ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 10 บทที่ 295 ระดมคนทั้งเมืองเพื่อหาคน
เซี่ยยวี่หลัวไปต้มบะหมี่ที่ห้องครัว เซียวยวี่ได้ยินเสียง จึงออกมาอย่างรวดเร็ว เห็นเงาแผ่นหลังของเซี่ยยวี่หลัวอยู่ด้านหลังประตูพอดี
เซียวยวี่เพ่งมองแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเข้าไปในห้องโถงพร้อมสองพ่อลูกเซียวจิ้งยี่
“เรื่องเมื่อวานนี้เป็นมาอย่างไรกันแน่? ” เซียวจิ้งยี่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ได้แต่ถามเซียวยวี่
เซียวจิ้งยี่แทบไม่ได้นอนตลอดคืน ฟ้าเพิ่งมีแสงสลัวก็รีบเร่งเดินทางกลับหมู่บ้าน ยังไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่คำเดียว
เสียงทั้งแหบและแห้งเล็กน้อย
เซี่ยยวี่หลัวเข้าไปในห้องครัว ให้เซียวจื่อเซวียนจุดไฟก่อน ส่วนนางไปชงน้ำผึ้งสองถ้วย รอให้ไฟลุกไหม้ “จื่อเซวียน เจ้ายกน้ำสองถ้วยนี้ไปให้ท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านและท่านลุงเหลียน”
เซียวจื่อเซวียนขานตอบก่อนยกเข้าไป
อุ่นกระทะเทน้ำมัน เซี่ยยวี่หลัวทอดไข่ดาวสองฟอง จากนั้นจึงตักน้ำเย็นใส่หนึ่งกระบวย กระทะและน้ำมันที่ร้อนจนเดือดเกิดเสียงดังซ่าๆ
ปิดฝาไว้ รอให้น้ำเดือด
เซียวยวี่บอกเล่าเรื่องที่หาตัวจื่อเมิ่งและเสี่ยวฮวาพบ เซียวจิ้งยี่ก็นั่งไม่ติดแล้ว กล่าวกับเซียวจื่อเซวียน “เจ้ารีบไปเชิญพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้ามา”
เซียวจิ้งยี่ใช้คำว่าเชิญ แสดงให้เห็นถึงความเคารพ
เซี่ยยวี่หลัวใส่เส้นบะหมี่ พร้อมทั้งใส่เครื่องปรุงเรียบร้อย ให้เซียวจื่อเซวียนช่วยดู รอให้เส้นบะหมี่สุกแล้วจึงตักขึ้นมา
พอถึงห้องโถง เซียวจิ้งยี่ก็รีบลุกขึ้นยืนทันที กล่าวด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ “ยวี่หลัว เจ้าเป็นคนหาจื่อเมิ่งกับเสี่ยวฮวาพบจริงหรือ? ”
เมื่อครู่เซียวยวี่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด หลังจากรู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวเป็นคนพาคนไปหาตัวเด็กจนพบ เซียวจิ้งยี่ก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง “ขอบคุณเจ้าเหลือเกิน หากไม่ได้เจ้า พวกจื่อเมิ่งกับเสี่ยวฮวา…”
เขาไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ
เซี่ยยวี่หลัว “จื่อเมิ่งเป็นน้องสามีของข้า เสี่ยวฮวาก็เป็นเด็กในหมู่บ้านเดียวกัน ข้าหาพวกนางจนพบก็ถือเป็นสิ่งที่ข้าควรทำเจ้าค่ะ”
เซียวจิ้งยี่พยักหน้า เอ่ยชมไม่หยุด “ดีดีดี ยวี่หลัว เจ้าเป็นเด็กดี เป็นเด็กดี”
เซียวยวี่มองเซี่ยยวี่หลัวแวบหนึ่ง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว ว่าภายในใจและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและยินดี
เซียวจิ้งยี่เร่งรีบเดินทางมา ยังไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่คำเดียว หยิบถ้วยตรงหน้าขึ้นมาดื่มน้ำผึ้งจนหมดในคราเดียว เช็ดปากก่อนกล่าว “เด็กเจ็ดคนในหมู่บ้านอื่นๆ ช่างน่าเสียดายนัก เด็กกลุ่มนั้นไม่ได้พบเจ้า ยังหาตัวไม่พบ”
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกบีบคั้นหัวใจ เด็กคนหนึ่งเปรียบเสมือนชีวิตจิตใจของครอบครัวหนึ่ง จะมีอีกกี่ครอบครัวที่ไม่อาจหวนกลับไปในวันคืนที่มีความสุขเหมือนในอดีตเพราะสูญเสียเด็กไป
นางรู้สึกเศร้าเสียใจ ดวงหน้าที่งดงามฉายประกายเศร้าโศกและหดหู่เต็มประดา
เซียวยวี่เห็นแล้วก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ ขมวดคิ้วมุ่น แทบอยากเอื้อมมือไปปัดเอาความทุกข์ที่ฉายประกายบนดวงหน้านางออกไป
“หลี่เจิ้งติดประกาศเตือนแล้ว ให้แต่ละครัวเรือนดูแลบุตรของตัวเองดีๆ อย่าได้ออกจากบ้าน ทั้งยังติดประกาศภาพวาดของเด็กเหล่านั้น ให้คนในตัวเมืองช่วยกันหา”
เซียวเหลียนก็ดื่มน้ำผึ้งรสหวานหนึ่งถ้วยใหญ่ ทอดถอนใจ “ผ่านไปนานถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงหาพบได้ยากแล้ว”
เซียวจิ้งยี่ถอนหายใจ “เป็นเช่นนั้นจริง”
เซี่ยยวี่หลัวคิดครู่หนึ่ง “ไม่แน่ว่า พวกเราอาศัยการหาตัวพวกค้ามนุษย์กลุ่มนี้ แล้วลองดูว่าหาตัวเด็กๆ ที่โดนลักพาตัวได้หรือไม่! ”
“เมืองโยวหลันจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะไปหาพวกค้ามนุษย์ได้ที่ไหน! ” เซียวจิ้งยี่ถอนหายใจก่อนกล่าว “ทันทีที่รู้ว่ามีพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวเด็กไปขาย หลี่เจิ้งก็ออกคำสั่งปิดเมืองโยวหลัน เข้าได้ออกไม่ได้ ถึงอยู่ในตัวเมือง ก็ไม่อาจหาพบได้ในเวลาอันสั้น แต่หากไม่อยู่ในเมืองโยวหลัน เช่นนั้นก็ไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทร! ”
เซี่ยยวี่หลัวขมวดคิ้วมุ่น
“เมื่อครู่ท่านบอกว่า เมืองโยวหลันมีเด็กหายไปทั้งหมดเจ็ดคน เช่นนั้นในจำนวนนั้น เด็กที่โตสุดอายุเท่าไรเจ้าคะ? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถาม
“เด็กที่โตสุดเป็นเด็กผู้หญิง อายุสิบปีแล้ว” พอกล่าวถึงเรื่องนี้ เซียวจิ้งยี่ก็ปวดหัว “เด็กผู้หญิงโตขนาดนั้นโดนลักพาตัวไป ใครก็รู้ว่าจะถูกขายไปที่ใด เคราะห์กรรมเสียจริง! ”
เซี่ยยวี่หลัวนึกถึงเรื่องที่เซียวยวี่เล่าให้นางฟังครั้งก่อน นางหันมองเซียวยวี่ เซียวยวี่ก็กำลังมองนาง ทั้งสองคนสบตากัน ต่างก็เห็นความกังวลในแววตาอีกฝ่าย
ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เซี่ยยวี่หลัวก็อยากพยายามสุดความสามารถของตัวเองเพื่อช่วยหาเด็กเจ็ดคนให้พบ
“ตอนจื่อเมิ่งและเสี่ยวฮวาหายไป รถม้าที่ลักพาตัวพวกนางมุ่งหน้าไปทางตัวเมือง ดังนั้นข้าคิดว่าพวกค้ามนุษย์คนอื่นๆ ลักพาตัวเด็กได้แล้วก็น่าจะไปรวมตัวกันในตัวเมือง” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวข้อสันนิษฐาน “ทว่า จะส่งตัวเด็กเจ็ดคนไปพร้อมกันนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ นอกจากนั้น เด็กที่โตสุดก็สิบปีแล้ว ต้องพูดคุยรู้เรื่องแน่นอน ในตัวเมืองสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนั้น พวกค้ามนุษย์ย่อมไม่กล้าเสี่ยง เพราะอาจถูกพบตัวได้ง่ายมาก! ดังนั้น ข้าคาดเดาว่า เด็กเจ็ดคนนั้นน่าจะยังอยู่ในเมืองโยวหลัน”
เซียวจิ้งยี่ไม่ได้กล่าวอะไร จ้องมองเซี่ยยวี่หลัว รอให้นางกล่าวต่อ “เมืองโยวหลันตอบสนองเร็วมาก เร็วจนพวกค้ามนุษย์ยังไม่ทันออกเมืองก็โดนขวางไว้แล้ว เพื่อหลบเลี่ยงสายตาที่เพ่งเล็ง พวกค้ามนุษย์ไม่น่าจะขายเด็กให้นายหน้าคนกลางในเมืองโยวหลัน พวกเขาต้องกำลังรอคอยจังหวะ ให้เรื่องซาลงก่อน”
เซี่ยยวี่หลัวอธิบายแจกแจง
เซียวจิ้งยี่ “เจ้าหมายความว่า เด็กเจ็ดคนนั้นยังอยู่ในตัวเมือง? ”
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเจ้าค่ะ ไม่แน่ใจเช่นกัน ทว่า หากพวกเขาเข้าไปในตัวเมือง เช่นนั้นก็ยังไม่ได้ออกจากตัวเมืองแน่นอน ก่อนหน้านี้ออกไม่ทัน ตอนนี้ออกไม่ได้ พวกเขาต้องกำลังรอคอยจังหวะ รอให้เรื่องซาลงค่อยไป ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่หรือไม่ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาทั้งเมืองโยวหลัน ก็ต้องหาให้ทั่ว”
ไม่ว่าจะอยู่ในตัวเมืองหรือไม่ พวกเขาก็ควรหาสักรอบหนึ่ง
“เมืองโยวหลันใหญ่นัก มีคนมากมาย มีบ้านเรือนมากถึงเพียงนั้น จะหาอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ประตูเมืองจะเปิดให้เข้าเพียงอย่างเดียว ไม่ให้ออกตลอดไปก็ไม่ได้ ผ่านไปสักสองถึงสามวัน หากยังหาเด็กไม่พบ คงต้องเปิดประตูเมืองแล้ว…”
ดังนั้น พวกค้ามนุษย์กำลังรอ
รอให้หลี่เจิ้งจำเป็นต้องเปิดประตูเมืองปล่อยคน พวกค้ามนุษย์ก็จะชนะ
มีเวลาเพียงสองถึงสามวัน พวกค้ามนุษย์ย่อมรอไหว ที่สำคัญคือการแข่งกับเวลาสองสามวันกับพวกเขา จะช่วงชิงโอกาสจากมือพวกเขาอย่างไร
“ทั้งสี่หมู่บ้านล้วนมีเด็กหายไป เช่นนั้นก็ระดมคนจำนวนหนึ่ง แบ่งเป็นสี่กลุ่ม ไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก รวมตัวกับหลี่ซวีและชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงเป็นกลุ่มค้นหาคน หลี่เจิ้งมีบารมีสูงในตัวเมือง ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหายตัวไป ผู้ใหญ่ย่อมร้อนใจ ชาวบ้านที่ถูกค้นนอกจากจะถูกผู้อื่นเข้ามาค้นหา ก็ต้องไปค้นหาในบ้านคนอื่นด้วย เช่นนี้ถึงจะทำให้ทุกคนยินดีปฏิบัติตาม ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้”
“ทุกคนช่วยกันหา? ” เซียวจิ้งยี่คิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี “ระดมคนทั้งเมืองค้นหาเด็ก มีคนมากขึ้นหนึ่งคน ความเร็วในการค้นหาก็จะเร็วขึ้น เป็นความคิดที่ดี”
“ตอนจื่อเมิ่งและเสี่ยวฮวาโดนจับตัวไป ข้าเห็นรถม้าคันนั้นแต่ไกล ในนั้นมีบุรุษสองคน หมู่บ้านอื่นๆ มีเด็กหายไปในเวลาเดียวกัน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าน่าจะเป็นการก่อเหตุแบบกลุ่ม คิดจะออกเมืองตามลำพังนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้เท่าไร” เซี่ยยวี่หลัวกล่าว “หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านสามารถลองหาดูว่ามีรถม้าที่น่าสงสัยหรือไม่ น่าจะไม่ได้มีแค่คันเดียว”
“เช่นนั้นเจ้ายังจำลักษณะของรถม้าคันนั้นได้หรือไม่? ” พอเซียวจิ้งยี่ได้ฟังว่าเซี่ยยวี่หลัวเคยเห็นรถม้าคันนั้น ก็กล่าวด้วยความตื่นเต้นดีใจ