ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 15 บทที่ 447 ครั้งนี้เซียวยวี่ชนะได้แน่
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 15 บทที่ 447 ครั้งนี้เซียวยวี่ชนะได้แน่
บทที่ 447 ครั้งนี้เซียวยวี่ชนะได้แน่
เหวินจิ้งเสวียมองดูทั้งสองคนที่เดินมาช้าๆ ทั้งคู่ต่างไม่มีความหวั่นเกรงใดๆ นิ้วมือทั้งสิบเกี่ยวประสาน กุมมือกันเดินมา
“คนผู้นี้… ก็คือเซียวยวี่? ” เหวินจิ้งเสวียรีบเอ่ยถามโหยวเจิ้งเฉิงที่อยู่ข้างๆ
โหยวเจิ้งเฉิงพยักหน้า ยิ้มพร้อมกล่าว “ใช่แล้ว เขาก็คือเซียวยวี่ ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายเขาคือภรรยาของเขา เซี่ยยวี่หลัว นั่นคือจอมยุทธ์หญิงที่ช่วยพวกเราจับหัวขโมยได้”
“อ้อ ที่แท้ก็คือสองท่านนี้เอง! ” เหวินจิ้งเสวียเข้าใจในทันที “แต่หลี่เจิ้ง การแข่งครั้งนี้แข่งกันด้านความรู้ ไม่ได้แข่งความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ เซียวยวี่ผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตไร้คุณวุฒิ จะแข่งกับอาจารย์เฮ่อของเราได้หรือไม่ เรื่องนี้… น่าจะเป็นไปไม่ค่อยได้กระมัง! ”
เขายังคงเชื่อมั่นในตัวเฮ่อหลัน
เซียวยวี่อายุน้อยถึงเพียงนี้ เกรงว่าเพิ่งอ่านตำราได้ไม่มากกระมัง!
โหยวเจิ้งเฉิงเองก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่ก็ยังคิดจะสนับสนุนเซียวยวี่ “ในเมื่อคนมาแล้ว เช่นนั้นก็ลองดูก่อนเถิด! ”
ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะ ก็ยังไม่อาจรู้ได้!
ทั้งสองฝ่ายทักทายกัน เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่ข้างหลังเซียวยวี่
เซียวยิงกำลังจะเริ่มบอกกติกาการแข่งขัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านซ่งมาถึง”
ท่านซ่ง?
ทั่วทั้งเมืองโยวหลันมีท่านจวี่เหรินเพียงสามคนเท่านั้น สองคนอยู่ที่สถานศึกษาเหวินกง อีกคนหนึ่งอยู่ที่เซียนจวีโหลว
หากกล่าวถึงผู้ที่เก่งกาจที่สุดในบรรดาจวี่เหรินทั้งหมดของเมืองโยวหลันแล้ว ไม่มีผู้ใดเทียบซ่งฉางชิงได้
เขาเป็นซิ่วไฉและจวี่เหรินที่อายุน้อยที่สุดในเมืองโยวหลัน
อายุสิบปีสอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ อายุสิบสี่ก็ได้เป็นท่านจวี่เหริน เหวินจิ้งเสวียและเฮ่อหลันที่ต่างมีอายุมากกว่าซ่งฉางชิง ยังไม่กล้าดูแคลนเขา
พวกโหยวเจิ้งเฉิงได้ยินคนบอกว่าซ่งฉางชิงมา ก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ
“เหตุใดวันนี้ท่านซ่งถึงมีเวลาว่างมาได้หรือ? ” เหวินจิ้งเสวียคำนับ ซ่งฉางชิงก็คำนับกลับ
“ได้ยินมาว่าวันนี้สถานศึกษาเหวินกงมีการแข่งขัน ข้าจึงมาชม” ซ่งฉางชิงประสานมือคำนับพร้อมกล่าว
เหวินจิ้งเสวียอายุมากกว่า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซ่งฉางชิง กลับไม่กล้าวางตัวเหมือนผู้อาวุโสกว่าแม้แต่น้อย “เป็นเพียงการแข่งขนาดเล็กเท่านั้น ถึงกับรบกวนให้ท่านซ่งมาด้วยตัวเอง ท่านซ่งเชิญนั่งข้างบน”
ซ่งฉางชิงปฏิเสธ สุดท้าย โหยวเจิ้งเฉิงจึงนั่งตรงตำแหน่งหลัก ซ่งฉางชิงและเหวินจิ้งเสวียนั่งลงข้างกายโหยวเจิ้งเฉิง การแข่งจึงเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ
เซียวยิงประกาศกติกาการแข่งขัน การแข่งแบ่งเป็นสี่รอบ ทดสอบความสามารถด้านบทกลอน บทกวี การวาดภาพ และการเขียนเรียงความของอาจารย์ทั้งสองท่าน หลังจากเขียนเสร็จ จะส่งมอบให้กับอาจารย์ห้าท่านผู้มีชื่อเสียงบารมีซึ่งคัดเลือกมาจากสถานศึกษาต่างๆ ในเมืองโยวหลันเป็นผู้ตัดสิน ใครเขียนได้ดี ก็ใส่ชื่อของคนผู้นั้นลงไปในหีบที่ปิดมิดชิด
ข้างมือทุกคนมีป้ายไม้แปดแผ่น
บนป้ายไม้มีชื่อของเซียวยวี่และเฮ่อหลัน คนละสี่แผ่น ทั้งสองคนรวมกันเป็นแปดแผ่น การตัดสินในแต่ละรอบ สามารถใส่ป้ายชื่อของผู้ที่แต่ละคนรู้สึกว่าโดดเด่นที่สุดหนึ่งแผ่น
“เพื่อความยุติธรรม อาจารย์ทั้งห้าท่านนี้ล้วนเป็นอาจารย์ที่เชิญมาจากสถานศึกษาแห่งอื่นๆ ในเมืองโยวหลัน พวกเขาเป็นคนซื่อตรง มีความเที่ยงธรรม ทั้งยังมีหลี่เจิ้ง ท่านซ่ง และผู้อำนวยการเหวิน ทั้งหมดแปดท่าน ร่วมกันตัดสิน เพื่อรับประกันความเที่ยงธรรมในการแข่งครั้งนี้ จะไม่มีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอันขาด! ”
เมื่อจะแข่ง ย่อมต้องแข่งด้วยความรู้ความสามารถที่แท้จริง
เริ่มจากรอบที่หนึ่ง โหยวเจิ้งเฉิงเป็นคนจับติ้ว
โหยวเจิ้งเฉิงเริ่มเป็นคนแรก เขย่ากระบอกใส่ติ้ว ก่อนมีติ้วอันหนึ่งหล่นออกมาจากด้านใน เซียวยิงหยิบมาอ่าน ก่อนกล่าวเสียงดัง “รอบนี้เป็นบทกลอน ทั้งสองท่านต้องเขียนกลอนภายในเวลาครึ่งก้านธูป หัวข้อคือวิหค”
เฮ่อหลันไม่คิดก่อนด้วยซ้ำ จับพู่กันเริ่มเขียนอย่างรีบร้อน
ถึงแม้จะบอกว่ามีเวลาครึ่งก้านธูป แต่หากใครเขียนเสร็จเป็นคนแรก ทั้งยังเขียนได้ดี ถึงจะเรียกได้ว่าชนะ
เขาไม่เพียงแต่จะเขียนให้ดีกว่าเซียวยวี่ ทั้งยังต้องเขียนให้เร็วกว่าเซียวยวี่ด้วย
ภายหลังเซียวยวี่ได้ฟังหัวข้อ ก็นิ่งเงียบชั่วครู่ ก่อนหยิบพู่กันขึ้นมาเริ่มเขียน
สถานศึกษาเหวินกงที่เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ เมื่อเซียวยิงประกาศเริ่มการแข่งขัน สถานที่นี้พลันเงียบสงบทันที ราวกับว่าสามารถได้ยินกระทั่งเสียงเข็มตกพื้นอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนต่างมองไปทางเซียวยวี่และเฮ่อหลัน ทั้งสองคนไม่เงยหน้าแม้แต่ครั้งเดียว เขียนอย่างตั้งอกตั้งใจและมีสมาธิจดจ่อ
โหยวเจิ้งเฉิงและเหวินจิ้งเสวีย ต่างก็มองไปทางทั้งสองคนที่เขียนขะมักเขม้น
มีเพียงซ่งฉางชิงที่นั่งอยู่ทางขวามือ ที่กำลังลูบคลำปลายนิ้วชี้มือขวาอย่างใจเย็น
เขาชำเลืองมองเป็นครั้งคราว ก็สามารถมองเห็นเงาร่างอรชรที่ยืนอยู่ด้านล่างทางซ้ายมือได้ ถึงแม้นางก็กำลังดูอยู่เช่นกัน แต่นางกลับไม่กังวลใจแม้แต่น้อย มุมปากเผยรอยยิ้มบาง ราวกับมั่นอกมั่นใจในผลแพ้ชนะของเซียวยวี่อย่างไรอย่างนั้น
เช่นนี้เท่ากับเชื่อมั่นในตัวเซียวยวี่ไม่ใช่หรือ?
ซ่งฉางชิงลูบคลำปลายนิ้ว เงียบขรึมไม่กล่าวอะไร
เดิมทีเขาไม่คิดจะมา เป็นเพียงเรื่องวุ่นวายเท่านั้น ที่ไหนได้ อีกฝ่ายที่มาแข่ง กลับเป็นเซียวยวี่!
เมื่อเซียวยวี่มา นางก็น่าจะมาเช่นกัน!
ทว่า เมื่อได้พบนาง ซ่งฉางชิงกลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย
หวนคิดถึงคืนนั้นที่เขาแอบเร้นกายอยู่ในตรอกเล็ก เพื่อถือโอกาสส่งนางกลับไป ที่ไหนได้ เซียวยวี่กลับมาหา
ท่าทางของนางที่เดินขึ้นหน้าไปโอบแขนของเซียวยวี่อย่างมีความสุข ซ่งฉางชิงรู้สึกว่าช่างดูขัดตานัก
ดั่งเช่นตอนนี้ เซี่ยยวี่หลัวจ้องมองเซียวยวี่ด้วยแววตาอ่อนโยนดุจสายน้ำ แววตาเต็มไปด้วยกลิ่นอายความรัก
ทั้งสองคนอยู่ตัวติดกันตลอดจริงๆ!
ราวกับจะสัมผัสได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองตัวเอง เซี่ยยวี่หลัวจึงเงยหน้า สบประสานกับสายตาของซ่งฉางชิงพอดี
ซ่งฉางชิงรู้สึกหัวใจสั่นไหว กลับเห็นเซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้มมาทางเขา คล้ายกับกำลังทักทาย
ยามนางแย้มรอยยิ้ม ช่างดีดูเสียจริง!
ซ่งฉางชิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่ง
“เสร็จแล้ว ข้าเขียนเสร็จแล้ว” เฮ่อหลันยังไม่ได้วางพู่กันลง ก็กล่าวเสียงดังออกมา
ทางเซียวยวี่เองก็เสร็จแล้วเช่นกัน เขาวางพู่กันลงบนแท่นวางพู่กัน รอคอยให้ทุกคนตรวจทาน
มีคนเดินขึ้นหน้า นำบทกลอนของเฮ่อหลันและเซียวยวี่ไปให้อาจารย์เหล่านั้นประเมิน
สุดท้าย ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ข้างบนก็ได้อ่านเช่นกัน
ทยอยกันนำป้ายไม้ที่มีชื่อเฮ่อหลันหรือเซียวยวี่อยู่บนนั้นใส่ลงไปในหีบไม้ที่ปิดมิดชิด
ภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้อง หีบไม้ที่ปิดมิดชิดถูกนำกลับไปวางไว้ตรงกลางลานดังเดิม เป็นการรับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดแตะต้องป้ายไม้ในนั้นอีก
ยังไม่รายงานคะแนน จากนั้นจึงต่อด้วยหัวข้อที่สอง
ผู้อำนวยการเหวินยิ้มพร้อมกล่าว “ในเมื่อท่านซ่งมาแล้ว เช่นนั้นหัวข้อที่สองให้ท่านซ่งจับติ้วก็แล้วกัน”
ซ่งฉางชิงโบกมือ “ผู้อำนวยการเหวินอาวุโสกว่าฉางชิงมาก ฉางชิงจะข้ามหน้าข้ามตาผู้อำนวยการเหวินได้อย่างไร เชิญผู้อำนวยการเหวินก่อนเถิด! ”
เขาประสานมือคำนับด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม ผู้อำนวยการเหวินเห็นว่าเขาอายุยังน้อย ประสบความสำเร็จอย่างน่าภาคภูมิแต่กลับไม่คิดข่มผู้อื่นแม้แต่น้อย จึงรู้สึกเคารพซ่งฉางชิงมากขึ้นอีก
เหวินจิ้งเสวียเขย่ากระบอกใส่ติ้ว คราวนี้เป็นการวาดภาพ หัวข้อคือต้นหญ้า
“ต้นหญ้าเล็กหนึ่งต้น มีอะไรน่าวาดกัน? เป็นสิ่งที่เราเหยียบอยู่ใต้เท้าทุกวัน! ” มีคนที่อยู่ข้างๆ บ่นพึมพำพลางชะเง้อคอรอดู
“ชู่ว์ อย่าส่งเสียง พวกเขาจะเริ่มวาดแล้ว! ”
เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม ต้นหญ้าไม่มีอะไรน่าวาดเช่นนั้นหรือ?
ใต้หล้านี้สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คงไม่พ้นต้นหญ้า
เช่นเดียวกับเซียวยวี่ ที่ผ่านอุปสรรคความยากลำบากนานาชนิด และความเปลี่ยนแปลงมากมาย หลังจากสอบไม่ผ่านติดต่อกันสี่ปี ก็สั่งสมความรู้จนมากพอ กระโดดคราเดียวก็พุ่งทะยานขึ้นสูง เขาเองก็อาศัยความพยายามไม่รู้จักย่อท้อนั่นเอง
นางไม่เห็นรูปภาพที่เซียวยวี่วาด แต่นางสัมผัสได้ ว่าครั้งนี้เซียวยวี่ชนะได้แน่