ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 14 บทที่ 391 มนุษย์เกิดมาเท่าเทียม ไม่แบ่งสูงส่งหรือต่ำต้อย
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 14 บทที่ 391 มนุษย์เกิดมาเท่าเทียม ไม่แบ่งสูงส่งหรือต่ำต้อย
คุณชายหลัวยวี่นั่น ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นบุคคลเช่นไร สามารถเขียนตำราที่ทำให้คนอ่านแล้วไม่อาจหยุดอ่านได้!
เซียวยวี่รับตำรามา ไม่ลืมที่จะสนทนากับหลิ่วสวินเหมี่ยว “เถ้าแก่รู้จักคุณชายหลัวยวี่หรือไม่?”
หลิ่วสวินเหมี่ยวส่ายหน้า “คุณชายก็รู้สึกสนใจในตัวคุณชายหลัวยวี่เช่นกันหรือ?”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น บัดนี้มีบัณฑิตคนใดบ้างที่ไม่อยากมีเกียรติได้พบคุณชายหลัวยวี่ผู้นี้!” เซียวยวี่กล่าวอย่างตั้งตารอคอย
หลิ่วสวินเหมี่ยวเองก็รู้สึกอยากพบคุณชายหลัวยวี่ผู้นี้เช่นกัน “นั่นสิ หากในช่วงชีวิตที่เหลือได้พบคุณชายหลัวยวี่ ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรให้นึกเสียดายอีกแล้ว!”
ทั้งคู่ล้วนเป็นบัณฑิต ต่างก็เข้าอกเข้าใจซึ่งกัน จึงเกิดความรู้สึกเสียดายที่พบกันช้าไปขึ้นมา
หลิ่วสวินเหมี่ยวมองเซียวยวี่อีกครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยท่าทางประหลาดใจ “คุณชาย ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพบกันหรือไม่?”
เซียวยวี่ส่ายหน้า “ข้าเคยมาซื้อตำราเพียงสองหน”
หลิ่วสวินเหมี่ยวมองเซียวยวี่อีกแวบหนึ่ง รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างดูคุ้นหน้า เหมือนจะเคยพบที่ไหน แต่ก็เหมือนจะไม่เคย
เซียวยวี่ซื้อตำราสำหรับสอนเด็กๆ ในบทเรียนแรกเริ่มอีกหลายเล่ม หลิ่วสวินเหมี่ยวหยิบตำราที่สถานศึกษาทั่วไปใช้ ยื่นส่งให้เซียวยวี่ “สถานศึกษาทั้งหมดในตัวเมืองที่สอนเด็กในบทเรียนแรกเริ่ม ล้วนใช้ตำราเล่มนี้ คิดว่าน่าจะไม่เลว! ”
เซียวยวี่ไม่เคยสอนเด็กเรียนหนังสือ อย่างมากก็สอนเซียวจื่อเซวียนเขียนหนังสือในยามปกติ
“เช่นนั้นก็ใช้เล่มนี้” เมืองโยวหลันมีสถานศึกษาสามถึงสี่แห่ง ในเมื่อสถานศึกษาเหล่านี้ล้วนแต่ใช้ตำราเล่มนี้สอนบทเรียนแรกเริ่มให้เด็กๆ เช่นนั้นย่อมต้องไม่เลว!
รับตำรา ชำระเงินเสร็จ หลิ่วสวินเหมี่ยวจึงส่งเขาไปที่ประตูด้วยตัวเอง ด้านหน้าเยื้องข้างมีร้านน้ำชาหนึ่งร้านพอดี สตรีที่สวมใส่ชุดสีขาวผ่องดุจหิมะคนหนึ่งหันหลังกลับมามองแวบหนึ่ง
จากนั้นจึงรีบหันขวับกลับไป
เร็วจนหลิ่วสวินเหมี่ยวไม่ทันได้เห็นรูปลักษณ์หน้าตาของสตรีผู้นั้น เห็นแค่เพียงแวบเดียว ก็รู้สึกว่า… สตรีผู้นั้นดูคุ้นตานัก คล้ายกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
แต่อีกฝ่ายเป็นสตรี เขาจะตามไปถามว่าพวกเขาเคยพบกันที่ไหนก็ไม่ดี หลิ่วสวินเหมี่ยวไม่ได้คิดมาก เมื่อส่งเซียวยวี่เสร็จ จึงกลับเข้าไป
เซียวยวี่สาวเท้าก้าวเดินไปทางร้านน้ำชา เซี่ยยวี่หลัวรินน้ำชาที่สั่งไว้เมื่อครู่ให้เขาหนึ่งถ้วย เซียวยวี่รับมาดื่ม เซี่ยยวี่หลัวยื่นส่งขนมให้เขาหนึ่งชิ้น
เซียวยวี่ที่ปกติไม่ชอบกินอาหารรสหวานไม่ได้ขมวดคิ้วด้วยซ้ำ รับมากินทันที
“ซื้อตำราเสร็จหรือยัง? ” เซี่ยยวี่หลัวพลิกดูข้าวของที่เซียวยวี่นำกลับมา
เซียวยวี่กินขนมคำสุดท้ายจนหมด ดื่มน้ำชาให้ชุ่มคอ ก่อนพยักหน้า “ซื้อเสร็จแล้ว เถ้าแก่หลิ่วผู้นั้นบอกว่านี่คือตำราสำหรับผู้เริ่มเรียนที่ใช้กันทั้งเมือง ข้าจึงซื้อมา นอกจากนั้น…” เซียวยวี่หยิบตำราเล่มในสุดออกมาหนึ่งเล่ม ยิ้มพร้อมกล่าว “กลับไปจะเล่านิทานให้เจ้าฟัง ซีโหยวจี้เล่มสุดท้ายก็ซื้อมาแล้ว”
ฟังนิทานหรือ!
ตั้งแต่เซียวยวี่พบว่าเซี่ยยวี่หลัวชอบฟังนิทาน เขาก็อ่านซีโหยวจี้เล่มหนึ่งและเล่มสองให้เซี่ยยวี่หลัวฟังหนึ่งรอบ
เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยขึ้น “ได้สิ! ” นางอ่านเรื่องนี้จนท่องได้อย่างลื่นไหลแล้ว แต่มีคนใช้น้ำเสียงไพเราะถึงเพียงนี้เล่าให้นางฟังอีกหนึ่งรอบ ก็ไม่เลวเลย!
จู่ๆ เซียวยวี่ก็ตบศีรษะตัวเองทีหนึ่ง ก่อนกล่าว “ข้าลืมอีกแล้ว เจ้ารู้หนังสือ…” นางอ่านหนังสือได้ ไม่จำเป็นต้องให้เขาอ่านให้ฟัง!
เซียวยวี่ที่รู้สึกยินดีที่เซี่ยยวี่หลัวรู้หนังสือมาตลอด จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ค่อยมีความสุขเสียแล้ว
หากอาหลัวไม่รู้หนังสือ เขาจะได้กอดนางไว้ อ่านนิทานเล่มหนาถึงเพียงนี้ให้นางฟัง ช่างน่าเสียดายจริงๆ!
“ไม่เป็นไร ข้าไม่อยากอ่าน เจ้าเล่าให้ข้าฟังเถิด! ” เซี่ยยวี่หลัวขยับเข้าไปใกล้เพื่อออดอ้อน
เซียวยวี่ได้ฟังดังนั้น ก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ หันมองดูรอบข้าง ตอนนี้ยังอยู่ริมถนนใหญ่ มิเช่นนั้น คงต้องโอบกอดนางไว้ในอ้อมอกเพื่อลิ้มลองรสชาติสักหนหนึ่งให้ได้
ทั้งคู่ไปซื้อเนื้อหมูอีกจำนวนหนึ่ง ซื้อขนมอีกสองกล่อง ทั้งยังซื้อพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และจานฝนหมึกเพิ่มอีกเล็กน้อย แล้วจึงรีบไปยังร้านขายเครื่องเรือน
ของที่เซียวยวี่ซื้อถูกขนขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว รอเพียงให้คนกลับมานั่งรถม้ากลับไปเท่านั้น
คนขับรถม้าเป็นคนของร้านขายเครื่องเรือน เป็นท่านลุงวัยกลางคน นอกจากจะขับรถม้า ก็จะไปช่วยขนสินค้าลงด้วย ดูไปแล้วเป็นคนซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก
“พวกท่านซื้อโต๊ะเก้าอี้มากมายขนาดนี้กลับไปทำอะไรหรือ? ” ท่านลุงเอ่ยถามขึ้นระหว่างทางกลับ
เซียวยวี่กล่าวตอบ “กลับไปเปิดสถานศึกษา! ”
ท่านลุงวัยกลางคนเป็นคนมีสายตาเฉียบแหลม เห็นว่าบุคลิกของเซียวยวี่ดูไม่ธรรมดา แค่ดูก็รู้ว่าเป็นบัณฑิตผู้สง่างาม พอได้ยินว่าเขาจะกลับไปเปิดสถานศึกษา ก็กล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม “ที่แท้ท่านเป็นอาจารย์ เสียมารยาทแล้ว! ”
คนที่เป็นอาจารย์ได้ล้วนแต่เป็นผู้ที่สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ
โบราณกล่าวไว้ ซิ่วไฉพบนายอำเภอสามารถไม่คุกเข่าได้! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านทั่วไปอย่างพวกเขาที่ไม่รู้หนังสือ!
ท่านลุงวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าปลงอนิจจัง “ดังนั้นเกิดเป็นคน ต้องได้เรียนหนังสือถึงจะดี เรียนแล้วสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่เหมือนพวกเรา ไม่เคยเล่าเรียนตั้งแต่เด็ก ได้แต่ทำงานหยาบงานสกปรกแบบนี้ ทำได้แต่งานที่ต่ำต้อย”
เซี่ยยวี่หลัวที่อยู่ข้างๆ แย้มรอยยิ้ม “ท่านลุง งานนั้นไม่แบ่งแยกสูงส่งหรือต่ำต้อย มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน! มนุษย์เกิดมาล้วนเท่าเทียม ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้เล่าเรียน เพียงแต่ทุกคนไม่มีความคิดเช่นนี้เท่านั้นเอง ทว่า พวกเราทำงาน ล้วนแต่มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือทำให้คนในครอบครัวของเรามีชีวิตดียิ่งขึ้น หาเลี้ยงชีพโดยอาศัยมือทั้งคู่ของเรา พวกเราทุกคนล้วนแต่สูงส่ง! ”
เซียวยวี่หันมองเซี่ยยวี่หลัวอย่างผิดคาด ได้ฟังวาจานี้ของนาง ก็รู้สึกประจักษ์แจ้งขึ้นมาทันที!
มนุษย์เกิดมาเท่าเทียม ไม่แบ่งสูงส่งหรือต่ำต้อย งานก็ไม่แบ่งสูงส่งหรือต่ำต้อยเช่นกัน ไม่ว่าจะรับราชการเป็นขุนนางทำงานเบาสบาย หรือทำงานแบกหามที่ยากลำบากก็ตาม เป้าหมายของพวกเขา ก็คือทำให้คนในครอบครัวตัวเองมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้น!
ท่านลุงขับรถม้ามาทั้งชีวิต ขนสินค้ามาทั้งชีวิต ถูกคนตะคอกตะโกนใส่ตลอด ตัวเขาไม่เคยมีเกียรติแม้แต่น้อย บัดนี้ได้ฟังแม่นางตัวน้อยบอกว่าเขาเองก็สูงส่ง กระดูกสันหลังที่ถูกกดทับจนโค้งงอพลันเหยียดตรงขึ้นเล็กน้อย
“ฮูหยินกล่าวได้ถูก พวกเราล้วนหาเลี้ยงชีพโดยอาศัยมือคู่นี้ของตัวเอง ไม่ได้แย่งชิงหรือลักขโมย พวกเราก็เป็นคนสูงส่งเหมือนกัน! ” เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนเรียนหนังสือบอกว่า ตัวเองที่หาเลี้ยงชีพโดยอาศัยแรงกาย ก็เป็นคนสูงส่งเช่นกัน!
“ใช่แล้ว! ” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพลางขานตอบ “ขอเพียงพวกเราพยายาม ชีวิตต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน”
ไม่มีคนที่จะยากจนไปตลอด จะมีก็แต่คนเกียจคร้านที่ไม่ยินยอมจะทำงาน
ขอเพียงเป็นคนที่มีมือมีเท้าทำงานได้ จะอยู่ที่ไหนก็หางานทำได้ จะไปที่ไหนก็หาเงินได้ หาเงินได้ก็จะทำให้ครอบครัวมีสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น สามารถทำให้ภรรยาและบุตรมีชีวิตที่ดีขึ้น สามารถสอนสั่งเลี้ยงดูบุตรให้ดี ทำให้ในอนาคตบุตรของตัวเองมีทางเลือกมากกว่าตัวเอง
“เช่นนั้นฮูหยิน ท่านคิดว่า ลูกของข้าอายุสิบเอ็ดปีแล้ว ข้าส่งเขาไปสถานศึกษา จะสายไปหรือไม่? ” ท่านลุงเอ่ยถาม “ข้าไม่เคยเรียนหนังสือ ชีวิตนี้จึงต้องลำบากเพราะไม่เคยเรียนหนังสือ ทำได้แต่งานใช้แรงงาน แต่ข้าไม่อยากให้ลูกชายเป็นเหมือนข้า ตอนนี้เขาเลี้ยงวัวอยู่ทุกวัน หากไม่เรียนหนังสือ ก็ต้องเลี้ยงวัวไปชั่วชีวิต! ข้าก็อยากให้เขามีอนาคตที่ดี ข้าหาเงิน ก็เพราะอยากให้เด็กๆ มีชีวิตที่ดีไม่ใช่หรือ? ”
“ไม่สายเลย ขอเพียงท่านอยากเปลี่ยนแปลง อย่าว่าแต่อายุสิบเอ็ดปีเลย ต่อให้อายุยี่สิบเอ็ดปี ก็ไม่สาย” เซี่ยยวี่หลัวกล่าว
“เซียวยวี่ ข้าหวังเหลือเกินที่จะเห็นว่าผู้คนในต้าเยว่ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก ทุกคนจะสามารถเรียนหนังสือได้ หากทุกคนได้เล่าเรียน เช่นนี้ เส้นทางในอนาคตของพวกเขา ก็จะมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยความคาดหวังต่ออนาคตอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เซียวยวี่มองเซี่ยยวี่หลัวด้วยความตกตะลึง พลิกมือจับมือเล็กของนางไว้ในฝ่ามือ ก่อนกล่าวอย่างหนักแน่น “ต้องเป็นเช่นนั้นแน่! ”
เขาเชื่อว่า ความฝันเรื่องนี้ของเซี่ยยวี่หลัวต้องเป็นจริงได้แน่!
เซียวยวี่เชื่อเช่นนั้น