ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 10 บทที่ 290 ท่านราชบัณฑิตน้อยเขินอายแล้ว
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 10 บทที่ 290 ท่านราชบัณฑิตน้อยเขินอายแล้ว
“เป็นเจ้าค่ะ อาหารที่พี่ใหญ่ทำก็อร่อยมากเหมือนกัน! ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวพลางกะพริบตาคู่โต มองเซี่ยยวี่หลัวอย่างไม่เข้าใจนัก “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ”
เซี่ยยวี่หลัวหัวเราะกลบเกลื่อน “อ่อ เช่นนั้นหรือ? อืมๆ ข้ารู้ ข้ารู้ แค่ถามไปอย่างนั้น”
เซียวจื่อเมิ่งไม่ได้มีความคิดซับซ้อนอะไร นึกว่าพี่สะใภ้ใหญ่เพียงแค่ถามไปอย่างนั้น
“พี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อก่อนท่านก็กินอาหารที่พี่ใหญ่ทำทุกวันเลยเจ้าค่ะ! ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวตามจริง หรือเรียกได้ว่า ตั้งแต่พี่สะใภ้ใหญ่แต่งเข้ามา พี่ใหญ่เป็นคนทำอาหารทุกวัน พี่สะใภ้ใหญ่เพียงกินอาหารที่ทำเสร็จแล้ว!
เซี่ยยวี่หลัวยิ้มเจื่อน เป็นเช่นนั้นหรือ?
ควรอธิบายเช่นไร นางไม่ได้กิน เป็นเซี่ยยวี่หลัวคนเดิมที่กิน
จนถึงตอนนี้ นางเคยกินเพียงผัดพริกหนึ่งจาน และน้ำแกงไข่ตอนเที่ยงวันนี้เท่านั้น อาหารอื่นนางไม่เคยได้กินอีก
ทว่า พอคิดถึงเรื่องนี้ เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกไม่เข้าใจเลย!
เซี่ยยวี่หลัวในนิยายคิดเช่นไรกันแน่ เซียวยวี่มีความรู้ หน้าตาก็ดี ทั้งยังทำอาหารเป็น ดูแลเด็กๆ และครอบครัวเป็น ในอนาคตอยู่ใต้คนเดียวอยู่เหนือคนนับหมื่น ในยุคสมัยนี้ถือเป็นบุรุษสมบูรณ์แบบที่ต่อให้ถือโคมไฟออกหาก็ยังหาได้ยาก เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่มีอำนาจเท่านั้น อาจจะดูตกอับไปบ้าง แต่เขายังอายุน้อยนี่นา
สู้ยอมดูหมิ่นคนชราผมขาว ก็อย่าได้ดูแคลนคนวัยหนุ่มที่ยากไร้
บุรุษที่ดีถึงเพียงนี้ เพียงเพราะตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งฐานะ อำนาจ และทรัพย์สินเงินทอง เจ้าของร่างเดิมก็คิดจะทอดทิ้งเขาโดยไม่ใคร่ครวญก่อนเชียวหรือ?
หรือว่าเจ้าของร่างเดิม มีคนรู้ใจอยู่จริง ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถูกตาต้องใจเซียวยวี่?
พอคิดว่าเจ้าของร่างเดิมอาจมีคนรู้ใจอยู่แล้ว เซี่ยยวี่หลัวก็รู้สึกตกใจจนขนลุกไปทั้งตัว อ้าปากเล็กน้อย อึ้งจนตาค้าง
เซียวจื่อเมิ่งมองพี่สะใภ้ใหญ่ที่จับจ้องอาหารบนโต๊ะด้วยท่าทีสงสัย ลูกตาแทบจะแนบติดบนอาหารแล้ว
พี่สะใภ้ใหญ่ต้องรู้สึกอยากกินเป็นแน่
“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่…” เซียวจื่อเมิ่งเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ไม่กล่าวอะไรมาครู่ใหญ่ จึงเอ่ยเรียกเซี่ยยวี่หลัว
เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งตอบสนอง พยายามลืมเรื่องคนรู้ใจ ไม่ถูก คนรู้ใจของเจ้าของร่างเดิมไปเสีย ยิ้มพร้อมกล่าว “พี่ใหญ่ของเจ้าช่างเก่งกาจนัก อาหารเหล่านี้ มีทั้งสี กลิ่น และรสชาติครบครันจริงๆ ! ข้าแทบน้ำลายไหลเลยทีเดียว”
เซี่ยยวี่หลัวมองอาหารบนโต๊ะก่อนกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
นางเข้มงวดกับเรื่องอาหารมาก อย่างไรเสียในภพก่อนนางก็เคยกินอาหารอร่อยมามากมาย เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะที่เซียวยวี่ทำ สีกลิ่นรสครบครัน เซี่ยยวี่หลัวกลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างอดไม่ได้
เซียวยวี่เดินเข้ามาในเวลานี้พอดี เซียวจื่อเมิ่งจึงยิ้มพร้อมกล่าว “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าท่านเก่งกาจมากเจ้าค่ะ! ”
“อ่อ เก่งกาจเรื่องอะไรหรือ? ” เซียวยวี่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม พร้อมเอ่ยถามต่อว่าเรื่องอะไร
“พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าอาหารที่ท่านทำทั้งดูดี ทั้งมีกลิ่นหอม สีกลิ่นรสครบครัน จนนางจะน้ำลายไหลแล้วเจ้าค่ะ! ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส ไม่เห็นเลยว่าใบหน้าของเซี่ยยวี่หลัวขึ้นสีแดงก่ำ
เซียวยวี่ได้ฟังดังนั้นจึงยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นก็นั่งลงกินข้าวกันเถอะ! ”
ทั้งสี่คนนั่งลงตามตำแหน่งก่อนหน้านี้ เซียวยวี่และเซี่ยยวี่หลัวนั่งหันหน้าเข้าหากัน เด็กสองคนก็หันหน้าเข้าหากัน
เซี่ยยวี่หลัวกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบช้อนตักข้าว เซียวยวี่กลับชิงหยิบช้อนตักข้าวได้ก่อนนาง เห็นเซี่ยยวี่หลัวก็ยื่นมือออกมา เซียวยวี่ยิ้มพร้อมกล่าว “ข้าตักเอง! ”
เซี่ยยวี่หลัวได้แต่ชักมือกลับ รอตักในภายหลัง
เซียวยวี่ตักข้าวเสร็จหนึ่งชาม เซี่ยยวี่หลัวคิดว่าน่าจะให้เด็กสองคน ใครจะรู้ มือของเซียวยวี่กลับยื่นมาตรงหน้าเซี่ยยวี่หลัว วางชามข้าวไว้บนโต๊ะ
ข้าวชามแรกให้นางหรือ?
เซี่ยยวี่หลัวตกใจเป็นอย่างยิ่ง “ให้เด็กๆ ก่อนเถอะ! ”
กล่าวจบ กำลังจะยื่นส่งชามของตัวเองให้เซียวจื่อเมิ่ง เซียวยวี่กลับกล่าว “ไม่ต้อง ข้าตักให้พวกเขาใหม่ก็ได้”
เริ่มจากเซียวจื่อเมิ่ง แล้วจึงเป็นเซียวจื่อเซวียน สุดท้ายถึงจะเป็นของเซียวยวี่เอง
เซียวยวี่ถึงกับตักข้าวให้นางก่อน เซี่ยยวี่หลัวค่อนข้างตกใจ เห็นทุกคนหยิบตะเกียบขึ้น เซี่ยยวี่หลัวก็หยิบตะเกียบขึ้น เตรียมคีบผัก
ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันขยับตะเกียบ ตะเกียบคู่หนึ่งก็ยื่นเข้ามาในชามของนาง
เซียวยวี่คีบผัดถั่วฝักยาวใส่หมูมาวางบนข้าว ทั้งยังกล่าวเสียงเบา “ลองชิมดูว่าฝีมือการทำอาหารของข้าเป็นเช่นไร”
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกตื่นเต้นจนแทบถือตะเกียบไว้ไม่อยู่
ดูท่าที่ในนิยายบรรยายไว้ว่าท่านราชบัณฑิตน้อยเป็นคนให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ให้ความสำคัญกับน้องชายน้องสาวเป็นพิเศษ ประโยคนี้กล่าวได้ไม่ผิดจริงๆ
วันนี้นางหาเซียวจื่อเมิ่งจนพบ ท่าทีที่เซียวยวี่มีต่อนางถึงกับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ดีต่อนางจนเซี่ยยวี่หลัวแทบจะรับไม่ไหวแล้ว
เขาคงรู้สึกขอบคุณนางเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงได้ดีต่อนางเพียงนี้!
ท่านราชบัณฑิตน้อยรู้สึกขอบคุณนาง ทำดีต่อนาง นี่เป็นเรื่องดีอย่างใหญ่หลวงไม่ใช่หรือ?
เซี่ยยวี่หลัวยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น อีกฝ่ายรู้สึกขอบคุณนาง นางจะเอาแต่วางมาดไม่ได้ นี่เป็นถึงท่านราชบัณฑิตน้อยในอนาคตเชียว ถึงจะกอดขาไม่สำเร็จ แต่ก็จะล่วงเกินไม่ได้
ให้มาให้กลับ ได้รับของต้องมอบกลับ ต้องมอบคืนด้วย!
เซี่ยยวี่หลัวเข้าใจหลักเหตุผลข้อนี้ดี นางก็คีบผักไปใส่ในชามข้าวของท่านราชบัณฑิตน้อยเช่นกัน
เซียวยวี่เห็นอาหารในชามที่คนตรงข้ามคีบให้ จึงเงยหน้ามองเซี่ยยวี่หลัวที่อยู่ตรงข้าม เซี่ยยวี่หลัวกำลังกินข้าว เห็นเซียวยวี่เงยหน้ามองนาง เซี่ยยวี่หลัวจึงแย้มรอยยิ้ม
คิ้วงามโก่งโค้ง ในดวงตาราวกับมีแสงดาราทอประกาย
เซียวยวี่รู้สึกหัวใจสั่นไหว คล้ายกับพุ่งจากก้นเหวสู่เขาสูง จากนั้นจึงพุ่งจากเขาสูงลงไปยังก้นเหวอีกครั้ง ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจควบคุมได้ ทำให้สติของเซียวยวี่เลื่อนลอย อาหารที่กินเข้าปากเหมือนจะเติมน้ำผึ้งก็มิปาน
รสหวานพุ่งสู่ห้วงภวังค์ หวานจนห้วงความคิดขาวโพลง เพียงจำได้ว่ารอยยิ้มของเซี่ยยวี่หลัวเมื่อครู่นี้ ประหนึ่งบุปผาท่ามกลางภูเขา เปรียบดั่งธารดาราที่สว่างพร่างพราย เหมือนกับสิ่งที่ใจเขาโปรดปราน
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ เดิมทีเซี่ยยวี่หลัวจะไปล้างชาม เซียวจื่อเซวียนได้รับบาดเจ็บ เซี่ยยวี่หลัวให้เขาพาน้องสาวกลับห้องไปพักผ่อน เซียวยวี่ทำอาหาร นางจะไม่ล้างชามก็คงไม่ดีกระมัง
เมื่อกลับถึงห้องครัว เสียงชามกับตะเกียบกระทบกันดังจากด้านใน เมื่อเข้าไปดู จึงเห็นเซียวยวี่ยืนอยู่หน้าเตาปรุงอาหาร กำลังก้มตัวล้างชามอยู่ เศษอาหารบนโต๊ะถูกเก็บกวาดจนสะอาด
ลองมองดูบนพื้น บนพื้นสะอาดหมดจด ไม่ต้องเก็บกวาดแม้แต่น้อย
นางมาช้าเกินไป ไม่มีอะไรให้นางทำเลยสักนิด
เซี่ยยวี่หลัวได้แต่ถอนหายใจเบา ช่างเถอะช่างเถอะ ไม่มีอะไรให้ทำเช่นนั้นนางก็กลับแล้ว อย่ารบกวนท่านราชบัณฑิตน้อยเลย กำลังจะหันตัวเดินไป เซียวยวี่กลับเรียกนางไว้ ยื่นมือซ้ายออกมา กล่าวเป็นเชิงไต่ถามด้วยความรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย “เจ้า… ช่วยพับแขนเสื้อให้ข้าได้หรือไม่? ”
แขนเสื้อข้างซ้ายผูกไม่แน่น ใกล้จะหล่นลงมาแล้ว
แขนเสื้อสมัยโบราณช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย ทั้งกว้างทั้งใหญ่ เวลาทำงานหากไม่ระวังก็จะสกปรกได้
เมื่อครู่ไม่มีอะไรให้ทำ ตอนนี้เซียวยวี่ให้นางช่วย เซี่ยยวี่หลัวย่อมไม่ปฏิเสธ
เซี่ยยวี่หลัวไม่คิดด้วยซ้ำ เพียงกล่าวว่าได้สิ ก่อนเดินขึ้นหน้าสองก้าว หยุดยืนในตำแหน่งที่ห่างจากเซียวยวี่สามก้าว ยื่นมือไปช่วยผูกแขนเสื้อให้เซียวยวี่
นางยืนห่างมาก ยื่นแขนมาไกล สัมผัสแขนเซียวยวี่ได้พอดี
เขาไม่กล้าเคลื่อนไหว สายตาเพ่งมองนิ้วมือเรียวเล็กของเซี่ยยวี่หลัว
ทั้งขาวทั้งเรียวราวกับต้นหอมก็มิปาน นิ้วชี้และนิ้วโป้งจับแขนเสื้อของเขา นิ้วที่เหลืออีกสามนิ้วงอนขึ้นเล็กน้อยประหนึ่งดอกกล้วยไม้ เล็บมือถูกตัดแต่งจนโค้งมนเงางาม ปลายนิ้วเป็นสีชมพูอ่อนดูแข็งแรง
ปลายนิ้วขาวเนียนสัมผัสโดนผิวของเขาเป็นครั้งคราว ถึงแม้จะเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เซียวยวี่ก็ยังสัมผัสได้ว่าผิวส่วนนั้นร้อนผ่าว
เซียวยวี่อดไม่ได้ที่จะคาดเดา มือของเซี่ยยวี่หลัวมีวิชาอาคมหรืออย่างไร? เหตุใดเพียงแค่สัมผัสเขาเบาๆ หัวใจของเขาก็เต้นอย่างรุนแรง
เขาไม่อาจควบคุมได้เลย อยู่เหนือความคาดหมายของเขาโดยสมบูรณ์
“เซียวยวี่…”
เซี่ยยวี่หลัวจำไม่ได้ว่าตัวเองเรียกเซียวยวี่เป็นหนที่เท่าไรแล้ว เซียวยวี่ที่อยู่ตรงหน้าราวกับต้องมนตร์สะกดก็มิปาน ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองแขนเสื้อของตัวเองด้วยอาการเหม่อลอย เซี่ยยวี่หลัวช่วยเขาพับแขนเสื้อขึ้นแล้ว แต่เอ่ยเรียกเขาอยู่หลายหน เขาก็ยังไม่ได้ยิน
“เซียวยวี่…” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยเรียกเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
เซียวยวี่เพิ่งเรียกสติกลับคืนมาได้ เมื่อเห็นใบหน้าของเซี่ยยวี่หลัวที่เต็มไปด้วยประกายสงสัยจึงเข้าใจว่าเมื่อครู่ตัวเองสติหลุดลอยไป
เขาไม่กล่าวอะไร หันกลับไปล้างชาม เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่ข้างหลังเขา ไม่เห็นใบหน้าของเซียวยวี่อย่างชัดเจน แต่เซี่ยยวี่หลัวเห็นใบหูขาวเนียนดุจหิมะของเซียวยวี่กลายเป็นสีแดงราวกับมีเลือดออกอย่างไรอย่างนั้น
ท่านราชบัณฑิตน้อยเขินอายเช่นนั้นหรือ?