด้วยความกังวลใจ
“เราต้องเชื่อพี่ใหญ่ พี่ใหญ่พยายามถึงเพียงนี้ เขาต้องสอบติดแน่นอน!” นั่นเป็นเสียงเด็กผู้ชายอีกหนึ่งคน
เซี่ยยวี่หลัวฟังออกว่านั่นน่าจะเป็นน้องชายน้องสาวของเซียวยวี่ผู้เป็นพระเอก
ท้องฟ้ายังไม่สว่าง มองเห็นไม่ค่อยชัดเจน เซี่ยยวี่หลัววิ่งไปจนถึงตรงหน้าเด็กสองคนนั้น เอ่ยถามต่อหน้า “พี่ชายเจ้าละ?”
น้ำเสียงของนางเดิมทีมีเสน่ห์เย้ายวน แต่ก็แฝงเร้นด้วยความหยิ่งทะนง แต่ครานี้เพราะนางกำลังร้อนรนจิตใจ เมื่อเอ่ยวาจาจึงเหมือนเป็นการไต่ถามด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
เซียวจื่อเมิ่งกลัวจนรีบหลบอยู่ด้านหลังเซียวจื่อเซวียน ความหวาดกลัวที่มีต่อเซี่ยยวี่หลัวฉายชัดอยู่ในดวงตาสีดำ ไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวาและน่าเอ็นดูแบบที่เด็กผู้หญิงในวัยนี้ควรจะมี
เซียวจื่อเซวียนเหยียดแผ่นหลังจนตรงดุจด้ามพู่กัน ปกป้องเซียวจื่อเมิ่งที่อยู่ด้านหลัง “พี่ใหญ่ไปแล้ว!”
“โอ้ย! ทำไมถึงวิ่งเร็วนัก!” นางบ่นเชิงตำหนิทีหนึ่งไปด้วย กระทืบเท้าไปด้วย ก่อนสาวเท้าวิ่งไปด้านหน้าต่อ
วิ่งไปหลายเมตรแล้วจึงหันกลับมากำชับเด็กสองคน “รีบกลับบ้านไป”
เมื่อเห็นว่านางวิ่งไปไกลแล้ว เซียวจื่อเมิ่งจึงเดินออกจากด้านหลังเซียวจื่อเซวียน เอ่ยถามพี่ชายด้วยท่าทีสงสัย “พี่รอง นางเป็นอะไรไป?”
ผมเผ้าไม่ได้หวี ยุ่งเหยิงเสียยิ่งกว่าอะไร วิ่งจนเหนื่อยหอบหายใจแทบไม่ทัน ไม่เหลือภาพลักษณ์เดิมแม้แต่น้อย
เมื่อครู่ยังกำชับให้พวกเขารีบกลับบ้าน เพราะกลัวว่าพวกเขาจะก่อเรื่องข้างนอกหรือ?
“ใครจะไปรู้ พวกเรากลับกันเถอะ!” เซียวจื่อเซวียนหันมองเซี่ยยวี่หลัวที่หายไปท่ามกลางหมอกที่ปกคลุมแวบหนึ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เพียงจูงมือเซียวจื่อเมิ่งกลับบ้านไป
เซี่ยยวี่หลัววิ่งไปนานก็ยังไม่พบคน คาดว่าเขาคงนั่งเกวียนออกไปไกลแล้ว มีเส้นทางหลายสาย ไม่รู้ว่าเขาไปเส้นทางใด ตัวเองมีขาเพียงสองข้าง วิ่งให้ขาขาดก็ไล่ตามไม่ทัน
เมื่อไม่ได้พบ เซี่ยยวี่หลัวจึงรู้สึกผิดหวังยิ่ง
นางรู้สึกกลัดกลุ้มนัก คิดถึงจุดจบของนางร้ายในนิยาย เรียกได้ว่าน่าอนาถเสียยิ่งกว่าอะไร ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดที่ทำไมตัวเองถึงไม่ทะลุมิติมาให้เร็วกว่านี้อีกนิด
พระเอกไปแล้ว ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
จู่ๆเซี่ยยวี่หลัวก็นึกอะไรบางอย่างออก นางสาวเท้าวิ่งไปทางภูเขาเล็กลูกหนึ่ง
แม้จะเรียกว่าภูเขา แต่เป็นเพียงเนินดินที่มีหญ้าขึ้นเต็ม จึงปีนขึ้นไปได้ง่ายมาก
เกวียนเทียมวัวเคลื่อนที่ไปด้านหน้าช้าๆ เซียวยวี่นั่งอยู่บนเกวียน เขามีรูปลักษณ์หล่อเหลา ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่มองตรงไปเบื้องหน้า ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศยังคงหนาวเย็น ลมหนาวโบกพัด ไม่สามารถหลบได้เลย
คนขับเกวียนคือท่านลุงสี่จากหมู่บ้านเดียวกัน เขากำลังจะไปขายของในตัวเมือง จึงให้เซียวยวี่นั่งเกวียนไปด้วย
ระหว่างที่ท่านลุงสี่กำลังขับเกวียน ก็หาเรื่องสนทนากับเซียวยวี่ไปพลาง ทันใดนั้น เขาก็หยุดเกวียน หันกลับมาถามเซียวยวี่ “อายวี่ เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?”
เซียวยวี่หนาวจนใบหน้าเย็นเหมือนก้อนน้ำแข็ง แม้แต่ประสาทรับรู้ยังเกิดอาการชา ยิ่งไปกว่านั้น ภายในใจเขากำลังครุ่นคิดเรื่องต่างๆมาตลอด จึงไม่ได้ยิน “อะไรนะขอรับ?”
น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย
เมื่อคืน หญิงผู้นั้นอาละวาดจนเขาไม่ได้พักมาทั้งคืน
ท่านลุงสี่ไม่ได้เอ่ยตอบ ตั้งใจฟังอย่างละเอียด จากนั้นจึงหันไปมองเซียวยวี่ “อายวี่ เหมือนข้าจะได้ยินเสียงคนกำลังเรียกเจ้าอยู่!”
เรียกตนเองอยู่?
เซียวยวี่เงยหน้าอย่างฉับพลัน ดวงตาคู่ดำสนิทดุจน้ำหมึก แฝงเร้นด้วยความอ่อนล้าที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน รวมถึงอารมณ์ซับซ้อนที่ไม่ควรปรากฏในแววตาของชายหนุ่มวัยนี้
สายลมในเดือนสองหนาวเย็นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในยามเช้าตรู่ หนาวเหน็บจนแทบจะแทรกซึมเข้าถึงกระดูก
และวาจาบางอย่าง ก็โบกพัดมาตามสายลมเข้ามาในโสตประสาท แม้ฟังดูเลือนราง แต่ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
“เซียวยวี่ ข้าจะรอเจ้ากลับมา เซียวยวี่ ข้าจะรอเจ้ากลับมา เซียวยวี่…”
เซียวยวี่ได้ยินอย่างแจ่มชัด เมื่อฟังออกว่านั่นเป็นเสียงของผู้ใด เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น
นางจะมาหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับตนอีกหรือ?
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาพลันปรากฏร่องรอยเย็นเยียบ
คราวนี้ท่านลุงสี่เองก็ได้ยินอย่างแจ่มชัด รู้ว่านั่นเป็นเสียงภรรยาคนงามของเซียวยวี่ จึงหัวเราะพร้อมกล่าว “ข้าบอกแล้วว่ามีคนกำลังเรียกเจ้า ฟังจากเสียง ภรรยาของเจ้ากำลังเรียกเจ้าอยู่!”
เซียวยวี่ย่อมรู้ว่าใครกำลังเรียกตนเองอยู่
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย หันมองไปทางต้นเสียง เม้มริมฝีปากแน่น แววตาไม่มีความอบอุ่นปรากฏเลยแม้แต่น้อย
เสียงเรียกยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังเข้าไปถึงจิตใจ
ท่านลุงสี่หัวเราะพร้อมกล่าว “อายวี่ ตอบกลับบ้างสิ พวกเราได้ยินเสียงของนาง หากเจ้าตอบกลับ นางเองก็ต้องได้ยินแน่นอน!”
สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นี้รักใคร่กันดีจริง แยกจากกันเพียงครู่เดียวก็ทนไม่ไหวแล้ว
เซียวยวี่เม้มริมฝีปากแน่น ขมวดคิ้วมุ่น หันมองไปตามทิศที่เสียงดังขึ้น แววตาฉายประกายดิ้นรนเป็นบางครั้งเกลียดชังเป็นบางคราว สุดท้ายเขาก็ละสายตา แววตากลับมาเย็นเยียบเหมือนเดิม กล่าวกับท่านลุงสี่ “ท่านลุงสี่ สายแล้ว เรารีบไปกันเถอะ!”
ดูท่าเขาไม่คิดจะตอบกลับ!
ท่านลุงสี่ขานตอบ หันมองไปทางต้นเสียงอีกครั้ง เมื่อเห็นสีหน้าของเซียวยวี่ไม่ดีนัก ก็ไม่ได้กล่าวอะไร ยกแส้ขึ้นเฆี่ยนวัวทีหนึ่ง วัวจึงออกเดินต่อ
เสียงตะโกนเรียกยังคงดังแว่วมาตามสายลม เสียงเบาลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็ไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียว
เซียวยวี่ที่ฟังมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงจุดที่ไม่ได้ยินเสียงแม้แต่น้อยแล้ว เขาจึงหันกลับไปอีกครั้ง มองดูเส้นทางที่ตัวเองผ่านมาด้วยแววตาซับซ้อน
สีหน้าของเขาเย็นเยียบ ไม่มีความอบอุ่นแม้เพียงเสี้ยวเดียว ปากบางเม้มแน่น ไม่นานก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
รอเขากลับมาหรือ?
นางก็สมควรจะรอเขากลับมา
เมื่อเขากลับมา นางก็ควรไปได้แล้ว!
นางอยากให้เขารีบกลับมาเสียยิ่งกว่าอะไร เพราะยิ่งกลับมาได้เร็วเท่าไหร่ นางก็จะได้ไปเร็วขึ้นเท่านั้น
นางอยากออกจากบ้านนี้มากเพียงใดกัน ถึงขนาดรอเพียงช่วงคืนวันเหล่านี้ยังทนไม่ไหว
ช่างเป็นคนเลือดเย็นไร้จิตใจเสียจริง!
สองพี่น้องที่กำลังจะเดินถึงทางเข้าหมู่บ้านได้ยินเสียงตะโกน ต่างก็หันกลับไปมอง เซียวจื่อเมิ่งมองเซียวจื่อเซวียน แม้เจ้าของเสียงจะไม่อยู่ เซียวจื่อเมิ่งก็ยังคงกลัวเล็กน้อย “พี่รอง นาง… นางเป็นอะไรไป?”
เสียงเรียกเซียวยวี่นั่น เหมือนจะเต็มไปด้วยความอาวรณ์รัก แต่สิ่งที่ซ่อนเร้นเป็นน้ำผึ้งหรือยาพิษ เซียวจื่อเมิ่งไม่รู้ แต่เซียวจื่อเซวียนกลับรู้แจ้ง
เขาจับมือเซียวจื่อเมิ่งไว้แน่นพร้อมกล่าว “ไม่รู้ เรากลับกันเถอะ!”
เซี่ยยวี่หลัวตะโกนจนคอแหบแห้ง ก็ยังไม่ได้ยินคนตอบกลับนาง ทำให้เวลานี้นางรู้สึกท้อแท้ยิ่งนัก
หากไม่ได้ยินก็แล้วไป แต่หากได้ยินแล้วยังไม่ตอบกลับนางสักคำ แบบนั้นถึงจะเรียกว่าน่ากลัว!
เกรงว่าการอาละวาดอย่างไร้เหตุผลของนางคงหยั่งรากลึกลงไปภายในใจเซียวยวี่เสียแล้ว เขาจึงคร้านจะสนใจนาง