ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 15 บทที่ 458 ฉางโส่วหนงมาแล้ว
บทที่ 458 ฉางโส่วหนงมาแล้ว
เมื่อพ่ายแพ้ไปหนึ่งรอบ เฮ่อหลันย่อมต้องกู้หน้าคืน แต่ที่ไหนได้ กลับพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถยิ่งกว่าเด็กๆ เสียอีก
“อาจารย์เฮ่อสอนได้ไม่ดีเท่าท่าน” จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งโวยวายเสียงดัง
คนที่อยู่รอบข้างต่างก็กล่าวอย่างเห็นพ้อง “จริงด้วย จริงด้วย ในเมืองโยวหลันไม่มีผู้ใดสอนได้ดีกว่าท่านแล้ว”
เฮ่อหลันสอนได้ดีที่สุด ทว่าเซียวยวี่สอนได้ดีกว่าเขา เช่นนั้นก็ไม่มีผู้ใดสอนได้ดีกว่าเซียวยวี่อีกแล้ว
เซียวยวี่มองดูเด็กสิบกว่าคน อยากสอน แต่ก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าต้องทำ
“ทุกท่าน อาจารย์เฮ่อหลันมีฐานะเป็นจวี่เหริน ความสามารถของเขา เชื่อว่าทุกท่านย่อมรู้ดีกว่าข้า วันนั้นเด็กๆ ชนะด้วยความบังเอิญ เพียงเพราะวิธีการสอนของข้าแตกต่างจากอาจารย์เฮ่อหลันเท่านั้น ที่พวกเราใช้ไม่ใช่ตำราเล่มเดียวกัน หากอาจารย์เฮ่อใช้ตำราเล่มเดียวกับข้า คิดว่าเขาต้องสอนได้ดีกว่าข้าแน่นอน! ” เซียวยวี่ชูตำราที่เขาเขียนเองขึ้น นั่นเป็นตำราที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อเขียนขึ้นมา
แปลงบทกลอนเป็นบทเพลงทีละบท ให้เด็กๆ ขับขานไปพลางเรียนรู้ไปพลาง ดีกว่าการโยกศีรษะไปมาขณะท่องจำมากนัก
“เช่นนั้นอาจารย์เซียว ตำราของท่านซื้อมาจากที่ใดหรือ? ”
“ตำราเล่มนี้ข้าเขียนขึ้นเอง ทุกท่านโปรดวางใจ ข้าจะไม่เก็บไว้เพียงคนเดียวแน่นอน”
“เช่นนั้นหากอาจารย์เฮ่อมีตำราเล่มนี้ น่าจะสอนได้ไม่เลวกระมัง! ”
“น่าจะใช่ อาจารย์เซียวช่างเป็นคนดีจริงๆ ของที่ตัวเองเขียนขึ้นมา แบ่งปันกับผู้อื่น เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย”
เซียวยวี่สามารถอาศัยเรื่องในครั้งนี้ รับนักเรียนเพิ่ม ขยายสถานศึกษา เขามีชื่อเสียงแล้ว ย่อมรับนักเรียนได้เพิ่มขึ้น ไม่แน่ว่าหากเขาพยายามขึ้นอีก อาจมีชื่อเสียงเหนือกว่าสถานศึกษาเหวินกงด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นผู้คนรอบข้างชื่นชมตนเองเช่นนี้ เซียวยวี่ได้แต่ยิ้มด้วยความเก้อเขิน “ทุกท่านยกย่องข้าเกินไป ข้าเป็นเพียงบัณฑิตไร้คุณวุฒิ ไม่อาจเทียบกับผู้อำนวยการเหวินและอาจารย์เฮ่อได้ สถานศึกษาเหวินกงก่อตั้งมานานหลายปี พวกเขาย่อมสอนดีกว่าข้าแน่นอน เพียงแค่ข้ามีตำราเล่มนี้ในมือเท่านั้น เมื่อข้าส่งตำราเล่มนี้ออกไป หากสถานศึกษาสอนตามตำราเล่มนี้ ต้องสอนได้ดีกว่าข้าแน่ ทุกท่านไม่จำเป็นต้องมาที่นี่”
หากใช้ตำราเดียวกัน โดยให้จวี่เหรินสอน ย่อมดีกว่าเขาที่เป็นบัณฑิตไร้คุณวุฒิสอนมากนัก
ทุกคนมองดูตำราในมือเขา ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงทยอยกันอำลาจากไป
ภาพเหตุการณ์ที่ครึกครื้นเมื่อครู่ บัดนี้กลับเงียบสงบ
เซี่ยยวี่หลัวเดินไป จับมือเซียวยวี่ไว้
เซียวยวี่เองก็จับมือนางไว้ “มาได้อย่างไร? ”
เมื่อครู่ตอนนางมา เขาก็เห็นนางแล้ว แต่มีคนมากเกินไป เขาจึงไม่ได้มองไปที่นาง
เซี่ยยวี่หลัวยิ้ม “มานานแล้ว เซียวซานนึกว่ามีคนจะมาหาเรื่องเจ้า จึงไปตามข้ามา! ”
เซียวซานใบหน้าขึ้นสีแดง หัวเราะด้วยท่าทางเก้อเขิน
เซียวยวี่เอ่ยขึ้น “ใกล้เลิกเรียนแล้ว เจ้ารอข้าก่อน”
“ได้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก! ”
เซียวยวี่ไม่อยากให้เวลาสูญเปล่าแม้แต่น้อย ปรับสภาวะจิตใจเสร็จ จึงกลับไปสอนเด็กๆ ต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ
เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่ในตำแหน่งที่เขามองไม่เห็น ได้ยินเสียงขึ้นๆ ลงๆ ด้านใน เต็มไปด้วยกระแสอารมณ์ เซี่ยยวี่หลัวพิงอยู่ตรงกำแพง แหงนหน้ามองดูท้องฟ้าสีครามแสนบริสุทธิ์
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเด็กๆ อ่านตำราดังขึ้นจากด้านใน
ด้านนอกสถานศึกษา รถม้าที่แสนจะธรรมดาคันหนึ่งยังไม่ได้ไป
นอกตัวรถมีคนรถที่ใบหน้าดูสัตย์ซื่อแต่กลับทรงพลังนั่งอยู่ ภายในตัวรถ คือฉางโส่วหนงและหนีเหลียง
ฉางโส่วหนงลูบหนวดเครา ฟังเสียงอ่านตำราที่ดังขึ้นจากด้านใน ยิ้มพร้อมพยักหน้าไม่หยุด
หนีเหลียงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เดิมทีพวกเขาจะมาหาเซียวยวี่ กลับคิดไม่ถึงว่าจะพบชาวบ้านมากมายถึงเพียงนี้ พวกเขาล้วนไปแล้ว แต่ใต้เท้ากลับไม่เข้าไป
ช่างประหลาดเสียจริง!
“ใต้เท้า พวกเราเข้าไปกันดีหรือไม่ขอรับ? ” หนีเหลียงเอ่ยถาม
ประเดี๋ยวใต้เท้ายังมีธุระสำคัญต้องทำอีกมากมาย จะเสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่ได้
ฉางโส่วหนงแย้มรอยยิ้ม “ไม่ต้อง เข้าไปเขาก็ไม่พบพวกเราหรอก! ”
หนีเหลียงรู้สึกสงสัย “เพราะเหตุใดขอรับ? ”
“เจ้าจำไม่ได้หรือว่าตอนพวกเรามาถึง ประตูใหญ่ลงกลอนไว้ คนกลุ่มนั้นเคาะประตู ด้านในก็ไม่มีคนตอบ จวบจนพวกเขาเคาะประตูเสียงดัง รบกวนการสอนหนังสือด้านใน เซียวยวี่จึงกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง? ”
ตอนนั้นมีคนจำนวนมากเกินไป หนีเหลียงจำไม่ได้จริงๆ
“จำไม่ได้ขอรับ ใต้เท้า เขากล่าวว่าอะไรหรือ? ”
ฉางโส่วหนงยังจำได้ว่าผู้ที่มาเปิดประตูคือเซียวยวี่ เขาเพียงเปิดให้เห็นร่องเล็ก ก่อนกล่าวกับคนเหล่านั้นด้วยท่าทางเย็นชา “ข้ากำลังสอนหนังสือ หากมีธุระ รอให้ถึงช่วงพักค่อยว่ากัน” ตอนนั้นเซียวยวี่กล่าวจบ ก็ปิดประตูใหญ่และลงกลอนทันที
คนด้านนอกต่างก็รอเซียวยวี่สอนจนเสร็จอย่างว่าง่าย
หนีเหลียงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งทันที “เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงทีเดียว”
“คนๆ หนึ่งมีความรับผิดชอบ นั่นคือหลักการทำงานที่ดีที่สุด” ฉางโส่วหนงยิ้มพร้อมกล่าว
อยู่ในตำแหน่งใด ย่อมต้องทุ่มเท รับผิดชอบเนื้องาน และทำงานในตำแหน่งนั้นอย่างสุดความสามารถ
“เช่นนั้นใต้เท้า ท่านกำลังรอ…”
“รอให้เซียวยวี่สอนเสร็จอย่างไรเล่า! หรือเจ้าอยากให้ข้าโดนปิดประตูใส่หน้าหรืออย่างไร? ” ฉางโส่วหนงหัวเราะพลางกล่าว หัวเราะจนเคราแพะแทบชี้ขึ้น
หนีเหลียงเกาศีรษะแก้เก้อ ตอนนี้เซียวยวี่ยังไม่รู้ฐานะของใต้เท้า ไม่แน่ว่าอาจปิดประตูใส่หน้าใต้เท้าจริงๆ กระมัง
ไม่รู้ว่าหากเซียวยวี่รู้ฐานะของใต้เท้า จะยังปล่อยให้เขารออยู่หรือไม่?
หนีเหลียงไม่อาจคาดเดาได้
ทั้งสองคนได้แต่รอต่อไป จวบจนได้ยินเสียงเด็กๆ กล่าวอย่างพร้อมเพรียงจากด้านใน “ขออำลาท่านอาจารย์! ”
เลิกเรียนแล้ว
ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทถูกเปิดออก เด็กๆ กรูกันออกมา แยกย้ายกันกลับบ้าน
เซียวยวี่กำลังเก็บกวาดข้าวของอยู่ด้านใน เซี่ยยวี่หลัวเข้าไปช่วย หลังจากทำเสร็จ จึงพาเด็กสองคนกลับบ้าน
ด้านนอกยังมีรถม้าอีกหนึ่งคัน หน้ารถม้ามีคนยืนอยู่สองคน
เซี่ยยวี่หลัวจำหนึ่งในสองคนนั้นได้ เขาคือหนีเหลียง
“ใต้เท้าหนี ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ? ” เซี่ยยวี่หลัวได้พบหนีเหลียง รู้สึกตกใจและประหลาดใจเล็กน้อย
เซียวยวี่ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน สายตามองทอดไปยังตัวบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายหนีเหลียง
บุรุษวัยกลางคนรูปร่างปานกลาง จมูกกว้างสันจมูกตรง ใบหน้าเป็นมิตร บนกายมีรัศมีน่ายำเกรง ยามนี้กำลังมองเซียวยวี่อย่างพินิจ
เซี่ยยวี่หลัวคาดเดาฐานะของคนผู้นี้ได้ทันที
นางรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง รีบพาเซียวยวี่เดินขึ้นหน้าไปคำนับอย่างมีมารยาท “ใต้เท้าฉาง! ”
ฉางโส่วหนงลูบเคราแพะของเขา ยิ้มพร้อมกล่าว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือฉางโส่วหนง? ”
“คนที่สามารถทำให้ใต้เท้าหนีอยู่ด้วยได้ น่าจะเป็นใต้เท้าฉางเจ้าค่ะ นอกจากนั้น ผู้คนมักจะกล่าวกันว่า ใต้เท้าฉางรักประชาชนดุจลูกหลาน ใบหน้าดูเป็นกันเอง ทว่ามีความน่ายำเกรง นี่คือใต้เท้าฉางเจ้าค่ะ! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอย่างไม่แข็งกร้าวหรือถ่อมตัวเกินไป
ฉางโส่วหนงหัวเราะเบาๆ “ถือว่ามีสายตาเฉียบแหลม”
กล่าวจบ เขาหันมองเซียวยวี่ที่อยู่ข้างๆ เซียวยวี่แสดงสีหน้าเคารพ กลับไม่หวั่นเกรง เขายิ้มพร้อมกล่าว “ขอคุยกันเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่? ”