ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 1 บทที่ 7 นางได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุด
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 1 บทที่ 7 นางได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุด
เด็กสองคนแอบอยู่ในมุมห้อง หลีกหนีให้ห่างจากเซี่ยยวี่หลัว ระหว่างที่กินอาหาร ยังเงยหน้าขึ้นจ้องมองเซี่ยยวี่หลัวเป็นครั้งคราว ด้วยกลัวว่าเซี่ยยวี่หลัวจะอาละวาดขึ้นมา
เซี่ยยวี่หลัวนั่งอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง อาหารมื้อแรกตั้งแต่มายังโลกใบนี้ นางรู้สึกว่ากินอย่างไร้รสชาติ เด็กสองคนหลบนางประหนึ่งหลบจากโรคร้ายก็มิปาน นางรู้ว่านี่เป็นกรรมของนางร้าย แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
กรรมที่หญิงชั่วคนนั้นก่อไว้ ทำไมตัวเองถึงต้องมารับแทนด้วยล่ะ!
แม้จะรู้สึกอัดอั้นใจ แต่หากไม่สะสางกรรมเหล่านั้น คนที่ต้องตายก็คือนางเอง
ยังไม่พูดถึงเรื่องที่จะข้ามมิติกลับไปได้หรือไม่ อย่างน้อยก็อย่าตายอยู่ที่นี่ก่อนจะหาวิธีกลับไปสำเร็จก็แล้วกัน
เซี่ยยวี่หลัวสูดลมหายใจเข้าลึก ดื่มซุปคำโต กินแผ่นแป้งคำใหญ่
เซียวจื่อเซวียนกินแผ่นแป้งอย่างเอร็ดอร่อย ในแผ่นแป้งใส่ไข่กับผักตีนไก่หั่นละเอียดไว้ ทั้งยังจี่ด้วยน้ำมัน อร่อยจนแทบกัดลิ้น ยังมีซุปไข่ เมื่อดื่มซุปไข่ร้อนๆเข้าไปในกระเพาะ รู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก หลังจากกินแผ่นแป้งหนึ่งชิ้นและซุปหนึ่งชามลงไป ก็อิ่มท้องแล้ว ร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที
เซี่ยยวี่หลัวเห็นเด็กสองคนกินหมดแล้ว นางก็กลืนแผ่นแป้งคำสุดท้ายลงไป
“กินเสร็จแล้วใช่ไหม? มา เอาตะเกียบกับชามมาให้ข้า ข้าจะไปล้าง!”
เพิ่งสิ้นเสียง เด็กสองคนก็กระโดดออกจากมุมห้อง หยิบชามบนโต๊ะที่เซี่ยยวี่หลัวใช้แล้ว วิ่งไปทางห้องครัวทันที
ตอนเซี่ยยวี่หลัวเข้าไปดูที่ห้องครัว เด็กสองคน คนหนึ่งขัดกระทะล้างชาม อีกคนกวาดพื้นเช็ดฝุ่น ไม่ต้องให้เซี่ยยวี่หลัวยื่นมือเข้าไปช่วยเลย
เซี่ยยวี่หลัวยืนพิงอยู่ตรงขอบประตู มองดูเด็กสองคนทำงานอย่างแข็งขัน ขอบตาพลันร้อนผ่าว
เด็กสองคนนี้ ว่าง่ายเกินไปแล้ว
เมื่อกินจนอิ่มท้อง เซี่ยยวี่หลัวก็รู้สึกง่วงนอน
เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยยวี่หลัวคนเดิม หรือเซี่ยยวี่หลัวในตอนนี้ หากไม่ได้นอนตอนเที่ยงก็จะเหมือนโดนคนซ้อมยกหนึ่ง ช่วงเย็นจะไม่มีแก่ใจทำอะไรเลย เซี่ยยวี่หลัวตัดสินใจว่าจะไปนอนหลับสักงีบหนึ่ง
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน เซี่ยยวี่หลัวตื่นขึ้นอีกครั้ง ภายในเรือนเงียบกริบ นางล้างหน้า มองเห็นตัวเองในกระจกทองแดง ก็รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก
ใบหน้างดงามนี่ผิวพรรณดีจนน่าประหลาดใจ อะไรก็ไม่ต้องใช้ยังอ่อนนุ่มประหนึ่งไข่ไก่ที่กระเทาะเปลือกออกอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้เพิ่งอายุสิบห้า ยังไม่เติบโตเต็มที่ ไม่รู้ว่าหลังจากเติบโตเต็มที่แล้วจะเป็นเช่นไร
นารีงามเป็นเหตุแห่งหายนะอย่างแท้จริง
เอาเถอะ นี่ถือเป็นเรื่องน่าดีใจเพียงเรื่องเดียวตั้งแต่ข้ามมิติมาทีนี่
เซี่ยยวี่หลัวหวีผมแต่งตัวเสร็จก็ลุกขึ้น เรียกชื่อสองพี่น้อง ไม่มีคนขานตอบ นางไปห้องของพวกเขา ภายในห้องเหมือนกับตอนเที่ยง คิดว่าภายหลังเด็กสองคนทำความสะอาดห้องครัวเสร็จก็คงออกไปแล้ว
เด็กสองคนไม่อยู่ คราวนี้เซี่ยยวี่หลัวจึงเริ่มสังเกตห้องของพวกเขาอย่างพินิจบ้าง
สองพี่น้องน่าจะยังนอนร่วมเตียงเดียวกันอยู่ เครื่องนอนทั้งบางทั้งแข็ง ไม่รู้ว่าใช้มานานแค่ไหนแล้ว ผ้านวมที่ใช้ห่ม บางมาก จับดูก็ทั้งแข็งและสาก น่าจะใช้มานานมากแล้ว ไม่เคยตากแดดมาก่อน
ไม่เห็นสีเดิมของผ้าปูเตียงและผ้านวมอย่างชัดเจน บนนั้นมีรอยปะแล้วปะอีก ทั้งยังมีจุดที่ขาดด้วย เผยให้เห็นปุยฝ้ายด้านในที่เก่าจนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง บนเตียงนอกจากปุยฝ้าย ยังมีเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งกองสุมกันอย่างระเกะระกะ ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าเก่าที่มีรอยขาด เสื้อผ้าฤดูหนาว เสื้อผ้าฤดูร้อน กองทิ้งไว้ตรงปลายเตียง ดูรกรุงรังยิ่งนัก
นอกจากเตียงธรรมดาเรียบง่าย ก็มีโต๊ะหนึ่งตัว ซึ่งเป็นโต๊ะที่ใช้กินอาหารตอนเที่ยง ขาโต๊ะด้านหนึ่งยังใช้แผ่นไม้รองไว้ น่าจะเอามารองเพราะโต๊ะโยก
เซี่ยยวี่หลัวจำได้ว่าข้างๆเป็นห้องของเซียวยวี่ นางเดินเข้าไปดู แม้ว่าภายในจะผ่านการจัดระเบียบไว้อย่างดี แต่เพราะไม่มีตู้ หนังสือของเซียวยวี่กองไว้เต็มโต๊ะ บนเตียงก็มี ปลายเตียงมีเสื้อผ้ากองอยู่ บนเสื้อมีรอยปะไม่น้อย เครื่องนอนบนเตียงทั้งบางและแข็ง ดูท่าว่าครอบครัวนี้น่าจะใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก
ทั้งสองห้องมีเตียงหนึ่งเตียงและโต๊ะหนึ่งตัว ผ้านวมเก่าที่มีรอยขาด เสื้อผ้าที่มีรอยปะ
ย้อนกลับมามองทางเซี่ยยวี่หลัว ในจำนวนทั้งสามห้อง ห้องของนางใหญ่ที่สุด ภายในห้องมีตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้ นอกจากนั้น โต๊ะก็เป็นตัวที่ใหม่ที่สุดในบ้าน เสื้อผ้าในตู้ มีครบทุกฤดูกาล แม้จะไม่ใช่เสื้อผ้าหรูหราชั้นดี แต่ก็ล้วนทำจากผ้าฝ้ายละเอียด ทั้งยังเป็นของใหม่ทั้งหมด แค่นี้ก็พอจะรู้แล้ว ว่านางได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุดในครอบครัวสกุลเซียว
ในหนังสือได้บรรยายไว้ ว่านางร้ายเซี่ยยวี่หลัวผู้นี้อุปนิสัยไม่ดีเสียยิ่งกว่าอะไร มักจะชอบอาละวาดเสียงดัง หากโมโหก็จะตีคน เด็กสองคนอายุยังน้อย ต้องอยู่กับนางร้ายอุปนิสัยไม่แน่นอนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแบบนี้ ไม่กลัวสิถึงจะแปลก!
เพียงแต่ เซี่ยยวี่หลัวตกอยู่ในภวังค์เลื่อนลอยไปชั่วขณะ
วิญญาณของตัวเองลอยมาอยู่ที่นี่ แล้วตัวนางในโลกปัจจุบันล่ะ? ตายแล้วหรืออย่างไร?
หากตายแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ท่านปู่ท่านย่าท่านตาท่านยายจะทำอย่างไร?
แล้ววิญญาณของเจ้าของร่างนี่ล่ะ? นางไปที่ไหนกัน?
นางนั่งอยู่ในห้องของตัวเองด้วยอาการเหม่อลอย จนถึงช่วงพลบค่ำจึงนึกขึ้นได้ ว่าเด็กสองคนยังไม่กลับมาเลย!
เซี่ยยวี่หลัวรีบลุกขึ้น ตอนออกจากประตู ใบหน้าก็รู้สึกเย็นวาบ ลองสัมผัสดูถึงได้พบว่าตัวเองร้องไห้ ด้านนอกมีควันจากการทำอาหารลอยล่อง ถึงเวลากินอาหารเย็นแล้ว นางรีบเช็ดคราบน้ำตาให้แห้ง ก่อนเริ่มทำอาหารเย็น
ตอนเที่ยงยังมีผักจี้ช่ายเหลืออยู่เล็กน้อย เซี่ยยวี่หลัวจึงทำซุปก้อนแป้งผักจี้ช่ายกินเสีย
ตอกไข่หนึ่งฟองลงไปในแป้งหนึ่งถ้วย หลังจากน้ำเดือดแล้ว จึงตักแป้งที่คนไว้หยอดลงไปในน้ำเดือดทีละช้อน แป้งเหลวอ่อนนุ่มเกาะตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากต้มจนสุก เซี่ยยวี่หลัวใส่ผักจี้ช่ายที่หั่นจนละเอียดลงไปในหม้อ เหยาะน้ำมันสองหยด ใส่เกลือเล็กน้อย ก็ต้มเสร็จแล้ว
แต่เด็กสองคนยังไม่กลับมา
เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ชะเง้อมองดู ไม่ห่างนักมีเสียงผู้คนในหมู่บ้านพูดคุยกัน เสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กๆ และเสียงสุนัขเห่าแทรกเข้ามา แต่ละบ้านเริ่มก่อไฟที่เตาปรุงอาหาร เป็นช่วงหัวค่ำแล้ว หลังจากกินข้าวปลาอาหารร้อนๆมื้อหนึ่งก็ควรพักผ่อนได้แล้ว
แต่เด็กสองคนก็ยังไม่กลับมา
เซี่ยยวี่หลัวเริ่มรู้สึกร้อนใจ รีบออกไปตามหา เมื่อพบชาวบ้านก็ถามว่าเห็นสองพี่น้องหรือไม่ มีคนเห็นพวกเขา สุดท้ายเซี่ยยวี่หลัวก็พบสองพี่น้องอยู่ริมแม่น้ำ
ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าแล้ว สองพี่น้องหันหลังให้เซี่ยยวี่หลัว ย่อตัวอยู่ริมแม่น้ำ เหมือนกำลังล้างอะไรอยู่
เมื่อเซี่ยยวี่หลัวเดินเข้าไปใกล้จึงพบว่า เด็กสองคนกำลังล้างผักจี้ช่ายทีละต้น ผักจี้ช่ายเหล่านี้น่าจะเพิ่งเก็บมาช่วงบ่าย บนรองเท้าของเด็กสองคนเต็มไปด้วยดินโคลน
พวกเขาล้างอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ทันรู้ตัวว่าเซี่ยยวี่หลัวเดินเข้ามาใกล้ เพียงล้างผักจี้ช่ายเงียบๆ เงาร่างผอมบางของเด็กสองคนพิงกันอยู่ อากาศในเดือนสองยังคงหนาวเหน็บ น้ำในแม่น้ำก็ยิ่งเย็นเยียบจนทิ่มแทงเข้าถึงกระดูก เห็นเพียงเซียวจื่อเมิ่งล้างผักหนึ่งต้นแล้วจึงพ่นไออุ่นจากปากใส่มือสองที ก่อนจะล้างต้นต่อไป
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง เซี่ยยวี่หลัวเห็นไม่ชัดนัก แต่นางยังคงเห็นการเคลื่อนไหวของเซียวจื่อเมิ่งอย่างชัดเจน คาดว่ามือเล็กทั้งคู่ของนางที่แช่ในน้ำเย็นเยียบ น่าจะเย็นจนกลายเป็นสีแดงแล้ว
เด็กอายุแค่หกขวบ หากอยู่ในยุคสมัยของเซี่ยยวี่หลัว ยังได้รับการประคบประหงมและเอ็นดูจากบิดามารดาประหนึ่งองค์หญิงก็มิปาน อย่าว่าแต่ให้มาล้างผักด้วยน้ำเย็นในวันอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้เลย แค่เด็กล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ผู้ใหญ่ก็รู้สึกปวดใจแล้ว ด้วยเกรงว่าเด็กจะรู้สึกหนาว
แต่เด็กคนนี้…