ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 14 บทที่ 406 คิดจะเปลี่ยนคนที่ไม่เคยเปลี่ยน ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 14 บทที่ 406 คิดจะเปลี่ยนคนที่ไม่เคยเปลี่ยน ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์
เจ้าของร่างเดิมเป็นคนมีนิสัยชอบซื้อ นางมักจะซื้อของเป็นประจำ ในตู้มีชุดฤดูร้อนเตรียมไว้อยู่หลายชุด ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าเนื้อดี อย่างไรเสียนางก็ยังต้องโตขึ้นอีก รอให้ผ่านฤดูร้อนนี้ไปค่อยตัดเสื้อใหม่ก็แล้วกัน
เซียวยวี่ขมวดคิ้ว รู้สึกผิดคาดเล็กน้อย
ต้องรู้ว่า เซี่ยยวี่หลัวในอดีต ขอเพียงเข้าไปในตัวเมือง ก็ต้องหอบถุงเล็กถุงใหญ่เข้าบ้าน ต่อให้ทั้งตัวเหลือเงินเพียงสองอีแปะสุดท้าย ก็ต้องซื้อซาลาเปาไส้หมูสักลูกเพื่อใช้เงินจนหมด
มาบัดนี้…
อุปนิสัยของนางกลับเปลี่ยนไป
ทว่าเซียวยวี่ไม่ได้รู้สึกผิดคาดนานนัก ก็ปล่อยวางแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวในตอนนี้เปลี่ยนไปมาก การไม่ซื้อของเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เล็กเสียยิ่งกว่าอะไร เซียวยวี่จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
เซี่ยยวี่หลัวเลือกผ้าให้เซียวยวี่สองพับ พับหนึ่งเป็นสีคราม อีกพับหนึ่งเลือกสีขาว
นางพบว่ายามเซียวยวี่สวมใส่เสื้อผ้าสีขาว จะดูงามสง่าประหนึ่งต้นหยกท่ามกลางสายลมก็มิปาน
เซี่ยยวี่หลัวหยิบผ้าสีขาวมา กล่าวโดยไม่สนใจเขา “ยังมีผืนนี้ ฮวาเหนียง ท่านตัดเย็บสีนี้ให้อีกชุดหนึ่ง”
เมื่อครู่เซียวยวี่ตอบตกลงจะทำหนึ่งชุดแล้ว ตอนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชุด เขาก็ยังคงปฏิเสธอยู่เช่นเดิม “อาหลัว ข้าเอาแค่ชุดเดียวก็พอ อีกไม่นานก็จะผ่านช่วงฤดูร้อนแล้ว”
เซี่ยยวี่หลัวกะพริบตาปริบๆ “เช่นนั้นจะเก็บไว้ที่ข้าเพียงชุดเดียวหรือ? หากสกปรกจะทำเช่นไร? ” ความหมายของนางคือ อากาศร้อนเกินไป หากเสื้อเปียก อย่างน้อยก็ควรมีไว้เปลี่ยนกระมัง?
เซียวยวี่ “…” วาจานี้ เหตุใดฟังดูชวนคิดนัก!
อะไรคือทำให้สกปรก เขาอยู่กับนาง ยังมีช่วงเวลาใดที่จะทำให้เสื้อผ้าสกปรกอีก
อยู่ต่อหน้าคนนอก ใบหน้าเซียวยวี่ขึ้นสีแดงในทันใด เม้มริมฝีปากอยากยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ได้ กลั้นไว้อย่างยากลำบาก
เด็กโง่คนนี้ เรียนรู้ที่จะหยอกเย้าเขาแล้ว
ฮวาเหนียงมองเซี่ยยวี่หลัว ก่อนหันมองเซียวยวี่ที่ตวัดมุมปากขึ้น ดีใจจนแทบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนรีบกล่าว “ได้ได้ได้ มาแล้ว มาแล้ว”
หลังจากวัดขนาดตัวให้เซียวยวี่เสร็จ เซี่ยยวี่หลัวจึงไปยังลานด้านหลังกับฮวาเหนียงตามลำพัง
เมื่อเห็นท่าทางแม่หนูนี่มีลับลมคมใน ฮวาเหนียงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “มีอะไรหรือ? ยวี่หลัว? ”
เซี่ยยวี่หลัวปิดประตูห้อง ยื่นส่งสิ่งของสองอย่างที่บรรจุอยู่ในขวดแก้วให้ฮวาเหนียง
ขวดแก้วโปร่งใสทรงสูง ดูดียิ่งนัก ภายในมีของเหลวบรรจุไว้ ฮวาเหนียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ยวี่หลัว นี่คือสิ่งใด? ”
ฮวาเหนียงกล่าวพลางเปิดฝาออก กลิ่นหอมของดอกไม้พลันโชยมา ฮวาเหนียงแสดงสีหน้ายินดีเสียเต็มประดา “ยวี่หลัว…”
เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “ที่ข้ามีน้ำดอกไม้มากเกินไป โดยข้าคิดว่าจะทำแต่เพียงสบู่ไม่ได้ ต้องผลิตสินค้าใหม่ออกมาด้วย ทำของอย่างอื่นบ้าง นี่คือน้ำยาอาบน้ำและน้ำยาสระผมที่ข้าเพิ่งทำเสร็จเมื่อวาน ข้าลองใช้ดูแล้ว รู้สึกว่าใช้ได้ดีมากทีเดียว จึงนำมาให้ท่านใช้ส่วนหนึ่ง ท่านลองใช้ดูว่าดีหรือไม่! ”
ฮวาเหนียงเอ่ยถาม “น้ำยาอาบน้ำ น้ำยาสระผม? เจ้า เจ้าน้ำยาอาบน้ำนี่ใช้อาบตัวหรือ? แล้วน้ำยาสระผมนี่เล่า ใช้สระผมใช่หรือไม่? ”
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า “ท่านดูขวดที่มีสีขาวเล็กน้อย นี่คือน้ำยาสระผม ส่วนขวดที่ผสมกลีบดอกไม้ละเอียดไว้เล็กน้อย คือน้ำยาอาบน้ำ ฮวาเหนียง คืนนี้ท่านลองใช้ดู ลองดูว่าเทียบกับสบู่ สิ่งนี้จะดีกว่าหรือไม่”
ฮวาเหนียงตอบตกลงด้วยความยินดี “ไม่รู้จริงๆ ว่าในหัวของเจ้าใส่อะไรไว้บ้าง มักจะคิดถึงสิ่งที่ผู้อื่นไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ! ”
เซี่ยยวี่หลัวยิ้ม “ปกติข้าชอบทำของเหล่านี้ แต่ข้าคิดว่าดีเพียงคนเดียวยังไม่พอ ฮวาเหนียง ท่านช่วยข้าทดลองใช้ด้วย! หากรู้สึกว่ามีตรงไหนที่ไม่ดี ท่านก็บอกข้า ข้าจะได้ลองปรับเปลี่ยนวิธีการดู”
“ได้ คืนนี้ข้าจะลองดู! ” ฮวาเหนียงถือขวดแก้วสองใบไว้ รู้สึกยินดีเสียยิ่งกว่าอะไร
เซี่ยยวี่หลัวบอกกล่าวกับฮวาเหนียงว่าควรใช้อย่างไร หลังจากกล่าวอำลาฮวาเหนียงแล้วจึงกลับไปพร้อมเซียวยวี่
ฮวาเหนียงส่งพวกเขาถึงหน้าประตู เห็นตอนพวกเขาสองคนจากไป นิ้วมือทั้งสิบยังเกี่ยวประสานกัน ยังคงเกาะกุมกันไว้แน่น
ช่างเป็นสามีภรรยาที่รักกันหวานชื่นเสียจริง เห็นแล้วรู้สึกอิจฉายิ่งนัก
หลังจากส่งลูกค้าชุดสุดท้ายออกไป ฮวาเหนียงจึงให้คนลงกลอนประตู แต่ที่ไหนได้ เวลานี้จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งพุ่งพรวดเข้ามา ชี้ฮวาเหนียงพลางตะคอกเสียงดัง “ใครให้ท่านเปลี่ยนผ้าที่ข้าเลือกไว้ให้ญาติผู้พี่กัน! ”
ฮวาเหนียงตกใจสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นเห็นว่ากู้ซินเยว่มา จึงรีบยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “ที่แท้คุณหนูกู้นี่เอง ท่านนั่งก่อน มีอะไรค่อยพูดค่อยจา”
“ใครจะค่อยพูดค่อยจากับท่าน ครั้งก่อนข้าเลือกเนื้อผ้าสีสันสดใสไว้ให้ญาติผู้พี่ชัดๆ แล้วที่ท่านส่งไปคืออะไร? ” กู้ซินเยว่กล่าวด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด
นางเพิ่งไปที่เซียนจวีโหลว ก็พบกับถงเต๋อที่นำเสื้อไปส่งพอดี
เมื่อเห็นท่าทางหลบๆ ซ่อนๆ และอ้ำอึ้งของถงเต๋อ กู้ซินเยว่ก็คาดเดาได้ทันที
ต้องเป็นเสื้อสองตัวที่นางเลือกไว้ให้ญาติผู้พี่ ถูกฮวาหม่านยีเปลี่ยนสีโดยพละการเป็นแน่
ตอนนั้นกู้ซินเยว่โมโหจนแทบจะกัดฟันจนแหลกทั้งปาก แต่ตอนนั้นนางอยู่ที่เซียนจวีโหลว จึงไม่กล้าแสดงอารมณ์ออกมา บัดนี้ออกจากเซียนจวีโหลวแล้ว นางยิ่งคิดยิ่งโมโห จึงมุ่งตรงมายังฮวาหม่านยี มุ่งหมายจะด่าฮวาเหนียงอย่างสาดเสียเทเสีย
ฮวาเหนียงยิ้มเจื่อน ค่อยๆ อธิบาย “คุณหนูกู้ ท่านฟังข้าอธิบายก่อน…”
“ใครอยากฟังท่านอธิบาย! ” กู้ซินเยว่โมโหถึงขีดสุด มองฮวาเหนียงอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามดูแคลน ทั้งยังมีความขุ่นเคือง
ฮวาเหนียง “คุณหนูกู้ ปกติท่านซ่งสวมใส่เพียงเสื้อผ้าสีฟ้าคราม…”
“ดังนั้น หรือว่าข้าไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้กัน? เป็นเช่นนั้นจริงที่เขาชอบแต่สีฟ้าคราม แต่เขาจะชอบสีอื่นไม่ได้เชียวหรือ? ” กู้ซินเยว่กัดริมฝีปาก กล่าวด้วยอารมณ์โทสะ
ฮวาเหนียงไม่สามารถตอบได้ “เรื่องนี้…”
กู้ซินเยว่เห็นว่านางกล่าวไม่ออก จึงกล่าวอย่างเย็นชา “นึกว่าฮวาหม่านยีของท่านจะดีแค่ไหน ที่แท้ก็มีดีแค่นี้ กล้าเปลี่ยนผ้าที่ลูกค้าเลือกไว้โดยพละการ เถ้าแก่ฮวา ท่านเก่งกาจนัก! วันนี้ข้าถือว่าได้รู้แล้ว”
ฮวาเหนียง “คุณหนูกู้ หากท่านยังชอบผ้าสองพับนั้น ทางข้าจะตัดให้ท่านใหม่อีกสองชุดโดยไม่คิดเงิน”
“ใครอยากได้กัน! ” กู้ซินเยว่กล่าวจบ สาวเท้าก้าวเดินออกจากฮวาหม่านยีทันที
เวลานี้ถงเต๋อเพิ่งเดินมา ทำสีหน้าลำบากใจ “คุณหนูกู้ผู้นี้ช่างพูดคุยด้วยยากเสียจริง เมื่อครู่ตอนอยู่เซียนจวีโหลว ข้าเกือบโดนนางซักถามจนขาอ่อน! ” ดูไปแล้วก็เป็นสตรีตัวน้อยที่มีรูปลักษณ์หน้าตาดี เหตุใดจึงโมโหร้ายถึงเพียงนี้!
ตกใจแทบตาย!
ฮวาเหนียงทอดถอนใจ
ถงเต๋อกล่าวต่อ “ฮวาเหนียง เหตุใดเมื่อครู่ท่านถึงไม่อธิบายสักคำ ปล่อยให้คุณหนูกู้ว่ากล่าวท่านเช่นนั้น? ทั้งที่สีของเสื้อ เป็นท่านซ่ง…”
ฮวาเหนียงปราดตามองถงเต๋อแวบหนึ่ง ถงเต๋อไม่ได้กล่าวต่อ
“หากนางยืนกรานจะเอาเสื้อสองตัวนั้น ถงเต๋อ ให้คนไปตัดเย็บเสื้อเสีย”
“แต่ทางเถ้าแก่ซ่ง เขา…” เถ้าแก่ซ่งไม่มีทางรับ!
ฮวาเหนียงยิ้มอย่างเย็นเยียบพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้มีประโยคหนึ่งของคุณหนูกู้ที่กล่าวได้ไม่ผิด ทำไมนางจะทำให้เถ้าแก่ซ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้? ”
“แต่เถ้าแก่ซ่ง…” ถงเต๋อรู้จักซ่งฉางชิงมานานหลายปี คนผู้นี้ ตั้งแต่รับช่วงสืบทอดเซียนจวีโหลวเป็นต้นมา ถงเต๋อก็ไม่เคยเห็นคนผู้นี้สวมใส่เสื้อผ้าสีอื่นอีกเลย
ฮวาเหนียงโบกมือ “ข้าก็รู้ แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลูกค้าเลือก ทำให้คนนี้พึงพอใจแต่ไม่อาจทำให้อีกคนพึงพอใจ เจ้าให้คนตัดเย็บเสื้ออีกสองตัวตามสีที่คุณหนูกู้เลือกไว้ครั้งก่อน ถึงเวลาข้าจะนำไปส่งให้คุณหนูกู้ด้วยตัวเอง พร้อมขอขมานาง! ”
ถงเต๋อเห็นว่าเถ้าแก่เนี้ยของตัวเองยืนกรานจะทำเช่นนี้ ก็ได้แต่ขานตอบ “ขอรับ ข้าจะให้คนไปทำเดี๋ยวนี้”
ฮวาเหนียงมองดูสีท้องฟ้าภายนอกพลางส่ายหน้า
นางไม่มีทางมองคนพลาด แต่กับคุณหนูกู้ผู้นี้ กลับมองผิดไป
ที่กู้ซินเยว่กล่าวมาอาจถูกต้อง หรืออาจผิดก็เป็นได้
หมายจะเปลี่ยนคนที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์
และสิ่งที่ซ่งฉางชิงไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน คาดว่าคงมีเพียงเรื่องเดียวคือ ภายในใจของซ่งฉางชิง ไม่มีกู้ซินเยว่ก็เท่านั้น
บางทีภายในใจกู้ซินเยว่ก็มีความคิดนี้เช่นกัน ดังนั้นวันนี้ นางจึงโมโหและร้อนรนจิตใจถึงเพียงนี้
กู้ซินเยว่ขึ้นรถม้าไปด้วยอารมณ์โมโหคุกรุ่น เพิ่งขึ้นรถม้า ความโมโหก็สลายหายไปจนสิ้น หยาดน้ำตาพลันไหลรินประหนึ่งสร้อยไข่มุกที่สายเอ็นขาด
จื่อเยียนที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหยาดน้ำตาบนใบหน้าให้นาง “คุณหนู ท่านอย่าโมโหเลยเจ้าค่ะ ฮวาหม่านยีไม่ฟังคำสั่งของท่าน ท่านอย่าเสียใจเลย อย่าโมโหจนเสียสุขภาพตัวเองนะเจ้าคะ! ”
กู้ซินเยว่ร่ำไห้จนใช้มือปิดหน้าร้องไห้โฮออกมา “หากญาติผู้พี่มีข้าอยู่ในใจแม้เพียงน้อยนิด มีหรือที่เขาจะปล่อยให้คนของฮวาหม่านยีหักหน้าข้า”
ยังจำได้ว่าตอนนั้นนางกล่าวอย่างดีอกดีใจว่านั่นเป็นสีสันอันงดงามที่นางตั้งใจเลือกให้ ญาติผู้พี่ต้องชอบแน่นอน แต่ที่ไหนได้ พอเปิดฝาออก สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือสีฟ้าครามที่มืดหม่นจืดจาง
ตอนนั้นหัวใจของนาง รู้สึกเจ็บปวดเหลือคณานับ
กู้ซินเยว่ย่อมรู้ว่าฮวาหม่านยีไม่มีทางเปลี่ยนเงื่อนไขของลูกค้าโดยพละการ ต้องมีคนบอกให้ทำแน่!
แต่กู้ซินเยว่ไม่กล้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น!
ดังนั้น นางจึงโยนความผิดเรื่องเปลี่ยนแปลงสีผ้าของลูกค้าโดยพละการให้ฮวาเหนียง หากโยนเรื่องนี้ให้ญาติผู้พี่ เช่นนั้นนางจะไม่มีทางถอยอีก
จื่อเยียนเข้าใจดี “คุณหนู ท่านอย่าเสียใจเลยเจ้าค่ะ ท่านจะยึดติดเรื่องคุณชายชอบสีอะไรไปทำไมเจ้าคะ? พวกเรามาเรือนตระกูลซ่งนานถึงเพียงนี้ ได้ยินมาว่าทุกคนต่างรู้ว่าคุณชายชอบสีฟ้าคราม สวมใส่เสื้อสีฟ้าคราม เสื้อซับในสีขาว ถุงเท้าสีขาว รองเท้าสีดำ เป็นเช่นนี้เสมอมา คุณชายไม่เคยเปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าคุณชายเป็นคนรักมั่น คุณหนู คุณชายเป็นคนรักมั่นไม่ดีหรือเจ้าคะ? “
“ตอนนี้เขายังไม่ชอบคุณหนู ย่อมไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงที่คุณหนูให้เขาทำ แต่หากเขาชอบคุณหนูเล่า? คุณชายที่รักมั่นเช่นนั้น ต่อไปทั้งในใจและในสายตาก็จะมีเพียงคุณหนูคนเดียวนะเจ้าคะ! ” จื่อเยียนเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น
เหตุผลเหล่านี้ กู้ซินเยว่ย่อมเข้าใจดี
แต่นางไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรให้ญาติผู้พี่ชอบนาง!
นางเคยลองพยายามตั้งมากมาย ทั้งยังเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้ญาติผู้พี่ แต่ทุกครั้งที่เขาพบนาง กลับทำราวกับไม่รู้อะไรเลย
“เจ้าคิดว่าญาติผู้พี่เห็นจดหมายฉบับนั้นหรือยัง? เหตุใดยามเขาพบข้า ถึงทำราวกับไม่มีอะไรเลย! ” กู้ซินเยว่ร่ำไห้แทบขาดใจ หยาดน้ำตาไหลลู่ลงมาประหนึ่งน้ำทะลักออกจากเขื่อนอย่างไรอย่างนั้น
“คุณหนู ท่านอย่าเพิ่งใจร้อน คุณชายงานยุ่งถึงเพียงนั้น บางทีอาจยังอ่านตำราไม่ถึงตอนท้าย รอให้คุณชายพลิกเปิดถึง เขาก็จะเห็นเองเจ้าค่ะ” จื่อเยียนปลอบโยนกู้ซินเยว่ไม่หยุด “คุณหนู ใกล้ถึงบ้านแล้ว ท่านอย่าร้องอีกเลย ประเดี๋ยวฮูหยินเฒ่าเห็นเข้าจะเศร้าใจอีก ฮูหยินเฒ่ารักท่านถึงเพียงนั้น นางต้องช่วยท่านแน่นอนเจ้าค่ะ! “
กู้ซินเยว่ทำปากบุ้ย เช็ดคราบน้ำตาจนสะอาด
ขอเพียงท่านป้ายังอยู่ข้างนาง นางก็ยังมีโอกาส
“ได้ ขอเพียงข้างกายญาติผู้พี่ยังไม่มีสตรีอื่น ขอเพียงท่านป้ายังอยู่ข้างข้า ข้าก็ยังมีโอกาส! “
เมื่อเห็นคุณหนูไม่เสียใจและไม่ร้องไห้แล้ว จื่อเยียนจึงผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก เห็นท่าทางทะเยอทะยานของคุณหนู จื่อเยียนเอง… รู้สึกว่าไม่ค่อยดีนัก
คนอย่างคุณชาย… จะฟังฮูหยินเฒ่าหรือ?
จื่อเยียนไม่มั่นใจ แต่นางรู้ว่านี่คือความฝันของคุณหนู นางจะทำลายความฝันของคุณหนูไม่ได้