ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 11 บทที่ 312 เจ้าเป็นคนอื่นหรือ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถึงยามราตรีแล้วจะรู้สึกเศร้าใจได้ง่าย หรือเพราะคิดถึงอนาคตที่เลื่อนลอยของตัวเอง สภาวะจิตใจของเซี่ยยวี่หลัวไม่ดีเป็นอย่างมาก
อนาคตของท่านราชบัณฑิตน้อยสว่างสดใส แต่นางกลับต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการดูสีหน้าของเขา เกิดความรู้สึกเหมือนถูกจำกัดอิสระไม่อาจทำอะไรได้อย่างเต็มที่
ไม่รู้ว่าเพราะถูกเซียวยวี่ทำให้โมโห หรือเพราะกังวลเรื่องในอนาคต นางนั่งลงตรงข้ามเซียวยวี่ มือถือชามข้าว ยังไม่เริ่มกิน เพียงกล่าว “เจ้าไปกินข้าวเถอะ! ”
เซียวยวี่เงยหน้ามองนาง ดวงตาสว่างสดใสแฝงเร้นด้วยประกายน้อยเนื้อต่ำใจ
เซี่ยยวี่หลัวกำลังโมโหหรือ?
เซียวยวี่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เขาลืมความรู้สึกน้อยอกน้อยใจไปจนสิ้น เขากำลังคิด ว่าเหตุใดเซี่ยยวี่หลัวถึงโมโห?
นางไม่เรียกเขากินข้าว เขายังไม่โมโหเลย
เซียวยวี่จ้องมองนาง อยากมองตานางเพื่อค้นหาคำตอบว่าเหตุใดนางถึงโมโห
เซี่ยยวี่หลัวเบ้ปากแดงเล็กน้อย ถือชามข้าว ไม่กินข้าวและไม่กล่าวอะไร จ้องเซียวยวี่กลับอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
นางก็แค่มีกลิ่นเหงื่อบนกายเล็กน้อยไม่ใช่หรือ อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ทุกคนล้วนมีเหงื่อไม่ใช่หรือ เขายังจะขมวดคิ้ว ทั้งยังจะผลักนาง แค่คิดก็รู้สึกน่าน้อยใจแล้ว
ทั้งสองคนต่างไม่ยอมอ่อนข้อ ต่างก็ไม่หลบสายตา จ้องมองอีกฝ่ายอยู่เช่นนี้ จวบจนเซียวยวี่ยอมถอย
นางกำลังโมโห อย่ายั่วโทสะนางจะดีกว่า
“นี่คือข้าวที่ให้ข้าหรือ? ” เซียวยวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาไม่รอให้เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอะไร หยิบชามข้าวจากในมือนาง หยิบตะเกียบเริ่มกินข้าวทันที
เซี่ยยวี่หลัวอ้าปากตาค้าง “นั่นเป็น…” ข้าวที่นางเคยกินแล้ว
เซียวยวี่รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นในชั่วพริบตา
ถึงแม้ไม่ได้เรียกเขากินข้าว แต่นางยกข้าวมาให้แล้วนี่นา พอคิดดูภายในใจก็รู้สึกหวานชื่นราวกับได้กินน้ำผึ้งก็มิปาน
เซียวจื่อเซวียนตะโกนเรียกอยู่ตรงประตู “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงยังไม่มากินข้าวขอรับ? ”
เซียวยวี่มองดูชามข้าวในมือตัวเองเงียบๆ เซี่ยยวี่หลัวแทบอยากร้องไห้ “นั่น… เป็นของข้า! ”
“อ่อ” เซียวยวี่ขานตอบทีหนึ่ง จากนั้นจึงกินต่อ กินพลางหันกลับไปกล่าวตอบ “ข้ากำลังกินอยู่”
เซียวจื่อเซวียนก็เห็นอย่างชัดเจนแล้ว มองดูชามข้าวในมือพี่ใหญ่ ก่อนมองดูพี่สะใภ้ใหญ่ จู่ๆ ก็แย้มรอยยิ้ม จากนั้นจึงกลับเข้าห้องไป
โจวซื่อเห็นว่าคนยังไม่มา จึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป ทำไมถึงยังไม่มาอีก? ”
เจ้าบ้านยังไม่มานั่ง แขกกลับกินใกล้เสร็จแล้ว โจวซื่อรู้สึกกระอักกระอ่วนนัก
เซียวจื่อเซวียนกล่าวอย่างมีความสุข “ไม่เป็นอะไรขอรับ พี่ใหญ่กำลังกินอยู่”
“กำลังกิน? กินที่ไหนกัน? ” โจวซื่อเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
ข้าวยังอยู่บนโต๊ะ เซียวยวี่จะไปกินที่ไหน
“พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่กินด้วยกันขอรับ” เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยท่าทางดีอกดีใจ
โจวซื่ออ้าปากตาค้าง กินในชามเดียวกัน?
“สามีภรรยาอายุน้อยช่างรักกันดีเสียจริง กินข้าวยังต้องกินชามเดียวกัน” หลังจากโจวซื่อผงะไปชั่วขณะ จึงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ย่อมรู้สึกดีใจไปด้วย
เซียวจื่อเซวียนหัวเราะร่า ดีใจเสียยิ่งกว่าอะไร
เซียวยวี่ยังกินอยู่ เซี่ยยวี่หลัวได้แต่ดูเขากิน ในท้องนางได้ดื่มน้ำแกงมาแค่หนึ่งชาม ตอนนี้รู้สึกหิวแล้ว!
พอมีของกินก็ไม่รังเกียจกลิ่นเหงื่อบนกายนางแล้วเช่นนั้นหรือ?
เซี่ยยวี่หลัวคิดแล้วก็รู้สึกโมโห
ถึงแม้เซียวยวี่กำลังกินข้าว แต่ก็คอยมองเซี่ยยวี่หลัวอยู่ตลอด เห็นนางเบ้ริมฝีปากสีแดงอีกครั้ง ท่าทางโมโห เซียวยวี่เห็นแล้วรู้สึกว่าน่าขัน “เป็นอะไรไป? ”
หรือเพราะเขากินข้าวของนาง นางจึงไม่พอใจ?
ใครใช้ให้นางไม่เรียกเขาไปกินข้าวเล่า
“นั่นเป็นข้าวของข้า” เซี่ยยวี่หลัวกล่าว
เจ้าไม่รังเกียจว่าสกปรกหรืออย่างไร?
เซียวยวี่ขานตอบทีหนึ่ง “อร่อย”
“เป็นข้าวที่ข้าเคยกินแล้ว” เซี่ยยวี่หลัวจงใจคิดอยากทำให้เซียวยวี่สะอิดสะเอียน “ตะเกียบนี่ข้าเคยกัดแล้ว ชามนี่ข้าก็เคยใช้แล้ว”
เซี่ยยวี่หลัวชี้ข้าวของในมือเขา จงใจทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียน
เซียวยวี่ผงะไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เข้าใจเจตนาของเซี่ยยวี่หลัว พอเห็นนางแสดงสีหน้าท่าทางได้ใจเพราะได้ยั่วเขา เซียวยวี่ก็ขำทีหนึ่ง “หอมมาก! ”
เซี่ยยวี่หลัว “…”
อะไรหอม?
อาหารหอมมาก? ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น มีทั้งเนื้อหมู ทั้งไข่ไก่
เซียวยวี่มองแววตาของเซี่ยยวี่หลัว ก่อนกล่าวต่อ “นี่เป็นอาหารอร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมา”
“อะไรนะ? ”
ที่ผ่านมานางไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียวเรื่องอาหารการกินของเซียวยวี่นี่นา ทุกสามวันห้าวันจะมีเนื้อหมู มีไข่ มีน้ำแกง มีปลา เซียวยวี่เคยกินทั้งหมด อาหารวันนี้ก็เหมือนปกติ ไม่ได้มีอาหารป่าอาหารทะเลชั้นเลิศอะไร ทั้งยังไม่มีรังนกหรือหอยเป๋าฮื้อ ทำไมเขาถึงบอกว่าเป็นอาหารรสชาติอร่อยที่สุดที่เขาเคยกินมา?
เซี่ยยวี่หลัวเชื่อว่าอาหารในวันนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ เหมือนกับที่ผ่านมา รสชาติเดียวกัน!
เซียวยวี่หัวเราะเบา ไม่พูดให้กระจ่าง เพียงกินข้าวต่อ
เซี่ยยวี่หลัวมองเขาด้วยอาการเหม่อลอย ในที่สุดก็พบปัญหาหนึ่ง เซียวยวี่กินข้าวหมดแล้ว กินจนเกลี้ยง แม้แต่ข้าวยังไม่เหลือสักเม็ด กินแทบสะอาดหมดจด ยังดีที่ลิ้นของคนผู้นี้ยังไม่ยาวพอ ดูจากท่าทางของเขา มีท่าทีราวกับจะเลียชามให้สะอาดอย่างไรอย่างนั้น
ลูกสุนัข ลูกสุนัข เป็นลูกสุนัขชัดๆ เซี่ยยวี่หลัวแอบคิดอยู่ในใจ
อาศัยจังหวะที่เซี่ยยวี่หลัวเหม่อลอย เซียวยวี่นำชามเปล่ากลับไปยังห้องโถง
ไม่นานเขาก็นำข้าวกลับมาหนึ่งชาม ใส่มาเต็มชาม เซี่ยยวี่หลัวนึกว่าเขายังกินไม่อิ่ม ใครจะรู้ เซียวยวี่กลับยื่นส่งชามใส่มือนาง “กินสิ”
เซี่ยยวี่หลัวขานตอบตามสัญชาตญาณ หยิบขึ้นมากิน
กินไปครู่หนึ่ง เซี่ยยวี่หลัวมองชามในมือ ช่างดูคุ้นตายิ่งนัก เหมือนว่าเมื่อครู่นี้เพิ่งเห็น นางรู้สึกงุนงงไปชั่วขณะ “นี่เป็นชามของใคร? ”
เซียวยวี่กล่าวตอบ “ของเจ้าอย่างไรเล่า” เมื่อครู่เจ้าบอกเองว่านี่เป็นชามของเจ้าไม่ใช่หรือ?
เป็นของนางจริงๆ ไม่ผิด
เพียงแต่ ชามนี้เมื่อครู่เจ้าเพิ่งใช้ไปไม่ใช่หรือ?
เซี่ยยวี่หลัวเพ่งสายตามองเซียวยวี่ เหมือนกำลังไต่ถามเขา เซียวยวี่ยิ้มทีหนึ่ง “เมื่อครู่ข้าหาใบใหม่ไม่พบ จึงใช้ชามใบเดิม”
นี่เป็นชามที่นางเคยกินแล้วเขากินต่อ เขากินเสร็จแล้วให้นางกินต่ออีก?
ท่านราชบัณฑิตน้อย ท่านไม่รังเกียจที่มันสกปรกหรือ?
“เจ้าไม่รู้สึกว่าสกปรกหรือ? ” เซี่ยยวี่หลัวแทบจะพูดโพล่งออกมา
เซียวยวี่ฝืนสะกดอารมณ์ขำขันไว้ “สกปรกตรงไหน? ”
เซี่ยยวี่หลัวไม่คิดอ้อมค้อม จึงกล่าว “ที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยแตะต้องของที่คนอื่นเคยใช้แล้วไม่ใช่หรือ? ”
“เจ้าเป็นคนอื่นหรือ? ” เซียวยวี่กำลังเด็ดถั่วแระ จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น เอ่ยถามเซี่ยยวี่หลัวด้วยสีหน้าจริงจัง
ในแววตาของเขาราวกับมีธารดาราทอประกายแสงระยิบระยับ จ้องมองเซี่ยยวี่หลัวอยู่อย่างนี้ ดวงตาสว่างพร่างพรายประหนึ่งดวงดารา
เซี่ยยวี่หวังผงะไป คนอื่น?
นอกจากตัวเซียวยวี่เอง สำหรับเขาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นคนอื่นนี่นา!
เซี่ยยวี่หลัวเผชิญกับแววตาของเซียวยวี่ กลับกล่าวอะไรไม่ออก “ข้า…”
ควรจะตอบเช่นไร นางเป็นคนอื่นหรือไม่?
หากบอกว่าใช่ เซียวยวี่จะว่าอย่างไร?
หากบอกว่าไม่ใช่เล่า เช่นนั้นเซียวยวี่ย่อมไม่รังเกียจ!
แต่นางกับเซียวยวี่…
พวกเขาเปรียบเสมือนเส้นสองเส้น ถึงแม้ได้พบพาน แต่ก็เป็นเพียงเส้นที่ตัดผ่านกันตรงจุดหนึ่ง สุดท้ายต่างคนต่างเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ !
ท้ายที่สุด ท่ามกลางผู้คนมากมาย อาจห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าเป็นคนอื่นหรือไม่