ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 13 บทที่ 363 สตรีที่มาหาถึงที่
เดิมทีตอนกลางคืนเซี่ยยวี่หลัวจะเล่านิทานให้เซียวจื่อเมิ่งฟังหนึ่งเรื่อง คืนนี้กลับเล่าถึงสามเรื่อง เล่าจนเซียวจื่อเมิ่งรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง กอดพี่สะใภ้ใหญ่พลางยื่นหูไปใกล้ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านลองดูหูของข้า หายหรือยังเจ้าคะ? ”
เซี่ยยวี่หลัวแสร้งทำเป็นดู ก่อนยิ้มพร้อมกล่าว “หายแล้ว หายดีแล้ว”
เซียวจื่อเมิ่งหัวเราะคิกคัก “โอ้ โอ้ หายแล้ว หายแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านช่างเก่งกาจเหลือเกินเจ้าค่ะ”
เซียวจื่อเซวียนที่ยังเขียนหนังสืออย่างขยันแข็งขันอยู่อีกห้องหนึ่ง รู้สึกอยากมีหยาดน้ำตาร้อนไหลลู่ลงมาเสียจริง เพียงแต่เขาอยากร้องแต่ก็ไม่มีน้ำตา!
น่าอัดอั้นใจนัก ช่างน่าอัดอั้นใจเสียจริง
ทำไมเขาต้องเป็นตากุ้งยิงด้วย?
เขาก็อยากเป็นหูกุ้งยิงบ้าง!
เซี่ยยวี่หลัวดับไฟ นอนแล้ว
เซียวจื่อเซวียนที่อยู่ห้องข้างๆ ยังจุดไฟโหมเขียนหนังสือในยามค่ำคืน
เหลืออีกหกตัว เหลืออีกห้าตัว…
เซียวยวี่จะพักผ่อนแล้ว หันมองออกไปด้านนอก ไฟในห้องเซี่ยยวี่หลัวดับไปแล้ว ไฟในห้องเซียวจื่อเซวียนยังสว่างอยู่
“เหตุใดเจ้าถึงยังไม่นอน? ” เซียวยวี่เป็นห่วง จึงออกมาดู
เพียงเห็นเซียวจื่อเซวียนกำลังก้มหน้าเขียนหนังสือ มือเลอะคราบหมึกดำ เมื่อเห็นพี่ใหญ่มา เซียวจื่อเซวียนถึงกับร้องไห้ “พี่ใหญ่…”
“เจ้าเป็นอะไรไป? ” เซียวยวี่นึกว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบเอ่ยถาม
เซียวจื่อเซวียนบอกเล่าเรื่องที่พี่สะใภ้ใหญ่ให้ตัวเองเขียนตัวหนังสือสิบตัว ทั้งยังบอกเรื่องที่เซียวจื่อเมิ่งได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
เซียวยวี่กลั้นหัวเราะฟังจนจบ หากไม่ใช่เพราะเซียวจื่อเซวียนอยู่ด้วย เขาอยากปรบมือให้ภรรยาของตนเองพลางร้องตะโกนว่าทำได้ดีเสียจริง
“เจ้ายังเหลืออีกกี่ตัว? ” เซียวยวี่เอ่ยถาม
เซียวจื่อเซวียนลองนับดู “เหลืออีกสองตัวขอรับ!”
เซียวยวี่ขานตอบทีหนึ่ง เดินออกไปพลางกล่าว “เช่นนั้นเขียนเพิ่มอีกห้าตัวก็แล้วกัน พรุ่งนี้เช้าข้าจะตรวจ!”
ห้าตัว?
เซียวจื่อเซวียน “…” เช่นนี้เขียนถึงเช้าก็เขียนไม่เสร็จนี่นา!
พวกท่านสองสามีภรรยามีความแค้นกับข้าตั้งแต่ชาติปางก่อนหรืออย่างไร? ก็แค่พูดเรื่องที่จะเป็นตากุ้งยิงเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ?
เขาอยากร้องไห้ อยากหนีออกจากบ้าน
อย่าทำเช่นนี้กับข้าสิขอรับ!
แสงไฟสั่นไหวทีหนึ่ง เซียวจื่อเซวียนยังคงเขียนหนังสือต่ออย่างขยันขันแข็ง
ถึงช่วงหลังเที่ยงคืนแล้ว ตั้งแต่หลัวไห่ฮวาเอนตัวนอนลงบนเตียงก็ไม่ได้นอนหลับ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ยินเสียงดังมาจากข้างๆ หลัวไห่ฮวาแสร้งทำเป็นเอ่ยถามด้วยอาการงัวเงีย “ไปแล้วหรือ? ”
“อืม” เซียวไฉซุ่นขานตอบทีหนึ่งก่อนออกไป ไม่ได้สนใจหลัวไห่ฮวา
บัดนี้หลัวไห่ฮวาเองก็ไม่คิดแยแสเซียวไฉซุ่นเช่นกัน ทำหูผึ่งคอยฟังเสียงข้างนอก ได้ยินเสียงประตูข้างนอกถูกเปิดออก ก่อนถูกปิดลง หลัวไห่ฮวากระโดดลุกขึ้นทันที
สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ จึงสวมรองเท้า ปล่อยผมสยายอยู่ด้านหลัง เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
นางไปห้องข้างๆ เพื่อดูต้าจ้วงและเสี่ยวฮวาก่อน เด็กสองคนหลับสนิทเหมือนสุกรก็มิปาน ต่อให้ปลุกก็ไม่ตื่น
นี่ถือเป็นโอกาสอันดี ออกไปแค่หนึ่งชั่วยาม สามารถกลับมาก่อนฟ้าสว่างได้ ไม่มีใครรู้แน่
หลัวไห่ฮวารู้สึกตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว ปิดประตู ก่อนเร่งฝีเท้าเดินไปทางบ้านเซียวหยวน เดินไปได้สองก้าว จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เซียวหยวนยังถูกขังอยู่ในศาลบรรพชน จึงได้แต่หันตัว เดินตรงไปทางศาลบรรพชน
พอคิดว่าอีกเดี๋ยวก็จะได้พบเซียวหยวน ร่างกายของหลัวไห่ฮวาก็อ่อนยวบ เหมือนจะควบคุมร่างกายไม่ได้ ของเหลวอุ่นๆ ไหลออกมา ชุดซับในที่หลัวไห่ฮวาเพิ่งเปลี่ยนก็เปียกเสียแล้ว
เส้นทางไปยังศาลบรรพชน เป็นดงต้นไม้หนาทึบ ในนั้นมีเส้นทางสายเล็กที่ปูด้วยหิน มุ่งตรงไปยังประตูศาลบรรพชน
คืนนี้ไม่มีดวงจันทร์ มีเพียงดวงดาวที่ทอประกายแสงมืดสลัวอยู่ตรงขอบฟ้า หากเป็นเวลาปกติ ให้ตายหลัวไห่ฮวาก็ไม่กล้าเดินทางยามค่ำคืน แต่ใครใช้ให้เซียวหยวนอยู่ที่ศาลบรรพชนเล่า!
หลัวไห่ฮวาไม่กล้าถือโคมไฟมาด้วย ดึกดื่นค่ำคืนหากถูกคนพบตัวเข้าต้องแย่แน่
หลัวไห่ฮวาเดินไปตามเส้นทางมืดสนิท วิ่งตรงไปทางศาลบรรพชน
เมื่อเดินถึงลานกว้างด้านหน้าศาลบรรพชน หลัวไห่ฮวาจึงผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก ตบหน้าอกตัวเองทีหนึ่ง จัดเสื้อผ้าเผ้าผมของตัวเอง ก่อนเช็ดเหงื่อบนกาย แล้วจึงเดินบิดตัวเข้าไปในศาลบรรพชนอย่างอดรนทนรอไม่ไหว
ด้านนอกศาลบรรพชนถูกลงกลอนไว้ หลัวไห่ฮวาเปิดออก คิดจะผลักเปิดประตูเข้าไป แต่ผลักเปิดไม่ได้
ด้านในก็ถูกลงกลอนไว้
หลัวไห่ฮวาได้แต่เคาะประตูเสียงเบา
เซียวหยวนนอนหลับแล้ว กลางดึกเช่นนี้ เสียงเพียงเล็กน้อยก็ได้ยินอย่างชัดเจน เขาได้ยินเสียงเคาะจากหน้าประตู จึงลุกขึ้นนั่ง “ใคร?”
ใครกันจะมาที่ศาลบรรพชนช่วงกลางดึกเช่นนี้?
เสียสติแล้วหรืออย่างไร?
“ข้าเอง!” เสียงที่แทบเปลี่ยนไปดังจากด้านนอก แต่เซียวหยวนแค่ได้ยิน ก็ฟังออกแล้ว ว่านั่นเป็นเสียงของหลัวไห่ฮวา
เซียวหยวนหันมองไปทางเซียวหมิงจูตามสัญชาตญาณ
เซียวหมิงจูหลับตา ไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่านอนหลับไปแล้ว
คนผู้นี้ไม่ได้กินอาหารเย็น ท่าทางเหมือนคนตายเช่นนี้ เห็นแล้วรู้สึกไม่มีอารมณ์จริงๆ
แต่เซียวหยวนก็ยังไม่กล้าแตะต้องนาง รีบไปเปิดประตูอย่างเงียบเชียบ
พอเปิดกลอนประตู ประตูก็ถูกเปิดออกดัง “แกร่ก” หลัวไห่ฮวาพุ่งพรวดเข้าอ้อมอกเซียวหยวน “เจ้าคนลืมบุญคุณ มีคนที่ดีกว่าก็ลืมข้างั้นหรือ!”
เซียวหยวนกอดหลัวไห่ฮวาไว้ ร่างกายอวบอิ่มแนบชิดบนตัวเซียวหยวน ทั้งยังใช้ต้นขาถูไปมาตรงส่วนนั้นของเซียวหยวน
โดนถูจนเพลิงปรารถนาลุกโชน เซียวหยวนรู้สึกว่าตัวเองแทบอยากจัดการสตรีผู้นี้ในเสี้ยววินาทีถัดไปเสีย
ทว่า เซียวหยวนยังมีความกังวลใจ เขากลัวว่าเสียงของทั้งสองคนจะทำให้เซียวหมิงจูตื่น จึงรีบดึงหลัวไห่ฮวาออกไป
หลัวไห่ฮวาไม่ยอม เห็นเซียวหมิงจูที่นอนขดตัวอยู่บนพื้น ก็เหลือบมองเซียวหยวนทีหนึ่ง “ทำไม กลัวว่าเรื่องดีๆ ของเราจะถูกคนที่เจ้าหมายปองได้ยินเข้า?”
ตรงนั้นของเซียวหยวนทนไม่ไหวแล้ว มองดูเซียวหมิงจูมาทั้งคืน แทบอยากจัดการสตรีผู้นี้ตั้งหลายครั้ง แต่เพื่อไม่ให้เสียงาน เขายังคงทนไว้ไม่ได้ทำอะไร
ไม่ง่ายเลยกว่าจะสะกดเพลิงปรารถนาไว้ได้ ตอนนี้กลับโดนหลัวไห่ฮวาจุดจนลุกโชน
อย่างไรเสียก็มีคนให้ระบายความใคร่แล้ว เซียวหยวนยังจะสนใจอะไรอีก
จึงยิ้มพลางบีบแก้มอวบอิ่มของหลัวไห่ฮวาทีหนึ่ง หัวเราะกลบเกลื่อนพลางกล่าว “ข้ากลัวนางได้ยินจริงๆ! ”
สีหน้าของหลัวไห่ฮวาดูถมึงทึงทันที
เซียวหยวนหัวเราะก่อนกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร ที่สำคัญคือเจ้า เจ้าคิดว่าหากนางได้ยินความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้า หลังจากออกไปนางบอกกับสามีของเจ้าจะทำอย่างไร? ถึงเวลาทำให้ครอบครัวของเจ้าไม่ได้อยู่อย่างสงบ ข้าจะทนได้อย่างไร! ”
ที่แท้ก็เป็นห่วงนาง!
หลัวไห่ฮวาได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะออกมา “ถือว่าเจ้ายังมีหัวใจอยู่บ้าง”
เซียวหยวนโอบกอดหลัวไห่ฮวาไว้ ออกจากศาลบรรพชนไป ทั้งสองคนมาถึงด้านหลังศาลบรรพชน หาพื้นที่ที่มีหญ้า เซียวหยวนถอดเสื้อของตัวเองปูไว้บนพื้น ก่อนให้หลัวไห่ฮวานอนลงไป
หลัวไห่ฮวาเห็นท่าทางเอาใจใส่ของบุรุษผู้นี้ ร่างกายก็ยิ่งอ่อนระทวยราวกับกองดินโคลน