ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 15 บทที่ 453 อัจฉริยะย่อมมีอุปนิสัยประหลาด
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 15 บทที่ 453 อัจฉริยะย่อมมีอุปนิสัยประหลาด
บทที่ 453 อัจฉริยะย่อมมีอุปนิสัยประหลาด
เซียวยวี่ไม่พอใจ จึงกัดปลายจมูกเล็กของนางอย่างแรงทีหนึ่ง “รับปากหรือไม่? หากไม่รับปากข้าจะกัดอีก! ”
เซี่ยยวี่หลัวจะไม่รับปากได้อย่างไร หลังจากได้อยู่ด้วยกันทุกคืนมาตลอดหนึ่งเดือน นางนอนหนุนแขนเซียวยวี่จนคุ้นชินนานแล้ว เมื่อคืนนี้ นางพลิกตัวไปมาอยู่นาน ถึงแม้จะเหนื่อยล้ามาก แต่ก็นอนไม่หลับ จวบจนหลังเที่ยงคืน ไม่อาจทานความง่วงได้อีก จึงนอนหลับไปด้วยอาการสะลึมสะลือ!
บัดนี้เซียวยวี่กล่าวออกมา ในที่สุดเซี่ยยวี่หลัวก็เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงนอนไม่หลับ
“ได้ แต่จื่อเมิ่งจะทำอย่างไร? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถาม
จื่อเมิ่งยังเป็นเด็ก จึงอยากนอนกับนาง
บัดนี้อาเมิ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริง
เซียวยวี่คิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “ข้าจะคิดหาวิธีเอง! ” เขาจะคิดหาเหตุผลที่เหมาะสม ต่อไปให้เด็กคนนั้นนอนคนเดียว
อายุหกขวบแล้ว อีกไม่นานก็จะอายุเจ็ดขวบ ตอนนอนยังจะยึดภรรยาของเขาไว้ เขาจะทนได้อย่างไร!
“นางยังเด็ก เจ้าเกลี้ยกล่อมดีๆ อย่าให้นางเสียใจเกินไป” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวกำชับอย่างระมัดระวัง
เซียวยวี่กัดจมูกนางอีกครั้ง
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกเจ็บ จึงส่งเสียงอุทานทีหนึ่ง “เจ้าทำอะไร? เกิดปีสุนัขหรืออย่างไร? เหตุใดถึงเอาแต่กัดข้า? ”
“เจ้าห่วงแต่คนอื่น เหตุใดถึงไม่ห่วงข้าบ้าง รู้หรือไม่ว่าเมื่อคืนข้านอนไม่หลับกว่าครึ่งคืนเชียว? ” ดูท่าทางน่าสงสารตอนนี้สิ ขอบตาเต็มไปด้วยสีดำคล้ำ!
เซี่ยยวี่หลัวลูบรอยดำคล้ำตรงขอบตาเซียวยวี่ “เหตุใดเจ้าถึงนอนไม่หลับหรือ? ”
เซียวยวี่เบ้ปาก กล่าวด้วยท่าทางอัดอั้นใจ “เจ้าไม่อยู่ ข้าจึงนอนไม่หลับ! ”
เซี่ยยวี่หลัวขานตอบทีหนึ่ง เอื้อมมือไปโอบกอดเซียวยวี่ไว้แน่น
ทั้งสองคนเป็นเหมือนกันนี่เอง ต่างก็นอนไม่หลับ เช่นนั้นมิสู้นอนด้วยกันไม่ดีหรือ ถือเป็นการช่วยทั้งสองคน!
เพียงแต่น่าเสียดายยิ่งนัก ความคิดมักจะดูดี แต่ความเป็นจริงกลับไม่ค่อยดีนัก
เดิมทีเซียวยวี่คิดจะบอกเซียวจื่อเมิ่งว่าเจ้าโตแล้ว ต้องนอนคนเดียว แต่เมื่อดวงตาคู่โตประหนึ่งลูกองุ่นของเซียวจื่อเมิ่งจ้องมองเขา กัดริมฝีปาก จากนั้นก็ร้องไห้เสียงดังลั่น
ไม่ว่าจะปลอบโยนอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด
เดิมทีเซียวยวี่คิดจะข่มขู่สักสองประโยค แต่คนที่รับปากเขากลับ ‘แปรพักตร์’ เป็นคนแรก
“จื่อเมิ่งยังเด็ก ให้นางนอนกับข้าต่ออีกระยะหนึ่งเถิด! ” เซี่ยยวี่หลัวเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าเซียวจื่อเมิ่งด้วยความสงสาร เซียวจื่อเมิ่งหยุดร้องไห้ทันที
เซียวยวี่กุมขมับ ทั้งที่นางเป็นภรรยาของเขา!
เขาอยากนอนกับภรรยา ยังต้องได้รับการยินยอมจากน้องสาว ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
เรื่องนอนจบลงเช่นนี้เอง เซียวจื่อเมิ่งยังคงนอนกับเซี่ยยวี่หลัว ส่วนเซียวยวี่นอนคนเดียวเช่นเคย เขาจ้องมองเตียงหลังใหญ่ พลิกตัวไปมาอยู่คนเดียว นอนไม่หลับ มันช่าง…
ตอนนั้นจะทำเตียงใหญ่ถึงเพียงนี้ไปทำไม หากเขาต้องนอนเพียงคนเดียวเช่นนี้ ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเขาที่ต้องอยู่อย่างเดียวดายเลย!
ถึงปลายเดือนเจ็ดแล้ว ไม่เห็นพระจันทร์บนท้องฟ้า มีเพียงดวงดาราสว่างพร่างพรายจำนวนหนึ่งทอประกายแสงมืดสลัวอยู่บนม่านราตรี ซ่งฉางชิงละทิ้งงานล้นมือที่เซียนจวีโหลว เดินเอ้อระเหยอยู่บนถนนเพียงลำพังอีกครั้ง
เดินไปเดินมา เขามักจะมายังตรอกเล็กสายหนึ่ง เดินวนไปมา ไม่ไปที่อื่นอีก
เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองมากี่วันแล้ว แต่ไม่เคยเคาะประตูบานนั้นแม้แต่ครั้งเดียว
ซ่งฉางชิงมาถึงหน้าประตูเหมือนเช่นเคย ไม่ง่ายเลยกว่าจะรวบรวมความกล้าเพื่อเดินขึ้นหน้าไปเคาะประตู แต่สุดท้ายก็ยังเป็นประหนึ่งลูกหนังที่ถูกปล่อยลมออก ชักมือกลับมา
“ท่านซ่ง? ” จู่ๆ เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ซ่งฉางชิงหันกลับไปช้าๆ ก็เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตา
ตอนหัวค่ำเซียงชุ่ยถูกติงกุ้ยใช้ให้ออกมาซื้อบะหมี่ชามหนึ่ง ตอนเดินผ่านโรงผลิตเห็นคนผู้หนึ่งเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตู นางนึกว่าเป็นคนไม่ดี จึงดูอยู่ข้างๆ แต่ดูไปดูมา เซียงชุ่ยก็รู้สึกว่าเงาแผ่นหลังของคนผู้นี้ดูคุ้นตาเล็กน้อย
บนกายสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา ทุกอิริยาบถดูเหมือนบุคลิกของคุณชายผู้สูงศักดิ์ จู่ๆ ชื่อของคนผู้หนึ่งก็ผุดขึ้นในห้วงความคิดของเซียงชุ่ย
คนที่เคยเห็นครั้งเดียวก็ไม่อาจลืมเลือนได้อีก
จวบจนซ่งฉางชิงเดินวนเวียนอยู่หน้าประตู ตอนค่ำที่มืดสลัว เซียงชุ่ยยังสามารถมองเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของคนผู้นี้ได้อย่างเลือนราง
ซ่งฉางชิงหันกลับมา เขาไม่รู้จักคนผู้นี้ นึกว่าเป็นแค่คนที่รู้จักเขา
เขามองเซียงชุ่ยด้วยแววตาเย็นเยียบทีหนึ่ง หันตัวกำลังจะเดินจากไป แต่เซียงชุ่ยเรียกเขาไว้เสียก่อน “ท่านซ่งมาหาฮูหยินเซียวหรือ? ”
ซ่งฉางชิงหยุดชะงัก ไม่ได้หันกลับไป
เซียงชุ่ยกล่าวต่อ “ฮูหยินเซียวกลับบ้านนานแล้ว นางไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว”
มิน่าล่ะ เขามาตั้งหลายหน กลับไม่ ‘พบกันโดยบังเอิญ’ แม้แต่ครั้งเดียว
ซ่งฉางชิงได้ฟังดังนั้นจึงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินจากไป
เซียงชุ่ยถือชามบะหมี่ไว้ ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อครู่นี้ตอนที่นางแอบดูในตำแหน่งที่ไม่ห่างนัก นางเห็นความกระวนกระวายและตื่นเต้นของซ่งฉางชิง
เซียงชุ่ยเป็นคนมีประสบการณ์ ตอนเพิ่งแต่งงานกับติงกุ้ย ก็เคยมีช่วงเวลาหวานชื่นเช่นกัน นางจะมองแววตานั่นไม่ออกได้อย่างไร?
เถ้าแก่ซ่งผู้นี้ ชอบสตรีที่มีสามีแล้วหรือนี่?
เซียงชุ่ยรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก มือสั่นจนเกือบทำให้บะหมี่ที่เพิ่งซื้อมาหกคว่ำ
ผ่านพ้นเดือนเจ็ด เข้าสู่เดือนแปด อากาศเริ่มเย็นแล้ว
ตอนเช้าและตอนเย็นอากาศค่อนข้างเย็น เพียงแต่ตอนเที่ยงยังคงร้อนเป็นอย่างมาก
เซียวยวี่พาเด็กสองคนไปสอนหนังสือที่สถานศึกษาเหมือนเช่นเคย เซี่ยยวี่หลัวรีบเข้าไปในตัวเมือง
ได้รับเงินกำไรจากฮวาหม่านยีและห้องหนังสือซานเว่ย เป็นเงินหลายร้อยตำลึง
หลิ่วสวินเหมี่ยวก็ได้เงินไปไม่น้อย เห็นเซี่ยยวี่หลัวหยิบต้นฉบับออกมาอีกหนึ่งชุด คราวนี้เป็นผลงานชั้นเยี่ยมอีกครั้ง หลิ่วสวินเหมี่ยวพูดโพล่งออกมาทันที “คุณชายเซี่ย ข้ามีเรื่องอยากขอร้อง”
เซี่ยยวี่หลัวเลิกคิ้ว “หืม? อะไรหรือ? ”
“ข้าน้อย อยากไหว้วานคุณชายเซี่ยช่วยพาข้าไปพบคุณชายหลัวยวี่! ” หลิ่วสวินเหมี่ยวกล่าวพลางประสานมือคำนับ หากได้พบคุณชายหลัวยวี่ อย่าว่าแต่คำนับเลย ต่อให้ต้องคุกเข่าโขกศีรษะเขาก็ยินยอม
เซี่ยยวี่หลัว “ท่านอยากพบคุณชายหลัวยวี่หรือ? ”
“ไม่ใช่แค่ข้าน้อย ยังมีภรรยาของข้าด้วย” หลิ่วสวินเหมี่ยวรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก “บัดนี้ผู้คนทั่วทั้งต้าเยว่ต่างก็รู้สึกสนใจในตัวคุณชายหลัวยวี่เสียยิ่งกว่าอะไร ต่างก็อยากเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคุณชายหลัวยวี่ผู้นี้ เขามีความสามารถด้านวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยม ความสามารถล้นเหลือ เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของต้าเยว่! ทุกคนล้วนบอกว่าคุณชายหลัวยวี่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของต้าเยว่ ไม่มีผู้ใดทัดเทียม! ”
เซี่ยยวี่หลัว “หา…” ตำราหนึ่งเล่มก็ทำให้ทุกคนตั้งสมญานามเช่นนี้ให้นางแล้ว?
เช่นนั้นหาก…
นางมองต้นฉบับอีกเล่มหนึ่งที่หลิ่วสวินเหมี่ยวไม่วางลงบนโต๊ะ กลับเก็บไว้ในอกเสื้อราวกับสมบัติล้ำค่าก็มิปาน นางรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
เล่มเดียวก็ตั้งสมญานามเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง หากมีสองเล่ม… จะไม่ตั้งสมญานามให้นางเป็นเทพเซียนหรือ?
เซี่ยยวี่หลัวไม่อยากเป็นเทพเซียน และไม่อยากเป็นอัจฉริยะอะไร นางเพียงอยากหาเงิน
ไม่รบกวนความเป็นไปของประวัติศาสตร์ หาเงินให้ได้เป็นกอบเป็นกำ
“คือ คุณชายหลัวยวี่ไม่ชอบพบคนนอก ท่านบอกข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ รอให้เขาอยากพบผู้อื่นเมื่อใด เขาถึงจะยอมพบ ไม่เช่นนั้น หากเขาไม่อยากพบ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถบีบคั้นเขาได้! ” เซี่ยยวี่หลัวพูดปด
ถึงแม้หลิ่วสวินเหมี่ยวจะรู้สึกเสียดาย แต่เขาก็เข้าใจ
อัจฉริยะย่อมมีอุปนิสัยแปลกประหลาด
“ข้ารู้ข้ารู้ ข้าเข้าใจได้ ปกติผู้มีความสามารถเปี่ยมล้น มักมีอุปนิสัยแปลกประหลาด ข้ารอได้ ข้ารอได้! ” หลิ่วสวินเหมี่ยวรีบกล่าว “อย่าว่าแต่หนึ่งหรือสองปี ต่อให้สิบหรือยี่สิบปี ขอเพียงให้ข้าได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคุณชายหลัวยวี่ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ข้าต้องตายก็คุ้มแล้ว! ”
เมื่อเซี่ยยวี่หลัวเห็นท่าทางตื่นเต้นของหลิ่วสวินเหมี่ยว ก็ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรดี!
ท่านก็เห็นคุณชายหลัวยวี่แล้วนี่นา ยืนอยู่ตรงหน้าท่านไม่ใช่หรือ?
เซี่ยยวี่หลัวหัวเราะกลบเกลื่อน ออกจากห้องหนังสือซานเว่ย กลับไปยังฮวาหม่านยี เซี่ยยวี่หลัวเปลี่ยนกลับเป็นชุดสตรีอีกครั้ง คิดจะไปเซียนจวีโหลว นางคิดจะมอบสูตรอาหารให้เซียนจวีโหลวสองสูตร
“ดูเจ้าสิ ทำไมเข้ามาในตัวเมืองก็วิ่งไปทั่ว หรือว่า เจ้าคิดจะกลับบ้านแล้วไม่มาอีก? ” เซี่ยยวี่หลัวมอบแบบลวดลายให้ฮวาเหนียงยี่สิบกว่าแผ่นในคราวเดียว ดูท่านางคิดจะไม่เข้าตัวเมืองเป็นเวลานาน
“หากไม่มีธุระอะไรก็จะไม่มา” เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้าพร้อมกล่าว “อายวี่ต้องสอนหนังสือ ข้าจะเป็นภรรยาที่ดีและเป็นพี่สะใภ้ผู้มีเมตตา ดูแลพวกเขาให้ดี! ”
“ก็จริง เจ้าไม่ได้กลับบ้านนานถึงเพียงนี้” ฮวาเหนียงพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง “จะให้ข้าว่าอย่างไรดี เจ้ามักจะคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่งที่สุด รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ควรทำอะไร! ”
เซี่ยยวี่หลัวเลิกคิ้ว รู้สึกเห็นพ้องกับวาจานี้เป็นอย่างยิ่ง