ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 15 บทที่ 426 ท่านซ่งเดินเล่นเป็นด้วย
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 15 บทที่ 426 ท่านซ่งเดินเล่นเป็นด้วย
บทที่ 426 ท่านซ่งเดินเล่นเป็นด้วย
ในช่วงเวลานี้ เถ้าแก่ซ่งควรกำลังงานยุ่งอยู่ที่เซียนจวีโหลวไม่ใช่หรือ? เหตุใดตอนนี้ถึงมีเวลามาที่นี่?
ถึงแม้จะมึนงง แต่เถ้าแก่แผงขายบะหมี่ก็กล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง “เถ้าแก่ซ่ง เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างออกมาได้หรือ? ”
ซ่งฉางชิงหยุดฝีเท้า หันมองเถ้าแก่แผงขายบะหมี่ เขาไม่รู้จักคนผู้นี้
ทว่า เขาชินเสียแล้ว ช่วงหลายวันนี้ที่เขาเดินไปตามถนนในเมืองโยวหลัน ไม่ว่าจะเป็นถนนใหญ่หรือตรอกเล็ก มักมีคนจำนวนไม่น้อยที่กล่าวทักทายเขา
ชื่อเสียงของเซียนจวีโหลว บัดนี้ทั่วทั้งเมืองโยวหลันไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก
เมื่อเห็นไอน้ำร้อนลอยขึ้นจากหม้อ กลิ่นหอมของบะหมี่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ซ่งฉางชิงยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง จึงรู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย เขาหุบร่ม เดินขึ้นหน้าก่อนกล่าว “เถ้าแก่ ทำบะหมี่ใส่เนื้อหมูให้ข้าชามหนึ่ง”
เถ้าแก่แผงขายบะหมี่เคยไปกินข้าวที่ภัตตาคาร ซ่งฉางชิงที่นอกจากจะมีฐานะเป็นท่านจวี่เหริน ยังเป็นเถ้าแก่ภัตตาคาร ทั้งยังรูปลักษณ์ดี เขาย่อมจำซ่งฉางชิงได้อย่างแม่นยำ
หายากนักที่เถ้าแก่ซ่งจะลดตัวมากินอาหารที่แผงเล็กๆ ของเขาเช่นนี้ เถ้าแก่แผงขายบะหมี่รีบขานตอบว่าได้ ก่อนต้มบะหมี่หนึ่งชาม
ซ่งฉางชิงหาที่นั่งหนึ่ง ก่อนนั่งลง
โต๊ะข้างๆ ยังมีลูกค้านั่งอยู่กลุ่มหนึ่ง คนเหล่านี้ไม่รู้จักซ่งฉางชิง แต่เมื่อหันไปมองซ่งฉางชิง พวกเขาต่างก็นึกชื่นชม
“โต๊ะตัวนี้คงไม่ใช่ว่าถูกเทพเซียนลงอาคมไว้กระมัง? ”
“ทำไมหรือ? ”
“เหตุใดคนที่นั่งตรงนี้ล้วนแต่มีรูปลักษณ์ดูดีเช่นนี้? เจ้าคงไม่รู้ ช่วงหลายวันก่อนข้ามากินบะหมี่ ตรงตำแหน่งที่คุณชายผู้นั้นนั่งอยู่ มีฮูหยินผู้หนึ่งที่งดงามราวกับเทพธิดานั่งอยู่ อายุยังน้อย คาดว่าอายุเพียงสิบห้าปีโดยประมาณ พวกเจ้าไม่รู้ว่ารูปลักษณ์หน้าตาของนางงดงามเพียงใด ข้าอยู่มากว่าครึ่งค่อนชีวิต ยังไม่เคยพบเห็นสตรีที่งดงามถึงเพียงนั้นมาก่อน สามีของนางที่นั่งข้างๆ ก็เช่นเดียวกับคุณชายผู้นี้ ราวกับเทพเซียนจากสวรรค์ก็มิปาน! เจ้าว่า โต๊ะตัวนี้มีไว้ให้เทพเซียนที่ลงมาจุตินั่งโดยเฉพาะหรือไม่? ”
บะหมี่ถูกยกมาวางแล้ว ซ่งฉางชิงหยิบตะเกียบมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดเช็ดแล้วเช็ดอีก เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยจากโต๊ะข้างๆ จู่ๆ เขาก็วางตะเกียบลง ลุกขึ้นไปถามเถ้าแก่แผงขายบะหมี่
“แผงของท่าน เมื่อหลายวันก่อนเคยมีฮูหยินหน้าตางดงามที่อายุประมาณสิบห้าปีมากินเช่นนั้นหรือ? ” ซ่งฉางชิงรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขากำลังสั่นเครือ
เถ้าแก่แผงขายบะหมี่ได้ฟังดังนั้นก็รีบพยักหน้าพลางตอบ “ใช่แล้ว นางมากินบะหมี่ที่ร้านของข้าเป็นประจำ! ”
มากินที่นี่เป็นประจำ นั่นก็หมายความว่า นางอาศัยอยู่ในที่ที่ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก
“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่านางอาศัยอยู่ที่ใด? ” ซ่งฉางชิงเอ่ยถามอย่างใจร้อน
เถ้าแก่แผงขายบะหมี่รู้สึกวิตกเล็กน้อย ท่านซ่งรีบร้อนถึงเพียงนี้ หรือว่าฮูหยินผู้นั้นจะติดค้างเงินท่านซ่ง?
“นางอาศัยอยู่ที่ใด ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ทุกครั้งข้าเห็นนางเดินมาจากทางนั้นตลอด! ” เถ้าแก่แผงขายบะหมี่ชี้นิ้วไป ซ่งฉางชิงหันมองแวบหนึ่ง เขาวางเงินจำนวนหนึ่งไว้ ก่อนเดินจากไป
เถ้าแก่แผงขายบะหมี่มองดูเงิน ก่อนตะโกนทันที “ท่านซ่ง บะหมี่นี่แค่ไม่กี่อีแปะ ท่านให้เงินเกินแล้ว”
ลูกค้าที่อยู่ข้างๆ กล่าว “เขายังไม่ได้แตะบะหมี่ในชามเลย ไม่ได้กินแม้แต่คำเดียว! ”
เถ้าแก่แผงขายบะหมี่รู้สึกหวั่นใจ หรือว่าบะหมี่ของเขารสชาติไม่ดีเช่นนั้นหรือ?
ซ่งฉางชิงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปยังทิศที่เถ้าแก่แผงขายบะหมี่ชี้ไป
ที่นี่เหลือเพียงตรอกเล็กสองตรอก ซ่งฉางชิงเดินวนไปมาในตรอกเล็กสองตรอกนี้รอบแล้วรอบเล่า กลับไม่พบอะไรเลย
เขาไม่รีบ ยังคงกางร่มกระดาษน้ำมัน เดินเอ้อระเหยท่ามกลางแสงแดดแรงกล้า
เซียงชุ่ยไปส่งอาหารเที่ยง ภายใต้แสงตะวันเจิดจ้า นางตากแดดจนเหงื่อออกท่วมศีรษะ เพิ่งยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อออก ผ่านไปเพียงครู่เดียว หยาดเหงื่อเม็ดโตกลับไหลลู่ลงมาอีก อากาศร้อนถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่เพราะต้องมาส่งข้าว ใครจะอยากออกมากัน!
ทว่า คนที่อยู่ข้างหน้า กางร่มกระดาษน้ำมันไว้ บนกายก็เปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อเช่นกัน แต่เขากลับไม่รีบเดิน เดินไปหยุดไป ยืนตากแดดแรงอยู่เช่นนี้ ก็ถือเป็นคนโง่เขลาเหมือนกัน!
เซียงชุ่ยมาถึงหน้าโรงผลิต ยกมือขึ้นเคาะประตู ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านใน “มาแล้วมาแล้ว…”
เซียงชุ่ยรีบเข้าไป ก่อนปิดประตู
ซ่งฉางชิงที่อยู่ด้านหน้าหันกลับมาดู เห็นเพียงประตูที่ปิดสนิท เขาจึงเดินไปข้างหน้าต่อ
จวบจนเลี่ยวซื่อกินข้าวเสร็จ ตอนกลับมาทำงาน ก็เห็นซ่งฉางชิงที่เดินไปเดินมาในตรอกเช่นกัน นางรู้สึกสงสัยยิ่งนัก อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ใครกันที่ว่างถึงขนาดมาเดินตามตรอกซอกซอย!
เลี่ยวซื่อเกรงว่าจะเป็นคนไม่ดี จึงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในโรงผลิต
พอเข้าไป เลี่ยวซื่อก็กล่าวด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “เหตุใดข้างนอกถึงมีบุรุษผู้หนึ่งเดินไปเดินมาตลอด อากาศร้อนถึงเพียงนี้ แต่ไม่กลับบ้าน! หากไม่ใช่เพราะหน้าตาดี ดูไปแล้วเย็นชา คงนึกว่าเป็นคนไม่ดีจริงๆ เสียแล้ว! ”
ฟู่ซื่อได้ฟังดังนั้น ก็รีบกล่าว “คนผู้นั้นยังไม่ไปอีกหรือ? ”
เลี่ยวซื่อ “เจ้าก็เห็นเหมือนกันหรือ? ”
“ข้าไม่เห็น แต่เซียงชุ่ยบ้านข้าเห็นแล้ว บอกว่าเป็นบุรุษรูปร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา กางร่มกระดาษน้ำมันเดินไปมาอยู่ในตรอก นางเห็นตอนมาส่งอาหาร! ”
“เวลาผ่านไปสองถ้วยชาแล้วกระมัง เขายังไม่ไปอีกหรือ? คงไม่ใช่คนเลวจริงๆ กระมัง? ” ฟู่ซื่อกล่าวด้วยความกังวล “ช่วงก่อนหน้านี้ เมืองโยวหลันของเรามีเด็กหายตัวไปจำนวนมากไม่ใช่หรือ? หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นพวกค้ามนุษย์? ”
เลี่ยวซื่อส่ายหน้า “พูดยาก”
เวลานี้เอง เซี่ยยวี่หลัวเดินเข้ามา ทั้งสองคนต่างไม่กล่าวอะไร รีบทำงานทันที
ระยะนี้เถ้าแก่เนี้ยพูดคุยน้อยมาก พวกนางสองคนจึงไม่กล้ากล่าวอะไรส่งเดช
ยามเซี่ยยวี่หลัวทำงานจะจริงจังมาก ทั้งสามคนทำงานตั้งแต่ช่วงเที่ยงจนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน พวกนางจึงกลับไป
ระหว่างทางกลับ ทั้งสองคนเห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินไปมาในตรอกอีกครั้ง มือขวาของเขาถือร่มกระดาษน้ำมันไว้ เลี่ยวซื่อสะกิดฟู่ซื่อที่อยู่ข้างๆ บุ้ยปากก่อนกล่าว “ดูสิ เขานี่แหละ คงไม่ใช่ว่าเดินตลอดช่วงบ่ายกระมัง? ทำไมถึงยังอยู่อีก! ”
ฟู่ซื่อเกรงว่าจะเป็นพวกค้ามนุษย์ จึงเดินขึ้นหน้าสองก้าวอยากดูใบหน้าของคนผู้นี้อย่างชัดเจน เมื่อนางเห็นซ่งฉางชิง ฟู่ซื่อก็ถึงกับตกใจสะดุ้ง “ท่าน ท่านซ่ง? ”
ซ่งฉางชิงไม่รู้จักหญิงชาวบ้านผู้นี้ แต่อีกฝ่ายกล่าวทักทายเขา ซ่งฉางชิงเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินไปข้างหน้าต่อ
เขาเดินมาทั้งวันแล้ว ดูท่า วันนี้คงต้องกลับไปโดยไม่ได้อะไรอีกครั้ง
เลี่ยวซื่อรีบเดินขึ้นหน้า ก่อนเอ่ยถาม “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ? ”
“เขาจะรู้จักข้าได้อย่างไร ข้าเพียงแค่เคยพบเขาหลายหนก็เท่านั้น” ฟู่ซื่อหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่รู้จักเขาหรือ? ”
เลี่ยวซื่อส่ายหน้า “ไม่รู้จัก! เขาเป็นใครหรือ? ”
“เคยไปเซียนจวีโหลวหรือไม่? ” ฟู่ซื่อเคยไปหลายหน ทว่านางไม่ได้ไปกินข้าว แต่ไปส่งผัก บางครั้งหากโชคดี ผักที่นางปลูกเองก็จะถูกรับซื้อได้เช่นกัน
ซ่งฉางชิงจะอยู่ที่ประตูหลังทุกวัน ดังนั้นฟู่ซื่อจึงจำได้
เลี่ยวซื่อส่ายหน้า “เขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับเซียนจวีโหลว? ” ไม่เคยไปไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้จักเซียนจวีโหลว
ฟู่ซื่อชี้เงาแผ่นหลังด้านหน้า ก่อนกล่าวด้วยท่าทางมีลับลมคมใน “คนผู้นั้นคือท่านซ่งแห่งเซียนจวีโหลวอย่างไรเล่า! ”
“อะไรนะ? เขาคือท่านซ่ง? ” เลี่ยวซื่อแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ท่านซ่งที่หากไม่เข้าเซียนจวีโหลวก็แทบไม่มีทางได้พบ กลับเดินในตรอกแคบท่ามกลางแสงแดดแรงกล้ามาตลอดช่วงบ่ายงั้นหรือ “เขามาที่นี่ทำไม? เกรงว่าเขาจะเดินที่นี่มาตลอดช่วงบ่ายแล้ว! ”
ฟู่ซื่อเบ้ปาก “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร เขาคือท่านซ่ง คิดอยากทำอะไรพวกเราจะเข้าใจได้อย่างไร! นี่ก็เย็นแล้ว ข้าต้องกลับไปทำอาหาร พรุ่งนี้เจอกัน! ” ทั้งคู่โบกมือร่ำลา แยกย้ายกันกลับบ้าน