ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 11 บทที่ 311 ต่างรังเกียจซึ่งกัน
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก
เสื้อของเซียวยวี่ที่ซักจนซีดเปียกชุ่มทั้งหมดแล้ว แนบติดอยู่บนกาย ติดตรงอกเขาแน่น กลิ่นเหงื่อบนกายลอยแตะจมูกเซี่ยยวี่หลัว
เซี่ยยวี่หลัวเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเซียวยวี่ก้มหน้ามองนางพอดี
สตรีตรงหน้า บนกายมีกลิ่นหอมหวนของหญิงสาว ปลายจมูกของนางก็มีเหงื่อออกบางๆ หนึ่งชั้น
เซียวยวี่นึกอะไรบางอย่างได้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกมือขวาขึ้นโดยไม่คิดด้วยซ้ำ เขาอยากช่วยเซี่ยยวี่หลัวปาดเหงื่อตรงปลายจมูกออก ใครจะรู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวกัดริมฝีปาก ฝีก้าวดูว้าวุ่น นางเห็นเซียวยวี่ยกมือขึ้น ก็รีบถอยหลังหนึ่งก้าว ก้มหน้าลง กล่าวด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน “เสื้อ… เสื้อเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าอาบ อาบเถอะ…”
กล่าวจบ ก็รีบพุ่งพรวดออกไปผ่านช่องว่างข้างกายเซียวยวี่
เซียวยวี่ “…”
มือที่ยกขึ้นค้างอยู่กลางอากาศ
บนกายเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เปียกโชกเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว ทั้งสกปรกและส่งกลิ่นเหม็น ท่าทางของนางเมื่อครู่นี้ที่ทำท่าราวกับเห็นภูตผี น่าจะเป็นเพราะได้กลิ่นเหม็นเหงื่อจากกายเขากระมัง
หวนคิดถึงวาจาที่เซี่ยยวี่หลัวเคยกล่าวก่อนหน้านี้ หากนางจะแต่ง ก็ต้องแต่งกับผู้ที่โดดเด่นเหนือผู้อื่น ไม่แต่งกับคนที่ต้องคลุกดินโคลน บนกายทั้งเหม็นทั้งสกปรก เห็นแล้วก็รู้สึกสะอิดสะเอียน
นั่นสิ เขาในยามนี้ ทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนจริงๆ
คิ้วเข้มของเซียวยวี่ที่ไม่ได้ขมวดมานานพลันขมวดมุ่น
ส่วนเซี่ยยวี่หลัวที่พุ่งพรวดออกไป ก็ผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก
นางลองดมเสื้อของตัวเอง ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ
อากาศร้อนเกินไป บนกายมีกลิ่นเหงื่อจางๆ ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก กลิ่นเหงื่อบนกายตัวเองทำให้ท่านราชบัณฑิตน้อยเหม็นเป็นแน่
เมื่อครู่เขายกมือขึ้น เกรงว่าคงคิดจะผลักนางออก ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!
นางยังรู้สึกรังเกียจตัวเองเลย ท่านราชบัณฑิตน้อยเป็นคนรักสะอาดถึงเพียงนั้น คงรังเกียจเป็นอย่างมาก
เซี่ยยวี่หลัวเบ้ปากด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ จากนั้นจึงไปทำอาหารเย็นที่ห้องครัว
คุยกันไว้แล้วว่าตอนเย็นให้แม่ลูกโจวซื่ออยู่กินข้าวที่บ้านด้วย
ยังดีที่วันนี้ซื้อกระดูกหมูมา ช่วงบ่ายเซี่ยยวี่หลัวเคี่ยวน้ำแกงกระดูกไว้ ทั้งยังหั่นเนื้อหมูใส่ไว้จำนวนหนึ่ง ตอนนี้ต้มน้ำแกงเสร็จแล้ว บนผิวน้ำแกงมีน้ำมันหนึ่งชั้น ในห้องครัวเต็มไปด้วยกลิ่นหอมตลบอบอวล
เซี่ยยวี่หลัวไปเด็ดผักจำนวนหนึ่งมาจากสวนหลังบ้าน เริ่มทำอาหารเย็น
เซียวจื่อเมิ่งไปช่วยใส่ฟืน โจวซื่อยังเด็ดถั่วอยู่ใต้ชายคา เห็นเซี่ยยวี่หลัวไปทำอาหารในห้องครัว จึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ในบ้านพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเป็นคนทำอาหารเช่นนั้นหรือ? ”
“ใช่ขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนทำอาหารตลอด อาหารที่พี่สะใภ้ใหญ่ทำอร่อยมากขอรับ! ” เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
เซียวซานที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้า “อืมๆ อร่อยมากเลย” ครั้งก่อนเขาได้กินปลาตากแห้งทอด ได้ดื่มน้ำแกงกระดูกหมู ทั้งยังเคยกินซาลาเปาไส้หมู ตอนนี้พอหวนคิดถึง ก็กลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างอดไม่ได้
โจวซื่อตบไหล่บุตรชายตัวเอง กล่าวเป็นเชิงตำหนิ “อาหารที่ข้าทำไม่อร่อยหรือ? ”
เซียวซานรีบขยับเข้าไปใกล้ “ใช่ที่ไหนขอรับ อร่อยเสียยิ่งกว่าอะไร อาหารที่ท่านแม่ทำอร่อยที่สุดในใต้หล้าขอรับ ทว่า อาหารที่พี่สะใภ้ใหญ่ของจื่อเซวียนทำก็อร่อย ท่านแม่ เดี๋ยวท่านลองชิมดู รับรองว่าอร่อยจนท่านแทบกัดลิ้นแน่นอน”
ในภายหลังโจวซื่อก็เคยทำซาลาเปาไส้หมู แต่เซียวซานก็ไม่เคยได้กินรสชาติอย่างที่เซี่ยยวี่หลัวทำอีกเลย
โจวซื่อมองบุตรชายของตัวเองที่ทำท่าทางตะกละ เพียงส่งเสียงหัวเราะ ไม่ได้กล่าวอะไร
นางรู้ว่าบุตรชายตนเองย่อมไม่พูดปด โจวซื่อเองก็รู้สึกตั้งตารอคอยเช่นกัน
เซี่ยยวี่หลัวทำอาหารเสร็จ บนกายเต็มไปด้วยเหงื่อโชก
อยู่ในห้องครัวท่ามกลางอากาศร้อนระอุ ไม่ต่างกับซาลาเปาที่ถูกนึ่งในเข่งนึ่ง นางเป็นเหมือนเสี่ยวหลงเปาที่อยู่ในเข่ง ชะตากำหนดไว้แล้วว่าต้องถูกนึ่ง
เซี่ยยวี่หลัวคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานก็ทำอาหารสี่อย่าง และน้ำแกงกระดูกหมูใส่เนื้อหมูเสร็จ หลังจากยกอาหารไปวางบนโต๊ะ เซียวยวี่ก็ออกมาพอดี นั่งเด็ดถั่วแระอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก
เห็นเซียวยวี่สวมใส่เสื้อสีขาวดูสง่า อยู่ห่างถึงเพียงนี้ นางยังรู้สึกเหมือนได้กลิ่นหอมบนกายเซียวยวี่ เซี่ยยวี่หลัวลองดมบนกายตัวเอง กลิ่นเหงื่อแรงกว่าเดิมเสียอีก
“คือ ท่านป้าโจว เซียวซาน จื่อเซวียน รีบมากินข้าวได้แล้ว” เซี่ยยวี่หลัวเรียกทุกคนที่อยู่ใต้ชายคา ไม่ได้เรียกเซียวยวี่เพียงคนเดียว
เซียวยวี่ไม่ได้ยินชื่อของตัวเอง
ขมวดคิ้วด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอีกครั้ง เกิดความรู้สึกน้อยอกน้อยใจเหมือนถูกมองข้าม
เขาก้มหน้าเด็ดถั่วแระอย่างตั้งอกตั้งใจ
เด็กสองคนหิวนานแล้ว พอได้ยินว่าจะได้กินข้าว ก็รีบไปล้างมือ โจวซื่อตบมือทีหนึ่ง ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าว “อายวี่ กินข้าวก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยมาทำต่อ เหลือเพียงแค่นี้ คืนนี้ต้องทำเสร็จแน่”
เซียวยวี่แย้มรอยยิ้ม “ท่านป้าไปก่อนเถอะขอรับ เดี๋ยวข้าตามไป”
เขาไม่ได้ยินชื่อของตัวเอง เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้เรียกเขากินข้าว
โจวซื่อไม่ได้เร่งเร้า อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นเจ้าบ้าน นางที่เป็นแขกไม่มีเหตุผลที่ต้องคอยเรียกให้เจ้าบ้านกินข้าว
ทุกคนล้างมือเสร็จ จึงรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงอย่างรวดเร็ว
มีคนเพิ่มสองคน ทุกคนนั่งเบียดกันหน่อยก็นั่งได้
ทุกคนนั่งลง รออยู่ครู่หนึ่ง เซียวยวี่ยังไม่มา
“ทำไมพี่ใหญ่ของเจ้าถึงยังไม่มา? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถาม
เซียวจื่อเซวียนรีบลงจากเก้าอี้ไปดู ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมา “พี่ใหญ่ยังเด็ดถั่วอยู่ บอกว่าให้พวกเรากินก่อนขอรับ”
เซี่ยยวี่หลัวแทบอยากร้องไห้ “…”
เขารังเกียจนางถึงขั้นนี้เชียว บนกายนางมีกลิ่นเหงื่อเพียงเล็กน้อยไม่ใช่หรือ?
ถึงขั้นไม่กินข้าวก็ไม่ได้นี่นา!
ถึงแม้เซี่ยยวี่หลัวคิดอยากพูดคุยกับเซียวยวี่ให้ชัดเจนเสีย แต่ตอนนี้มีแขกอยู่ด้วย นางจะละเลยโจวซื่อกับเซียวซานไม่ได้ จึงได้แต่สะกดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไว้ ตักน้ำแกงชามใหญ่ให้โจวซื่อและเซียวซาน
“ท่านป้าโจว พวกเรากินก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นน้ำแกงในมือมีเนื้อหมู ทั้งยังมีน้ำมันหนึ่งชั้น ดมกลิ่นแล้วเหมือนกับที่ตัวเองได้ดื่มครั้งก่อน เซียวซานจึงกล่าวอย่างดีอกดีใจ “ท่านแม่ ที่ข้าเคยดื่มก็คือน้ำแกงนี่ อร่อยมากขอรับ”
โจวซื่อยิ้มด้วยความเก้อเขิน “ลูกของข้าคนนี้ ตะกละเสียจริง…”
เซี่ยยวี่หลัวหันมองเด็กสองคนในบ้านตัวเอง “เด็กๆ ล้วนเหมือนกัน เด็กสองคนนี้ของข้าก็ตะกละเสียยิ่งกว่าอะไรเจ้าค่ะ”
โจวซื่อมองเซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งอย่างพินิจ เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน เด็กสองคนตัวโตขึ้นมาก นอกจากนั้น แก้มก็มีสีแดงเลือดฝาด ใบหน้าอวบอิ่ม เห็นได้ชัดว่าได้กินอาหารดี
“เจ้าดูแลเด็กสองคน ช่างมีความตั้งใจจริง” โจวซื่อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เซี่ยยวี่หลัวดื่มน้ำแกงไปครึ่งชาม ตักข้าวครึ่งชาม คีบกับข้าวจำนวนหนึ่งใส่ชาม ก่อนกล่าว “ท่านป้า ท่านกับเซียวซานกินก่อน ข้าจะไปเรียกพี่ใหญ่ของเขามากิน”
รังเกียจที่บนกายนางมีกลิ่นเหม็นไม่ใช่หรือ? นางไปกินที่อื่น ให้เขามานั่งกินตรงโต๊ะก็แล้วกัน
เหนื่อยมาทั้งวัน ต้องหิวแย่แล้วเป็นแน่ เซี่ยยวี่หลัวไม่อาจปล่อยให้เซียวยวี่หิวได้
เซียวยวี่หันหลังให้นาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก ก้มหน้าเด็ดถั่ว
สายลมที่พัดผ่านมาเป็นครั้งคราว โบกพัดชายเสื้อด้านหนึ่งของเขาให้พลิ้วไหวตามสายลม
เซี่ยยวี่หลัวหยุดฝีเท้า หรี่ตามองดูเสื้อสีขาวนั่น
ท่านราชบัณฑิตน้อยในยามนี้ นั่งอยู่ใต้ชายคาทรุดโทรมแห่งนี้ ทำงานหนัก แผ่นหลังดูผอมบาง เงาร่างดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง เงาราตรีมาเยือนช้าๆ ยิ่งทำให้แผ่นหลังผอมบางนั่นดูอ้างว้างเดียวดาย
เห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ
ใครเล่าจะคาดคิดว่า ปีหน้าคนผู้นี้จะใช้ความรู้ทั้งหมดที่สั่งสมมา สอบได้อันดับหนึ่งทั้งสามระดับ พุ่งทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งสูง มือของเขาไม่เคยต้องทำเกษตรอีก เท้าของเขาเหยียบย่ำไปบนอิฐเครื่องแก้วที่ฉายแสงสาดส่องผู้คนในตำหนักจินหลวน[1] นับแต่นั้นก็อยู่ใต้คนผู้เดียวอยู่เหนือคนนับหมื่น ไม่มีผู้ใดทัดเทียม
จากซิ่วไฉ จวี่เหริน ถึงจ้วงหยวน ไปถึงตำแหน่งราชบัณฑิตน้อย ใช้เวลาสั้นๆ เพียงห้าปี ส่วนตัวนาง เมื่อถึงเวลานั้น จะอยู่แห่งหนใดกัน?
—————————————–
เชิงอรรถ
[1] ตำหนักจินหลวน คืออีกชื่อเรียกหนึ่งของตำหนักไท่เหอ ซึ่งเป็นตำหนักใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้ามของจีน