ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 15 บทที่ 462 ในบ้านท่านไม่มีบ่าวรับใช้หรือ ถึงต้องให้ท่านลงมือเอง
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 15 บทที่ 462 ในบ้านท่านไม่มีบ่าวรับใช้หรือ ถึงต้องให้ท่านลงมือเอง
บทที่ 462 ในบ้านท่านไม่มีบ่าวรับใช้หรือ ถึงต้องให้ท่านลงมือเอง
“เจ้าคิดว่าข้าไม่เห็นหรือ? ข้าก็เห็นแล้ว นับตั้งแต่เขาเข้ามา จวบจนออกจากที่นี่ สีหน้าของเขาดูไม่มีความสุขแม้แต่น้อย! ”
ท่านป้ากุ้ยกล่าวด้วยความเห็นใจ “คุณชาย…”
“บางทีวันนั้นข้าอาจกล่าวถูกแล้ว ซินเยว่คงไม่ใช่ประเภทที่เขาชอบจริงๆ ” ฮูหยินเฒ่ากู้ทอดถอนใจ เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีหรือจะไม่คิดเรื่องความรักชายหญิง?
ดูจากที่เขาปฏิบัติต่อซินเยว่ด้วยท่าทีเย็นชา ก็สามารถรู้ได้ ว่าบุตรชายของตนเองไม่มีใจให้ซินเยว่แม้แต่น้อย
“บางทีอาจเพราะคุณชายยังไม่เข้าใจเรื่องความรักชายหญิงหรือไม่เจ้าคะ? ” ท่านป้ากุ้ยคิดว่ายังมีความเป็นไปได้อีกรูปแบบหนึ่ง
“ยังไม่เข้าใจงั้นหรือ? ” ฮูหยินเฒ่ากู้คิดครู่หนึ่ง
ก่อนหันมองคนที่แสร้งทำเป็นหลับอยู่ด้านใน เมื่อครู่นางเห็นอย่างชัดเจน ว่าร่างกายของคนด้านในขยับตัวเล็กน้อย
คนบนเตียงยังไม่ได้นอนหลับ
“อาจยังไม่เข้าใจกระมัง! ” ฮูหยินเฒ่ากู้กล่าว ราวกับบอกตัวเอง แต่ก็ดูคล้ายกำลังกล่าวกับท่านป้ากุ้ย ทั้งยังเหมือนกล่าวกับคนที่อยู่บนเตียง!
ยังไม่เข้าใจหรือ?
หากยังไม่เข้าใจ เช่นนั้นถึงจะดีจริง!
เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาลอยฟุ้งไปทั่ว
วันไหว้พระจันทร์เป็นวันหยุด เซี่ยยวี่หลัวและเซียวยวี่พาเด็กสองคนเข้าไปในตัวเมืองตั้งแต่คืนก่อนหน้า คิดจะฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่โรงผลิต
อีกทั้งตอนค่ำยังสามารถพาเด็กสองคนไปเดินเที่ยวตามท้องถนนได้ คึกคักกว่าในหมู่บ้านมากนัก
คืนวันไหว้พระจันทร์ คือคืนชมจันทร์
หลังจากทั้งสี่คนกินอาหารเย็น และชมพระจันทร์อยู่ครู่หนึ่ง จึงออกไป พวกเขาเข้าไปในตัวเมือง บนท้องถนนในเมืองโยวหลันวันนี้ครึกครื้นกว่าวันที่มีตลาดยามค่ำคืนเสียอีก ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ตามท้องถนนและตรอกซอกซอย เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุย
เด็กสองคนราวกับเป็นม้าที่หลุดจากบ่วงเชือกอย่างไรอย่างนั้น วิ่งไปทั่ว เซียวยวี่และเซี่ยยวี่หลัวเกรงว่าเด็กสองคนจะวิ่งจนหลง จึงไล่ตามอยู่ข้างหลังไม่หยุด
นางเห็นเซียวยวี่จูงมือเด็กสองคนไว้แล้ว เพิ่งยืนพักหายใจเพียงครู่เดียว เมื่อเงยหน้าอีกครั้ง เซียวยวี่และเด็กสองคนก็หายไปแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวเดินไปพลางหาคนไปพลาง ผู้คนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นางเบียดเข้าไปในกลุ่มคน ชะเง้อคอมองหาไปทั่ว ทว่าไม่รู้ว่าใครผลักใส่นาง ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ร่างกายก็เซไปด้านหน้าเสียแล้ว ข้างหน้ามีคนกำลังเดินผ่านไป เซี่ยยวี่หลัวยิ้มอย่างขมขื่น คราวนี้เกรงว่าต้องชนใส่ผู้อื่นแล้ว
จู่ๆ เงาร่างตรงหน้าพลันหยุดชะงัก ก่อนจะหันขวับกลับมา พลันยื่นมือทั้งคู่ไปรับไว้ สามารถรับเซี่ยยวี่หลัวที่กำลังเซจนล้มลงไปได้พอดี
“ขอบคุณ ขอบคุณ! ” เซี่ยยวี่หลัวทรงตัวได้แล้ว จึงรีบเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย
“ฮูหยินเซียว…” เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกนาง นั่นคือซ่งฝู
เซี่ยยวี่หลัวเงยหน้า ก็เห็นซ่งฉางชิงที่ยืนอยู่ข้างหน้า สวมใส่ชุดสีฟ้าคราม เห็นได้ชัดว่าคนที่เมื่อครู่นี้นางเกือบจะชนเข้าใส่ ก็คือซ่งฉางชิง
คิดไม่ถึงว่าซ่งฉางชิงจะมีสัมผัสฉับไวถึงเพียงนี้ สามารถหันกลับมารับนางไว้ได้
“ขอบคุณท่านซ่งมาก หากไม่ใช่เพราะท่านรับข้าไว้ได้ทันเวลา เกรงว่าพวกเราคงต้องล้มลงไปทั้งคู่แล้ว! ” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว
ซ่งฉางชิงสีหน้าเรียบสงบ “ไม่เป็นอะไร”
เมื่อครู่เขาเดินอยู่ด้านหน้า จู่ๆ ก็ได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยจากด้านหลัง นั่นเป็นกลิ่นที่เขาไม่มีทางลืมได้ จากนั้นจึงเป็นเสียงอุทานด้วยความตกใจ ซ่งฉางชิงฟังออกว่านั่นเป็นเสียงของเซี่ยยวี่หลัว
เขาหันกลับไปทันที เห็นว่านางกำลังล้มมาทางเขา บางทีอาจโดนคนที่เดินไปมาเบียด ซ่งฉางชิงจึงยื่นมือออกไปรับนางไว้ตามสัญชาตญาณ
ร่างกายอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูก กลิ่นตรงปลายจมูกเข้มข้นขึ้น นั่นคือกลิ่นที่เขาคุ้นเคย
จวบจนนางทรงตัวได้ ซ่งฉางชิงจึงชักมือกลับ ก่อนรีบถอยหลัง รักษาระยะห่างกับเซี่ยยวี่หลัวในระดับที่ปลอดภัย
สอดมือคู่เข้าไปในแขนเสื้อ จับกันไว้แน่น
ปลายนิ้วยังมีสัมผัสเมื่อครู่หลงเหลืออยู่
ร่างกายของนาง อ่อนนุ่มถึงเพียงนั้น!
สีหน้าของเขาเรียบสงบอยู่ตลอด หลุบตาลงเล็กน้อย ราวกับเรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น
อุบัติเหตุที่ไม่ว่าผู้ใดอยู่ด้านหลัง เขาก็จะยื่นมือเข้าช่วยประคองไว้
ฮูหยินเฒ่ากู้ก็จำเซี่ยยวี่หลัวได้เช่นกัน “ที่แท้ก็เป็นฮูหยินเซียวนี่เอง! ”
เซี่ยยวี่หลัวย่อตัวคำนับ กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คารวะฮูหยินเฒ่า”
รอยยิ้มบนใบหน้านาง ดูไปแล้วประหนึ่งสายลมในเดือนสาม โบกพัดจนรู้สึกอบอุ่นถึงหัวใจ!
ฮูหยินเฒ่ากู้ชอบเด็กที่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน ดูแล้วรู้สึกสบายตาเช่นนี้ จึงเดินขึ้นหน้าไปจับมือเซี่ยยวี่หลัว “เหตุใดเจ้าถึงออกมาคนเดียวเล่า? ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าออกมาพร้อมสามีและน้องชายน้องสาว แต่คนมากเกินไป จึงเดินหลงกันเจ้าค่ะ! ” เซี่ยยวี่หลัวเหลียวซ้ายแลขวา ก็ยังไม่เห็นพวกเซียวยวี่
“สตรีเดินบนท้องถนนยามค่ำคืนเพียงลำพังนั้นอันตรายมาก ถ้าอย่างไรเอาเช่นนี้ เจ้าเดินกับพวกเราเถิด หากพบกับคนในครอบครัวของเจ้า ค่อยกลับไปกับพวกเขา !” ฮูหยินเฒ่ากู้เชื้อเชิญเซี่ยยวี่หลัวด้วยตัวเอง
เซี่ยยวี่หลัวลองคิดดู รู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จึงตอบตกลง “เช่นนั้นขอบคุณฮูหยินเฒ่ามากเจ้าค่ะ”
คนทั้งกลุ่มเดินกลับไป ฮูหยินเฒ่ากู้เดินอยู่ด้านหน้า กู้ซินเยว่ประคองนางไว้ ฮูหยินเฒ่ากู้จะพูดคุยกับเซี่ยยวี่หลัว เซี่ยยวี่หลัวจึงเดินอยู่ข้างกายฮูหยินเฒ่า
ซ่งฉางชิงเดินตามอยู่ข้างหลัง
“ได้ยินว่าเจ้าทำอาหารเก่งมาก อาหารใหม่หลายอย่างในเซียนจวีโหลวล้วนเป็นสูตรอาหารของเจ้ากระมัง? ” ฮูหยินเฒ่ากู้มองดาวนำโชคของตระกูลซ่ง รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
บอกว่าเป็นดาวนำโชคก็เป็นดาวนำโชคจริง หากไม่ได้อาหารหลายชนิดที่นางคิดสูตรขึ้นใหม่ ช่วงหลายเดือนนี้กิจการของเซียนจวีโหลวจะดีถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “ปกติยามว่างก็ชอบทำอาหารเจ้าค่ะ”
กู้ซินเยว่ได้ฟังดังนั้น ก็เอ่ยถามทันที “ในเรือนฮูหยินเซียวไม่มีบ่าวรับใช้หรือ? เหตุใดฮูหยินเซียวถึงต้องลงมือเอง? ”
ทำอาหารให้คนในครอบครัว ย่อมต้องลงมือเองไม่ใช่หรือ?
เซี่ยยวี่หลัวผงะไป ก่อนจะยิ้มพร้อมกล่าวอย่างรวดเร็ว “พื้นที่ชนบท ลงมือทำเองก็เพียงพอแล้ว ไม่มีบ่าวรับใช้”
“เช่นนั้นคงเหนื่อยมากกระมัง! ” กู้ซินเยว่มองเซี่ยยวี่หลัวแวบหนึ่ง น้ำเสียงแฝงเร้นด้วยความสงสาร แต่วาจากลับฟังดูเหมือนมีความหมายเป็นอื่น
“พอไหว ไม่เหนื่อยเท่าใดนัก! ” เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม
“ฮูหยินเซียวรูปลักษณ์งดงาม หน้าตาเช่นนี้ ต่อให้แต่งเข้าตระกูลใหญ่ไปเป็นนายหญิงใหญ่ ก็ยังเป็นไปได้ เหตุใดถึงแต่งกับชาวบ้านในพื้นที่ชนบทเล่า? ” กู้ซินเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
เซี่ยยวี่หลัวเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนแย้มรอยยิ้มออกมา “ข้าคิดว่าข้าได้คู่ครองที่ดีมากทีเดียว”
ฮูหยินเฒ่ากู้ก็รู้สึกว่าวาจานี้ฟังดูไม่รื่นหู จึงเอ่ยเรียกซินเยว่ทีหนึ่ง
กู้ซินเยว่กอดแขนฮูหยินเฒ่ากู้ไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านป้า ซินเยว่เพียงแค่สงสารฮูหยินเซียวเจ้าค่ะ สตรีที่รูปโฉมงดงามรูปร่างอรชรเช่นนี้ เดิมทีก็ควรได้รับความรักและดูแลเป็นอย่างดี ที่ไหนได้กลับต้องลำบากมากถึงเพียงนี้ น่าสงสารจริงๆ เจ้าค่ะ! ”
ทว่า คราวนี้เซี่ยยวี่หลัวไม่ยิ้มแล้ว