ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 14 บทที่ 415 เซี่ยยวี่หลัว เจ้าช่าง
ยามที่พบกันครั้งแรก เด็กสองคนร่างกายซูบผอม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เรียกได้ว่าทั้งเก่าทั้งขาด ยืนอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้า มีท่าทางหวั่นเกรง ไม่มีความกล้าแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้เล่า…
ซ่งฉางชิงเพ่งมองเด็กสองคนที่เขาแทบจำไม่ได้อย่างตั้งใจ เด็กสองคนนี้ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า บัดนี้เต็มไปด้วยความร่าเริงและน่ารักอย่างที่เมื่อหลายเดือนก่อนไม่มี
แม้แต่รูปลักษณ์หน้าตาของเด็กสองคนนี้ก็ดูดีมีสง่ามากขึ้น
ซ่งฉางชิงรู้ว่าปีนี้สามีของเซี่ยยวี่หลัวไปสอบซิ่วไฉ จวบจนถึงเดือนห้าจึงกลับมา ถึงแม้เขาจะกลับมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ซ่งฉางชิงก็รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงของเด็กสองคนนี้ น่าจะเกิดจากสตรีที่อยู่ข้างๆ
นางมีดวงตาสดใส แย้มรอยยิ้มพราว ประหนึ่งภาพวาดงดงามที่สุดที่สวรรค์สรรสร้างขึ้น ทุกอิริยาบถ รวมถึงสีหน้าท่าทาง ล้วนมีเสน่ห์ชวนหลงใหลถึงเพียงนั้น
ซ่งฉางชิงเพ่งมองสตรีที่กำลังแย้มรอยยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด
เซียวยวี่เป็นคนที่มีสัมผัสฉับไวมาก สัมผัสได้ว่าด้านหลังมีสายตาไม่เป็นมิตรกำลังเพ่งมองพวกเขาอยู่ จึงหันกลับไปมอง แต่กลับไม่พบอะไรเลย
เหล่าลูกค้ากำลังกินดื่ม คึกคักเป็นอย่างมาก ไม่มีผู้ใดหันมองมาทางนี้
เซี่ยยวี่หลัว “อายวี่ เจ้าเป็นอะไรไป? ”
เซียวยวี่ส่ายหน้า เพียงแย้มรอยยิ้ม จากนั้นจึงกุมมือเซี่ยยวี่หลัวที่อยู่บนโต๊ะไว้ในฝ่ามือ
แววตาคมกริบคู่นั้น ฉายประกายริษยายิ่งขึ้น
เด็กสองคนกินจนท้องกลมโต เซี่ยยวี่หลัวเรียกซ่งฝูมา ให้ช่วยคิดเงิน
เดิมทีปกติซ่งฝูเพียงไปฟังตัวเลขจากซ่งฉางชิง จากนั้นค่อยนำมาบอกกับลูกค้า มีลูกค้าบางคนให้เงินก่อน ซ่งฝูนำไป หาเงินทอนแล้วค่อยนำมาส่งคืน จากนั้นจะได้ส่งลูกค้าออกไป
คราวนี้ซ่งฝูก็ไปถามคุณชายว่าโต๊ะของเซี่ยยวี่หลัว อาหารทั้งหมดคิดเป็นเงินจำนวนเท่าไร
ซ่งฉางชิงไม่สนใจเขา
ซ่งฝูนึกว่าโถงใหญ่เสียงดังวุ่นวายเกินไป คุณชายไม่ได้ยิน จึงกล่าวอีกครั้ง “คุณชาย พวกฮูหยินเซียวกินเสร็จแล้ว ถามว่าเท่าไรขอรับ? ”
ซ่งฉางชิงเอาแต่มองสมุดบัญชีในมือตัวเองด้วยอาการเหม่อลอย ไม่สนใจซ่งฝู
ซ่งฝูคิดจะถามอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณชายคิดอะไรอยู่ อยากถามแต่ไม่กล้าถาม ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทั้งร้อนใจทั้งรู้สึกเกรงใจ
ยังดีที่เมื่อเซี่ยยวี่หลัวไม่ได้รับคำตอบจากซ่งฝู นางจึงเดินมาด้วยตนเอง ส่วนเซียวยวี่พาเด็กสองคนไปรอนางอยู่ข้างนอกแล้ว
“ท่านซ่ง…” เซี่ยยวี่หลัวเดินไป กล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ซ่งฝูเห็นคุณชายของตนเองเหมือนคนเปลี่ยนหน้าเป็นอย่างไรอย่างนั้น เมื่อครู่ตอนตัวเองเอ่ยถาม เขาไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียว บัดนี้ฮูหยินเซียวกล่าวทักทายมาแต่ไกล เขากลับได้ยินอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้
โต๊ะคิดเงินนี้ซ่งฉางชิงสั่งทำพิเศษ
ด้านบนเป็นตู้ครึ่งซีกที่ค่อนข้างสูง ยามยืนขึ้น สามารถโน้มตัวพิงบนนั้นได้พอดี แต่นั่นไม่ได้มีไว้คิดเงิน ด้านล่างตู้ยังมีโต๊ะอีกหนึ่งตัว โต๊ะตัวนี้มีความสูงระดับเดียวกับโต๊ะอ่านตำราเขียนหนังสือตามปกติ ตรงนี้ถึงจะเป็นจุดคิดเงินของซ่งฉางชิง
ซ่งฉางชิงชอบความเงียบสงบ ด้วยเกรงว่าจะถูกผู้อื่นรบกวน ดังนั้นจึงทำตู้ครึ่งซีกที่ค่อนข้างสูงเพิ่ม หากไม่มีธุระอะไร เขาก็จะนั่งอยู่หลังโต๊ะเงียบๆ ตู้สูงบดบังเขาไว้ ทำให้เขาไม่เห็นความวุ่นวายภายนอก และความวุ่นวายภายนอกก็ไม่อาจรบกวนเขาได้
เวลานี้เขานั่งอยู่ ดูไปแล้วเย็นชาเรียบสงบ แต่ความคิดกลับลอยไปไกลแสนไกล
เมื่อได้ยินเสียงอ่อนหวานนั่น ซ่งฉางชิงลุกพรวดขึ้นดัง “ตึง” ด้วยความตื่นเต้น เห็นรอยยิ้มของเซี่ยยวี่หลัวพอดี หัวใจที่เย็นเยียบพลันรู้สึกเบิกบานใจ แต่สีหน้ากลับยังคงดูเย็นชาเรียบสงบ “ฮูหยินเซียว…”
เซี่ยยวี่หลัววางข้อศอกไว้บนตู้หน้าโต๊ะคิดเงิน ยิ้มพร้อมเอ่ยถาม “อาหารที่นี่รสชาติไม่เลวเลย รบกวนท่านช่วยคิดเงินด้วย เป็นเงินเท่าใดหรือ? ” นางก้มหน้า เปิดถุงเงิน รอคอยให้ซ่งฉางชิงบอกตัวเลขให้นาง นางจะได้ให้เงิน
ซ่งฉางชิงเอ่ยถาม “วันนี้เหตุใดฮูหยินเซียวถึงมีเวลาว่าง…” เขาหยุดชะงัก ก่อนเอ่ยถามต่อ “พาคนมากมายถึงเพียงนี้เข้ามาในตัวเมือง? ”
เซี่ยยวี่หลัวยิ้ม “อ๋อ นานๆ ทีอย่างไรเล่า ท่านซ่ง เท่าไรหรือ? ”
ซ่งฉางชิง “ปลาเมื่อครู่รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง? ”
“ไม่เลวเลย หนังกรอบเนื้อนุ่ม ไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย ดีมากทีเดียว” เซียวยวี่ยังรอนางอยู่ด้านนอก เด็กสองคนก็อดใจรอไม่ไหวอยากไปเที่ยวเล่นแล้ว “ท่านซ่ง…”
“ช่วงนี้ฮูหยินเซียวมีอาหารชนิดใหม่หรือไม่? ” ซ่งฉางชิงพูดขัดนาง
ซ่งฝูที่อยู่ข้างๆ “…” คุณชาย นางกำลังถามว่าอาหารมื้อนี้คิดเป็นเงินเท่าไร เหตุใดท่านถึงเอาแต่ถามเรื่องอื่นเล่า?
เซี่ยยวี่หลัวคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “มีจริงๆ ครั้งหน้าจะมาสอนพวกท่านทำไก่ปรุงรสเผ็ดเป็นอย่างไร? ”
ไก่ปรุงรสเผ็ด?
แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกเผ็ดแล้ว!
ซ่งฉางชิง “ใช้พริกผัดกับเนื้อไก่เช่นนั้นหรือ? ”
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า “อืม ใช่แล้ว อาหารชนิดนี้ที่นี่มีแล้วหรือ? ”
“มี ชื่อเนื้อไก่ผัดพริก แต่ชื่อไก่ปรุงรสเผ็ด กลับฟังดูดีกว่าเนื้อไก่ผัดพริกมากนัก” ซ่งฉางชิงเรียกซ่งฝูที่อยู่ข้างๆ มา “เจ้าจดชื่อไว้ เปลี่ยนจากชื่อเนื้อไก่ผัดพริกเป็นไก่ปรุงรสเผ็ด บอกกล่าวกับลูกจ้างทุกคนและพ่อครัวในห้องครัวด้วย”
ยามซ่งฝูทำงานนั้นตั้งใจเป็นพิเศษ “ขอรับ”
“อืม เช่นนั้นไว้มีเวลาว่างข้าจะลองคิดดูดีๆ ที่ท่านมีอาหารหลากหลายรูปแบบ รสชาติก็ดี ลูกค้าเยอะถึงเพียงนี้ มิน่าล่ะถึงได้เป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดในเมืองโยวหลัน! ” เซี่ยยวี่หลัวชื่นชม
“ต้องขอบคุณสูตรอาหารที่ฮูหยินเซียวมอบให้ ทำให้กิจการของเราดียิ่งขึ้น” ซ่งฉางชิงกล่าว “หากฮูหยินเซียวมีเวลาว่าง มิสู้มาเซียนจวีโหลว ปรึกษาเรื่องชื่ออาหารกับข้า ชื่ออาหารเหล่านี้ พอฮูหยินเปลี่ยนชื่อให้ ก็รู้สึกว่าไพเราะมากทีเดียว”
เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม กำลังคิดจะกล่าวอะไร
“อาหลัว…” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหลัง
เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้มกว้างขึ้น ซ่งฉางชิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองเซี่ยยวี่หลัวแวบหนึ่ง สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ารอยยิ้มของนางงดงามกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“อายวี่ กำลังพูดคุยเรื่องชื่ออาหารกับเถ้าแก่ซ่งอยู่! ” เซี่ยยวี่หลัวเดินขึ้นหน้าสองก้าว กอดแขนเซียวยวี่ไว้
เซียวยวี่เอื้อมมือ พลิกฝ่ามือจับมือของเซี่ยยวี่หลัวไว้แน่น “พวกเราไปกันเถิด เด็กสองคนอดใจรอไม่ไหวแล้ว”
“อืม ได้ แต่ข้ายังไม่ได้ชำระเงินเลย! ” เซี่ยยวี่หลัวขยิบตาด้วยท่าทางซุกซน
ซ่งฉางชิง “มื้อนี้ถือว่าข้าเลี้ยงฮูหยิน”
เซี่ยยวี่หลัว “ท่านซ่งอย่าได้เกรงใจ พวกเรายังคงต้องชำระเงิน! ”
ซ่งฉางชิง “ฮูหยินอย่าได้เกรงใจ ฮูหยินมาเซียนจวีโหลวหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยได้เลี้ยงอาหารฮูหยินเลย มื้อนี้ถือว่าข้าเลี้ยงฮูหยินเอง! ”
เซี่ยยวี่หลัว “…”
หากยังคงเกี่ยงกันไปมาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดถึงจะได้ไป
เซี่ยยวี่หลัวนึกขึ้นได้ว่าตอนเซียวยวี่สั่งอาหาร ซ่งฝูเคยบอกราคาไว้ อาหารสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง เซี่ยยวี่หลัวคิดคำนวณในใจครู่หนึ่ง ก่อนหยิบเงินออกมา แอบวางไว้ข้างโต๊ะคิดเงิน จากนั้นจึงยิ้มพลางโบกมือ “ท่านซ่ง ท่านซ่งน้อย พวกเราไปก่อน”
ซ่งฝูยิ้ม “คุณชายเซียว ฮูหยินเซียว ข้าน้อยจะส่งพวกท่านออกไปเองขอรับ! ”
ซ่งฉางชิงเงยหน้า หันมองออกไปนอกประตู
มือของบุรุษร่างสูงโปร่งดูสง่า จับมือของสตรีร่างบางอรชรที่อยู่ข้างๆ ไว้แน่น นิ้วทั้งสิบเกี่ยวประสานกัน
เกี่ยวประสานกันแน่นถึงเพียงนั้น…
ซ่งฉางชิงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ จิตใจวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม ซ่งฝูส่งพวกเขาเสร็จจึงกลับมา เขาตาดีจึงเห็นเงินที่วางไว้บนโต๊ะคิดเงิน ตำแหน่งที่วางไว้ เป็นตำแหน่งที่ฮูหยินเซียวยืนอยู่เมื่อครู่พอดี
ซ่งฝูตกใจ “คุณชาย ท่านดูขอรับ…”
ซ่งฉางชิงหันมองไป ก็เห็นซ่งฝูดันเงินจำนวนหนึ่งมา
ซ่งฝูลองนับดู “สองร้อยสามสิบสามอีแปะ! ”
ซ่งฉางชิงได้ฟังดังนั้น จู่ๆ ก็หันมองไปทางสมุดบัญชีที่เขาจดไว้เมื่อครู่ บนนั้นเขียนตัวเลขรวมไว้ สองร้อยสามสิบสามอีแปะ
ซ่งฝูบุ้ยปาก รู้สึกผิดคาดเล็กน้อย “หรือว่าฮูหยินเซียวจะเห็นขอรับ? ”
เป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่ซ่งฉางชิงปิดสมุดบัญชีไว้ตลอด เซี่ยยวี่หลัวไม่มีทางเห็นจำนวนเงินที่เขียนไว้ในนั้น
ซ่งฝู “เช่นนั้นคงเป็นตอนที่ข้าบอกราคาเมื่อครู่นี้ หรือว่าฮูหยินเซียวจะจำไว้? จำได้จึงคำนวณได้? ”
นางไม่ได้ใช้ลูกคิดเลย!
หวนคิดถึงตอนรับซื้อผักตี้เอ่อ นางก็คิดคำนวณในใจจนคิดตัวเลขออกมาได้เช่นกัน บัดนี้ได้เห็นอีกครั้ง ซ่งฝูรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก
นางมีความสามารถอย่างแท้จริง!
ซ่งฉางชิงเม้มริมฝีปากเบาๆ ส่งเสียงหัวเราะออกมา เซี่ยยวี่หลัว เจ้าช่าง…
เขาก้มหน้า วางพู่กันในมือลง ก่อนหันขวับเดินไปทันที
ซ่งฝูเอ่ยทัก “คุณชาย ท่านจะไปไหนขอรับ? ”
“เวียนหัว จะกลับไปพัก”
ซ่งฝู “…” ท่านบอกว่าหายแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงเวียนศีรษะอีกแล้ว?
ซ่งฝูเบ้ปากทีหนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจว่าคุณชายเป็นอะไรกันแน่ จังหวะนี้เอง ลูกค้าโต๊ะหนึ่งกินอาหารเสร็จแล้ว เรียกให้คิดเงิน ซ่งฝูจึงเดินไปหลังโต๊ะคิดเงิน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซ่งฝูก็งานยุ่งจนแทบไม่ได้พัก ไม่ได้เดินออกจากโต๊ะคิดเงินอีกเลย
ส่วนซ่งฉางชิงนั้นกลับไปนอนในห้องพักแล้วจริงๆ
ในห้องมีปิงเจี้ยน [1] วางอยู่ นับว่าเย็นสบาย
ซ่งฉางชิงนอนตัวตรงอยู่บนเตียง ไม่ได้หลับตา จ้องมองมุ้งสีขาวผ่องดุจหิมะที่อยู่เหนือศีรษะด้วยอาการเหม่อลอย
จู่ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้น หยิบหมอนที่หนุนนอนขึ้นอย่างแรง ก่อนขว้างปาลงไปบนพื้น
ซ่งฉางชิงมองหมอนที่ถูกปาไปไกล ก่อนมองดูมือของตัวเอง สีหน้าตกตะลึง ราวกับไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำเรื่องเช่นนี้ได้
เขารู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก จึงเดินไปด้วยเท้าเปล่า เก็บหมอนกลับมา ตบจนสะอาด ก่อนจะวางลงบนเตียงอีกครั้ง
ซ่งฉางชิงรู้สึกตัวเองจิตใจกระวนกระวาย หงุดหงิดไปหมด
เมื่อเหยียบลงบนพื้นด้วยเท้าเปล่า ไอเย็นถูกส่งตรงมาจากพื้นที่เย็นเยียบ ทำให้จิตใจที่กระวนกระวายของซ่งฉางชิงสงบลงบ้าง เขานั่งอยู่ตรงขอบเตียง มองไปด้านหน้าด้วยอาการเหม่อลอย รู้สึกปวดศีรษะหนักยิ่งกว่าเดิม
ปวดจนราวกับจะระเบิดออกอย่างไรอย่างนั้น
ซ่งฉางชิงก้มหน้า ใช้มือคู่กุมศีรษะไว้ สายตามองทอดไปยังพื้นที่แคบๆ ตรงเท้า นั่งนิ่งอย่างนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เชิงอรรถ
[1] ปิงเจี้ยน คือ ภาชนะสองชั้น ภายนอกแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ ชั้นนอกเป็นทรงสี่เหลี่ยม ชั้นในเป็นทรงกลม ใส่น้ำแข็งเพื่อให้ความเย็น หรือใส่ถ่านเพื่อให้ความร้อน