ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 13 บทที่ 365 วันนี้ข้าต้องไปในแปลงนาให้ได้
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 13 บทที่ 365 วันนี้ข้าต้องไปในแปลงนาให้ได้
เซียวจื่อเมิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเซี่ยยวี่หลัว กัดนิ้วมือพลางมองขอบตาดำคล้ำของเซียวจื่อเซวียน “ตากุ้งยิงของพี่รองหายดีแล้วจริงหรือเจ้าคะ? ” ทำไมถึงรู้สึกว่าจะหนักกว่าเมื่อวานเสียอีก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่รองยังเขียนไม่พอใช่หรือไม่เจ้าคะ! ทำไมตาถึงกลายเป็นเช่นนี้? ”
“หายแล้ว หายแล้ว ข้าหายดีแล้ว! ต่อไปจะไม่เป็นตากุ้งยิงอีกแล้ว” เซียวจื่อเซวียนกลัวว่าจะให้เขาเขียนหนังสือโต้รุ่งอีก ตกใจจนรีบตะโกนออกมาทันที
ตัวหนังสือตั้งหกร้อยตัว เขียนจนเขายกมือไม่ขึ้น
ต่อไปเขาไม่กล้าพูดเรื่องตากุ้งยิงกับเซียวจื่อเมิ่งอีกแล้ว เขายอมจำนนแล้ว!
เซียวจื่อเมิ่งได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มทันที “เช่นนั้นต่อไปข้าก็จะไม่เป็นหูกุ้งยิงอีกใช่หรือไม่เจ้าคะ? ”
“ไม่เป็นแล้ว! เป็นหนึ่งครั้งก็จะไม่เป็นอีก! ” เซียวจื่อเซวียนกลัวว่าต่อไปตัวเองจะโดนรังแกอีก จึงกล่าวอย่างรีบร้อน
เซียวจื่อเมิ่งหัวเราะคิกคัก “เช่นนั้นต่อไปข้าก็สามารถฟังพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่คุยกระซิบกันได้ พี่รอง ต่อไปท่านก็สามารถดูพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่จุมพิตกันได้ พวกเราดูแล้วก็จะไม่ป่วยอีก! ”
จุมพิต?
เซียวยวี่หันมองไปทางเซี่ยยวี่หลัวตามสัญชาตญาณ
รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยยวี่หลัวพลันแข็งทื่อ พอได้ยินดังนั้น ก็หันมองเซียวยวี่เช่นกัน
ใบหน้าของทั้งคู่ขึ้นสีแดงในชั่วพริบตา
เซียวจื่อเซวียนหันมองพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่แวบหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางพวกเขาทั้งสองคนที่ใบหน้าแดงก่ำ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวหนังสือที่เขียนไปเมื่อคืนไม่ได้เสียเปล่า
ในที่สุดก็ได้เอาคืน ช่างรู้สึกดีเสียยิ่งกว่าอะไร!
หลังจากพวกเขากินอาหารเช้าเสร็จ จู่ๆ เซียวยวี่ก็กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อ เป็นเสื้อผ้าแขนสั้น ก่อนไปหยิบจอบในห้องเก็บฟืน สวมหมวกฟางจะออกไปข้างนอก
เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งออกจากประตู ก็เห็นเซียวยวี่แต่งกายและเตรียมของพร้อม ถึงกับทำให้นางตกใจสะดุ้ง
“เจ้ากำลังจะไปทำอะไร? ”
เซียวยวี่หันกลับมายิ้ม “อาหลัว ข้าจะไปกลับหน้าดิน แล้วปลูกผักจำนวนหนึ่ง”
เมื่อวานเขาถามหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าช่วงนี้สามารถปลูกผักที่กินตามบ้านได้จำนวนหนึ่ง เขาคิดไว้แล้ว กลับหน้าดินเสร็จ ก็จะปลูกทันที ดูแลไม่กี่เดือน ก็จะมีอาหารอีกไม่น้อย
เขาคิดจะเตรียมหน้าดินเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง ปลูกเพิ่มอีกหน่อย
หากกินไม่หมด บางทีอาจสามารถนำไปขายในตัวเมืองได้
ปลูกไว้มากก็ไม่ต้องไปซื้อผักข้างนอกแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวเดินขึ้นหน้าสองก้าว “ใครให้เจ้าไปในแปลงนากัน? ”
เหมือนว่านางจะโมโหแล้ว!
เซียวยวี่รู้สึกวิตกเล็กน้อย “เป็น… เป็นอะไรไป? ” หากเขาไม่ไปทำไร่ทำนา เรื่องอื่นเขาก็ทำไม่เป็นนี่นา!
“เจ้าไปอ่านตำรา! ” เซี่ยยวี่หลัวดันตัวเซียวยวี่ให้เดินไปทางห้อง
เซียวยวี่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ไม่ว่าเซี่ยยวี่หลัวจะดันอย่างไร เขาก็ไม่ยอมเคลื่อนไหว
เขายืนอยู่ที่เดิม จ้องมองเซี่ยยวี่หลัวด้วยความรักใคร่เอ็นดู เขารู้ว่านางไม่อยากให้เขาลำบาก
หากแต่…
“อาหลัว เจ้าอย่าเกลี้ยกล่อมข้าอีกเลย วันนี้ข้าต้องไปในแปลงนาให้ได้! ” เซียวยวี่กล่าวด้วยท่าทางจริงจังและหนักแน่น
นอกจากนั้น ต่อไปเขาจะไปทำงานในแปลงนาตลอดด้วย
เซี่ยยวี่หลัว “…” เจ้าคิดจะทำให้ข้าโมโหตายหรืออย่างไร?
เซียวยวี่มองเซี่ยยวี่หลัวด้วยความเอ็นดู พร้อมกล่าว “เจ้าไปซักผ้าเถอะ ข้าบอกกับเด็กสองคนไว้แล้ว ให้พวกเขาไปช่วยเจ้า ช่วยกันสามคนจะเร็วขึ้น รีบกลับมา หลังจากกลับมาแล้วก็รออยู่ในบ้านอย่าออกไป ตอนเที่ยงข้าจะรีบกลับมา เจ้าอยากกินอาหารที่ข้าทำไม่ใช่หรือ? อยากกินอะไรก็เตรียมไว้ ตอนเที่ยงข้าจะผัดให้เจ้ากิน! ”
เซียวยวี่เอื้อมมือไปลูบใบหน้าเซี่ยยวี่หลัว ใบหน้าของนางเรียบเนียนอ่อนนุ่ม ลูบแล้วรู้สึกราวกับเป็นผ้าฝ้ายชั้นดีอย่างไรอย่างนั้น มือของเขาหยาบกร้านเกินไป…
เซียวยวี่เกรงว่าจะทำให้ผ้าฝ้ายชั้นดีเป็นรอย รีบชักมือกลับ ปิดบังความรู้สึกหดหู่ในแววตา “รีบไปเถอะ ประเดี๋ยวดวงอาทิตย์ขึ้น อากาศก็จะร้อนแล้ว ใส่หมวกดีๆ ระวังอย่าให้โดนแดดเผา”
กล่าวจบ ไม่รอให้เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอะไร เซียวยวี่แบกจอบหันขวับเดินไปทันที
เซี่ยยวี่หลัวอยู่ข้างหลัง กัดริมฝีปากไม่กล้ากล่าวอะไร
เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งออกมาแล้ว จะตามพี่สะใภ้ใหญ่ไปซักผ้า เมื่อเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยอาการเหม่อลอย ต่างก็รู้สึกสงสัย “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป? ”
เซี่ยยวี่หลัวรีบเก็บซ่อนประกายปวดใจในเบื้องลึกแววตา ยามหันกลับมา ก็แสดงท่าทีมีความสุขอีกครั้ง “ไปกัน ไปซักเสื้อผ้า! ”
ระหว่างซักเสื้อผ้า เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกจิตใจไม่สงบอยู่ตลอด จึงไม่ทันได้ยินคนรอบข้างกล่าวถึงเรื่องที่ท่านลุงสี่โมโหจนหมดสติไป
ท่านป้าสี่คอยเฝ้าท่านลุงสี่มาทั้งคืน จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ท่านลุงสี่ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ลืมตาตื่น ฟื้นขึ้นมา
ท่านป้าสี่ร่ำไห้ หมอบอยู่บนตัวสามีของตัวเองร่ำไห้แทบขาดใจ “ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว ตาแก่ เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบตาย! ”
ท่านลุงสี่น้ำเสียงแหบแห้ง “น้ำ…”
ท่านป้าสี่รีบรินน้ำหนึ่งถ้วย ป้อนให้เขาดื่มอย่างระมัดระวัง “ตาแก่ มา ช้าหน่อย”
หลังจากดื่มน้ำหนึ่งถ้วย คอของท่านลุงสี่จึงดีขึ้นบ้าง พอปริปากก็เอ่ยถามถึงบุตรสาวของตัวเองทันที
“เจ้าไปดูหมิงจูมาหรือยัง? ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสาร
ท่านป้าสี่จะมีเวลาไปได้อย่างไร ส่ายหน้า “ไม่ได้ไป! เมื่อวานเจ้าทำให้ข้าตกใจแทบตาย เจ้าไม่ฟื้น ข้าจะกล้าไปได้อย่างไร! ”
“เจ้าช่างเลอะเลือนนัก ศาลบรรพชนเป็นสถานที่อย่างไร มืดถึงเพียงนั้น อย่างไรหมิงจูก็ยังเป็นเด็ก เจ้าให้นางอยู่ที่นั่นเพียงลำพังหนึ่งคืน เท่ากับทำให้นางกลัวแทบตายไม่ใช่หรือ!” ท่านลุงสี่พยายามจะลุกขึ้น “ไปไปไป พวกเราไปดูหมิงจู!”
ท่านป้าสี่เช็ดคราบน้ำตา กดเขาลงบนเตียง “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง หมิงจูไม่ได้อยู่ในศาลบรรพชนเพียงลำพัง”
“ยังมีใครอีก?” ท่านลุงสี่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อาหยวนก็อยู่!”
“อาหยวน? ทำไมเขาถึงไปคุกเข่าอีกแล้ว? ครบกำหนดแล้วไม่ใช่หรือ?”
“เขาครบกำหนดแล้ว แต่เขาบอกว่าเรื่องต่างๆ ที่หมิงจูทำเขาเป็นคนทำเพียงผู้เดียว จึงต้องการรับโทษพร้อมหมิงจู บอกว่าหมิงจูคุกเข่านานเท่าไรเขาก็จะคุกเข่านานเท่านั้น จะอยู่กับหมิงจูตลอด!” ท่านป้าสี่กล่าวถึงเรื่องนี้ ภายในใจถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง
“เด็กคนนั้น ช่างมีคุณธรรมน้ำใจงามเสียจริง!” ท่านลุงสี่กล่าวพลางทอดถอนใจ “เช่นนั้นเจ้าก็ทำอาหารดีๆ สักสองอย่าง แอบนำไปส่งให้เด็กสองคน”
เมื่อเห็นสามีตนเองเป็นห่วงบุตรสาว ท่านป้าสี่ย่อมรู้สึกดีใจ เช็ดคราบน้ำตาพลางกล่าว “ได้สิ ได้สิ! เจ้าพักผ่อนดีๆ เช่นนั้นข้าไปทำอาหารก่อน เซียวเอ้อบอกว่าเจ้าร่างกายอ่อนแอ ช่วงสองวันนี้ต้องกินอาหารอ่อนๆ ข้าจะไปต้มบะหมี่ให้เจ้า”
นางกำลังจะไปห้องครัว ท่านลุงสี่กลับเรียกนางไว้ “รอให้หมิงจูออกมาจากศาลบรรพชน พวกเรายังต้องไปที่บ้านเซียวยวี่เพื่อขอขมา เรื่องนี้จะปล่อยให้ผ่านไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้”
เดิมทีท่านป้าสี่คิดจะกล่าวอะไร แต่ลองคิดดู ยังต้องรออีกสิบกว่าวัน เรื่องอีกสิบกว่าวันให้หลังถึงเวลาค่อยว่ากัน จึงตอบตกลง “ได้ ข้าไปทำอาหารก่อน”
พอคิดถึงเรื่องที่บุตรสาวและเซียวหยวนกำลังลำบากอยู่ที่ศาลบรรพชน ท่านป้าสี่กัดฟันทีหนึ่ง ก่อนฆ่าแม่ไก่ที่เลี้ยงไว้เพื่อออกไข่ตัวหนึ่ง