ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 15 บทที่ 467 ตระกูลซ่งเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 15 บทที่ 467 ตระกูลซ่งเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
บทที่ 467 ตระกูลซ่งเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
ตอนเย็นหลังเลิกเรียน เก๋อวั่งยังคงมารับเก๋อเหลียงหยวนกลับไปตามเดิม ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะไป เซียวยวี่ก็ขวางพวกเขาไว้ ก่อนยื่นส่งตะกร้าใบเล็กในมือให้เก๋อวั่ง “ท่านลุง นี่ให้ท่าน”
เก๋อวั่งไม่รู้ว่าคือสิ่งใด เอื้อมมือรับมา ตอนที่เห็นว่าภายในคือหมูผัดพริก เก๋อวั่งก็ผงะไป “อาจารย์ นี่คือ…”
“นี่เป็นเนื้อหมูที่ท่านซื้อกลับมาตอนเช้า ยังเหลืออีกส่วนหนึ่ง อาหลัวจึงเตรียมให้ท่านกับเหลียงหยวนโดยเฉพาะ กินเป็นอาหารเย็นได้ดีทีเดียว”
“ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร? ” เก๋อวั่งคิดจะดันของกลับไปตามสัญชาตญาณ แต่สิ่งของที่เซียวยวี่จะมอบให้ผู้อื่น มีหรือจะรับกลับมา เขาไพล่มือคู่ไว้ด้านหลัง หันขวับเดินจากไปทันที
เก๋อวั่งมองดูหมูผัดพริกในตะกร้า กลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างอดไม่ได้
มีเนื้อหมู!
รถม้าวิ่งไปตามเส้นทาง รถม้าวิ่งเร็วมาก สายลมพัดผ่านมาค่อนข้างแรง จู่ๆ เก๋อวั่งก็เอ่ยปาก กล่าวกับเก๋อเหลียงหยวนที่นั่งอยู่ข้างๆ “เหลียงหยวน อาจารย์และอาจารย์หญิงคือบิดามารดาชั่วชีวิตของเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติต่อพวกท่านเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อข้ากับมารดาของเจ้า… ไม่สิ ต้องเคารพพวกท่านยิ่งกว่าพ่อและมารดาของเจ้า ปฏิบัติต่ออาจารย์และอาจารย์หญิงของเจ้าอย่างดี เข้าใจหรือไม่? ”
เก๋อเหลียงหยวนเข้าใจ
ชั่วชีวิตนี้ นอกจากบิดามารดา คนที่รักเขาที่สุด ก็มีเพียงอาจารย์และอาจารย์หญิงเท่านั้น
พวกเขาให้เขาเล่าเรียน ทั้งยังให้เขากินอาหาร ให้เขากินเนื้อหมู ให้เขาดื่มน้ำแกง บุญคุณนี้ เก๋อเหลียงหยวนไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิต
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านพ่อ! ท่านวางใจได้ ข้าจะปฏิบัติต่ออาจารย์และอาจารย์หญิงเหมือนที่ปฏิบัติต่อท่านและท่านแม่ขอรับ” เก๋อเหลียงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ก่อนหันกลับไปมองหมู่บ้านสกุลเซียวที่ลับสายตาไปแล้ว ทว่าเขายังคงไม่เก็บคืนสายตา ราวกับกำลังให้คำสัตย์สาบานอย่างไรอย่างนั้น
ในภายหลัง ทุกเรื่องที่เก๋อเหลียงหยวนทำในชีวิตนี้ ก็ไม่เคยผิดต่อคำสัตย์สาบานของเขาในวันนี้แม้แต่น้อย
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เก๋อเหลียงหยวนกินข้าวที่บ้านอาจารย์และอาจารย์หญิงตลอด เดิมทีเก๋อวั่งคิดจะซื้อเนื้อหมูให้ทุกสามวันห้าวัน แต่เซี่ยยวี่หลัวกลับให้เขาล้มเลิกความคิดนี้เสีย มิเช่นนั้นก็จะไม่ให้เก๋อเหลียงหยวนเรียนอีก เก๋อวั่งรู้ว่าฮูหยินเซียวกำลังจงใจยั่วยุเขา เก๋อวั่งจึงไม่ซื้อของมา ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อสองสามีภรรยา
วันคืนเคลื่อนคล้อยผ่านไป เวลาผ่านไปรวดเร็วดุจสายน้ำไหล
เซี่ยยวี่หลัวอยู่บ้านคอยทำอาหาร ทำความสะอาด และวาดแบบลวดลายทุกวัน ส่วนเซียวยวี่และเด็กสองคนไปเล่าเรียนที่สถานศึกษา ผ่านไปวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า เดือนแปดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเดือนเก้าแล้ว
อากาศค่อยๆ เย็นลง เซี่ยยวี่หลัวเริ่มเตรียมเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงให้คนในครอบครัว สิ่งที่นางทำได้ ก็ลงมือทำเอง สิ่งที่ทำไม่ได้ ก็ให้ฮวาหม่ายีทำแทน
ไม่ได้เข้าไปในตัวเมืองนานกว่าหนึ่งเดือน นางสะสมแบบลวดลายไว้หลายสิบแบบ นอกจากนั้น ก็ต้องนำสือโถวจี้เล่มที่สองไปด้วย อีกอย่างหนึ่ง เรื่องที่ครั้งก่อนนางไหว้วานซ่งฉางชิง ไม่รู้ว่าสอบถามจนได้ความอย่างไรบ้าง เรื่องเหล่านี้นางต้องไปถามเขาให้รู้
เซี่ยยวี่หลัวอาศัยช่วงที่เซียวยวี่หยุด พาเด็กสองคนไปที่ฮวาเหนียงเพื่อวัดขนาดร่างกาย
ที่ฮวาเหนียงมีบันทึกขนาดร่างกายของเด็กสองคนตั้งแต่ครั้งก่อน เมื่อวัดเสร็จแล้วก็เอ่ยชมอย่างอดไม่ได้ “นี่ยวี่หลัว เจ้าให้เด็กสองคนนี้กินอะไรกัน เพิ่งผ่านไปเพียงไม่นาน เหตุใดถึงตัวสูงขนาดนี้? ตัวโตขึ้นมากทีเดียว! ”
เด็กสองคนตัวสูงขึ้นอย่างแท้จริง เสื้อผ้าที่เพิ่งตัดในฤดูร้อน แขนเสื้อและขากางเกงก็เล็กแล้ว นอกจากนั้น ยังรู้สึกคับตัว ไม่เพียงแค่ตัวสูงขึ้น แม้แต่ร่างกายก็มีน้ำมีนวลมากขึ้นเช่นกัน
เด็กเล็กต้องอวบๆ ถึงจะดูดี
เซี่ยยวี่หลัวฟังฮวาเหนียงกล่าวไม่หยุด ก่อนหันมองเด็กสองคนที่มีลักษณะทั้งอ้วนทั้งขาว ภายในใจรู้สึกยินดีเสียยิ่งกว่าอะไร “พี่ใหญ่ของพวกเขาตัวสูงถึงเพียงนี้ เด็กสองคนนี้จะไม่สูงได้อย่างไร! ”
หากเป็นยุคสมัยปัจจุบัน เซียวยวี่คงมีความสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบห้าหลีมี่กระมัง อีกทั้งเขายังสามารถเติบโตขึ้นได้อีกหนึ่งถึงสองปี!
ฮวาเหนียงวัดขนาดร่างกายเด็กสองคนเสร็จ จึงหันมองเซี่ยยวี่หลัว ก่อนกล่าว “ยวี่หลัว ข้ารู้สึกว่าเจ้าเองก็อ้วนขึ้นและสูงขึ้นเล็กน้อย ข้าจะลองวัดดู! ”
หากตัวสูงขึ้นเซี่ยยวี่หลัวย่อมรู้สึกชอบ ส่วนอ้วนขึ้นหรือ?
เซี่ยยวี่หลัวได้ฟังดังนั้นสีหน้าก็ดูย่ำแย่ทันที “ไม่กระมัง? อ้วนหรือ? ท่านช่วยดูเร็ว ว่าเอวของข้ามีขนาดเท่าใดแล้ว มิน่าล่ะข้าถึงรู้สึกว่าเสื้อนี่คับไปบ้าง ที่แท้เพราะข้าอ้วนขึ้น”
สตรีล้วนชอบความงดงาม อ้วนขึ้นแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่ได้!
ฮวาเหนียงวัดเสร็จแล้ว เมื่อเทียบขนาดความสูงและน้ำหนักกับตัวเลขครั้งก่อน ถึงแม้จะตัวสูงขึ้น น้ำหนักก็เพิ่มขึ้น แต่เลขฐานไม่ต่างจากเดิม เซี่ยยวี่หลัวจึงรู้สึกวางใจ
ไม่ได้อ้วนขึ้นก็พอ!
“ยวี่หลัว เรื่องน้ำดอกไม้ครั้งก่อนเจ้าจัดการเสร็จหรือยัง? ” จู่ๆ ฮวาเหนียงก็เอ่ยถาม
เซี่ยยวี่หลัวส่ายหน้า “ยังเลย ท่านซ่งก็ยังไม่ได้ให้คำตอบ คราวนี้ข้าจะได้ไปถามเขาต่อหน้าพอดี! ”
ฮวาเหนียงถอนหายใจทีหนึ่ง สีหน้าดูเศร้าโศก “เจ้าอย่าไปจะดีกว่า”
“เพราะเหตุใดหรือ? ” เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดอยู่ๆ ถึงไม่ให้ไป?
“ช่วงนี้เรือนตระกูลซ่งเกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ” ฮวาเหนียงทอดถอนใจก่อนกล่าว “ฮูหยินเฒ่ากู้ล้มป่วย ไม่ว่าจะหาหมอกี่คนก็ช่วยไม่ได้ ท่านซ่งเป็นคนกตัญญู แทบไม่สนใจเรื่องในภัตตาคารแล้ว ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้ฮูหยินเฒ่ากู้ ระยะนี้กิจการของเซียนจวีโหลวก็ไม่ไหวแล้วเช่นกัน! ”
เซี่ยยวี่หลัวรีบเอ่ยถาม “ฮูหยินเฒ่ากู้ล้มป่วยเป็นโรคอะไรหรือ? ป่วยหนักมากหรือไม่? ครั้งก่อนข้าเห็นนางตอนเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ นางยังสุขภาพดีอยู่เลย! ”
“ก็ใช่น่ะสิ ครั้งก่อนข้าก็เห็นว่าสุขภาพดีมาก แต่คนเรา อาจเพราะแก่ตัวลง พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ สภาพร่างกายตรงนั้นก็ไม่ไหว ตรงนี้ก็ไม่ไหว! ฮูหยินเฒ่ากู้มักจะเวียนศีรษะและตาลาย ลุกขึ้นยืนก็รู้สึกวิงเวียนทันที ได้แต่นอนลง” ฮวาเหนียงได้ยินก็รู้สึกเสียดายยิ่งนัก “เซียนจวีโหลวในอดีตมีลูกค้านั่งเต็มร้าน บัดนี้จิตใจของซ่งฉางชิงไม่ได้อยู่ที่เซียนจวีโหลว กิจการก็ย่ำแย่ลงทุกวัน หากเกิดอะไรขึ้น จะรักษาเซียนจวีโหลวไว้ได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่! ”
“เช่นนั้นตอนนี้ใครเป็นคนดูแลงานที่เซียนจวีโหลวเล่า? ”
“ท่านซ่งน้อยอย่างไรเล่า เขาติดตามอยู่ข้างกายท่านซ่งมานานปี เรียนรู้มานานหลายปี แต่อาจเพราะคิดเงินช้าเกินไป บางครั้งลูกค้ารอไม่ไหวจึงส่งเสียงโวยวาย เป็นเช่นนี้บ่อยเข้า จึงไม่อยากมาอีก! ”
“ฮวาเหนียง ท่านช่วยข้าเลือกผ้าที่ดูดีและใส่สบาย ข้าไปก่อน” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวจบ ก็กำลังจะออกไป
ฮวาเหนียงเรียกนางไว้ “เจ้าจะไปที่ใดกันหรือ? รีบร้อนถึงเพียงนี้! ”
“ข้าจะไปเซียนจวีโหลวสักหนหนึ่ง” เซี่ยยวี่หลัวบอกกล่าวกับเซียวยวี่ เซียวยวี่จึงพาเด็กสองคนไปห้องหนังสือซานเว่ย
ในช่วงที่เซี่ยยวี่หลัวตกอับ เซียนจวีโหลวเคยให้ความช่วยเหลือนางเป็นอย่างมาก บัดนี้เซียนจวีโหลวเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก อย่างไรเซี่ยยวี่หลัวก็ต้องไปช่วย
นางเปลี่ยนชุดบุรุษไปยังเซียนจวีโหลว
ซ่งฝูยังยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน กำลังฝึกดีดลูกคิด
ทว่า ยิ่งกลัวก็ยิ่งเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย เมื่อผิดพลาดก็ยิ่งกลัวกว่าเดิม จนซ่งฝูไม่กล้าสัมผัสลูกคิดอีก