ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 15 บทที่ 474 การรักษาเป็นศาสตร์แห่งความเมตตา ผู้รักษาต้องมีเมตตาจิต
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 15 บทที่ 474 การรักษาเป็นศาสตร์แห่งความเมตตา ผู้รักษาต้องมีเมตตาจิต
บทที่ 474 การรักษาเป็นศาสตร์แห่งความเมตตา ผู้รักษาต้องมีเมตตาจิต
เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่ข้างๆ
ถึงแม้ซุนไคยุ่นจะเป็นคนปากร้าย แต่ก็มีความสามารถด้านการรักษาที่ดีเยี่ยมอย่างแท้จริง
แม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่ช่วงท้ายของนิยาย แต่ก็เห็นความสามารถด้านการรักษาที่ยอดเยี่ยมแล้ว เขาจับชีพจรเพียงครู่เดียว ก็ชักมือกลับ สีหน้าดูเคร่งเครียดเล็กน้อย
ซ่งฉางชิงรู้สึกกังวลจนจุกแน่นตรงคอ สีหน้าดูวิตกกังวล “ท่านหมอซุน มารดาของข้า…”
ซุนไคยุ่นไม่กล่าวอะไร หยิบน้ำที่อยู่ข้างโต๊ะมาดมดู กู้ซินเยว่รู้สึกหวั่นวิตกทันที แต่ไม่นานก็รู้สึกเบาใจอีกครั้ง
“ฮูหยินเฒ่าถูกพิษ! ” ซุนไคยุ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ถูกพิษ?
ทุกคนในที่นี้ต่างรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ซ่งฉางชิงเองก็เช่นกัน “มารดาของข้าจะถูกพิษได้อย่างไร? ”
กู้ซินเยว่กล่าวขึ้นตาม “จริงด้วย จะถูกพิษได้อย่างไร? อาหารการกินของฮูหยินเฒ่า ท่านป้ากุ้ยเป็นคนดูแลทั้งหมด! ”
ท่านป้ากุ้ยรีบอธิบาย “ฮูหยินเฒ่าปฏิบัติต่อข้าเสมือนพี่น้อง ข้าติดตามฮูหยินเฒ่ามาหลายสิบปี ข้าจะวางยาทำร้ายฮูหยินเฒ่าได้อย่างไร? ”
ซ่งฉางชิงเองก็ไม่เชื่อว่าท่านป้ากุ้ยจะทำเช่นนี้
หลังจากตัดผู้ที่เกี่ยวข้องออกไปหลายคน ยังจะมีใครลงมือวางยาฮูหยินเฒ่าได้อีก?
ไม่มีแล้ว
“ไม่ทราบว่ามารดาของข้าถูกพิษอะไร? ” ซ่งฉางชิงเอ่ยถาม
ซุนไคยุ่นส่ายหน้า เขาตรวจไม่พบ พิษชนิดนี้เจือจางมาก แต่กลับส่งผลต่อระบบประสาทของมนุษย์ เช่นเดียวกับธูปกล่อมประสาทที่มีฤทธิ์ช่วยเรื่องการนอนหลับ เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยให้นอนหลับได้ พิษชนิดนี้ เมื่อกินลงไป ก็จะทำให้รู้สึกง่วงและอยากนอนหลับ
กู้ซินเยว่หัวเราะอย่างเย็นเยียบ “ท่านหมอซุนไม่รู้ว่าเป็นพิษชนิดใด ก็กล้าวินิจฉัยว่าท่านป้าถูกพิษหรือ? คนมากมายที่มาดูอาการให้ท่านป้า ยังไม่มีใครกล้าพูดเช่นนี้เลย! ”
ซุนไคยุ่นถูกเซี่ยยวี่หลัวเชิญมา เดิมทีเขาก็ไม่ได้ต้องการอะไร หากไม่ใช่เพื่อหาเลี้ยงปากท้อง มีหรือที่เขาจะสนใจเรื่องเหล่านี้ บัดนี้ถูกคนเหน็บแนม ซุนไคยุ่นจึงจัดเสื้อผ้า ก่อนกล่าวกับซ่งฉางชิง “ข้าน้อยด้อยความสามารถ ขอให้คุณชายเชิญผู้อื่นมาเถิด!”
กล่าวจบก็หันตัวกำลังจะจากไป
“ท่านหมอซุน” เซี่ยยวี่หลัวขวางเขาไว้ “ในเมื่อท่านดูออกแล้วว่าฮูหยินเฒ่าถูกพิษ เช่นนั้นก็เป็นบทพิสูจน์ว่าความสามารถด้านการรักษาของท่านหมอซุนไม่ด้อยกว่าท่านหมอที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น ทั้งยังดีกว่าคนเหล่านั้นเสียอีก การรักษาเป็นศาสตร์แห่งความเมตตา ผู้รักษามีเมตตาจิต ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงแม้แต่น้อย”
ประโยคสุดท้ายนางจงใจกล่าวให้กู้ซินเยว่ฟัง
ซ่งฉางชิงมองกู้ซินเยว่ด้วยแววตาเย็นเยียบ ก่อนตะคอกอย่างเย็นชา “ขอขมาท่านหมอซุน! ”
“เขารักษาอาการป่วยของท่านป้าไม่ได้ บอกว่าถูกพิษอะไรกัน ทำไมท่านหมอคนอื่นดูไม่ออก แต่เขากลับดูออก? ญาติผู้พี่ ฮูหยินเซียวกับเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน ทำไมถึงพาเขามารักษาอาการท่านป้า? ” กู้ซินเยว่กล่าว “ท่านไม่สงสัยจุดประสงค์ของสองคนนี้หรือเจ้าคะ? ”
เซี่ยยวี่หลัวเลิกคิ้ว รู้สึกราวกับถูกใส่ความ “ข้าจะมีจุดประสงค์อะไรได้? ”
แค่เห็นว่าซ่งฉางชิงเคร่งเครียดเพราะเรื่องนี้ นางจึงอยากช่วยเหลือก็เท่านั้นเอง
ซ่งฉางชิงมองกู้ซินเยว่ทีหนึ่ง แววตาเย็นเฉียบดุจก้อนน้ำแข็งก็มิปาน
กู้ซินเยว่รู้สึกหัวใจเต้นแรง จากนั้นจึงเห็นซ่งฉางชิงกล่าวกับท่านป้ากุ้ยที่อยู่ข้างๆ “พาคุณหนูออกไป ห้ามให้นางเข้ามาในห้องของฮูหยินเฒ่าแม้แต่ก้าวเดียว”
“ญาติผู้พี่ ท่านจะไม่ให้ข้ามาเยี่ยมท่านป้าหรือเจ้าคะ? ” กู้ซินเยว่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จึงตะโกนเสียงดัง
ซ่งฉางชิงหันหลังไป ขอขมาซุนไคยุ่น “ท่านหมอซุน ขออภัยด้วย ข้าเชื่อในความสามารถด้านการรักษาของท่านหมอซุน ขอให้ท่านหมอซุนอย่าได้ถือสาวาจาเพ้อเจ้อเหลวไหลเมื่อครู่ โปรดรักษามารดาของข้าด้วย”
กู้ซินเยว่ยังคิดจะกล่าวอะไรอีก ท่านป้ากุ้ยที่อยู่ข้างๆ รู้สึกร้อนใจแทบตาย “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ? ฮูหยินเฒ่าล้มป่วย หาหมอตั้งมากมาย ไม่มีผู้ใดรักษาได้ หากคนผู้นี้รักษาฮูหยินเฒ่าได้เล่า? ท่านกลับไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ ที่นี่ให้คุณชายจัดการเถิด! ”
กู้ซินเยว่ “ท่านป้า เซี่ยยวี่หลัวผู้นี้มีเป้าหมายอะไรกันแน่? นางหาหมอไร้ชื่อมาคนหนึ่ง หากเขารักษาท่านป้าจนร่างกายย่ำแย่จะทำอย่างไร? ”
ถึงแม้ท่านป้ากุ้ยจะเป็นห่วง แต่คุณชายก็อยู่ด้านใน จะมีเรื่องอะไรได้
มีคนมาเพิ่มหนึ่งคน ความหวังในการรักษาฮูหยินเฒ่าก็เพิ่มมากขึ้น ท่านป้ากุ้ยรู้สึกว่าเรื่องนี้ปกติเป็นอย่างมาก!
กลับเป็นคุณหนูที่ช่วงหลายวันนี้อุปนิสัยเปลี่ยนไปจนนางคาดเดาไม่ถูก ราวกับเป็นใครที่นางไม่รู้จักอย่างไรอย่างนั้น “คุณหนู บ่าวรู้ว่าท่านหวังดีต่อฮูหยินเฒ่า แต่ตอนนี้คุณชายดูแลอยู่ด้านใน ระยะนี้ท่านก็เหนื่อยแล้ว กลับไปพักก่อนเถิดเจ้าค่ะ หากทางฮูหยินเฒ่ามีความคืบหน้าอะไร บ่าวจะมาแจ้งให้ท่านทราบทันที! ” กล่าวจบ ท่านป้ากุ้ยย่อตัวคำนับแล้วไปทันที
กู้ซินเยว่ยังคิดจะตามไป จื่อเยียนจึงรีบดึงนางไว้ “คุณหนู คุณชายโมโหแล้ว ท่านดูไม่ออกหรือเจ้าคะ? ”
“ข้าหวังดีต่อท่านป้า เขาจะโมโหไปทำไม? เซี่ยยวี่หลัวหาท่านหมอบ้าอะไรมา ทำไมนางถึงเชื่อว่าคนผู้นั้นจะรักษาอาการป่วยของท่านป้าได้! ” กู้ซินเยว่โมโหจนกัดฟันกรอด
ทว่า จื่อเยียนกลับรู้สึกขาอ่อน “คุณหนู เขาบอกว่าฮูหยินเฒ่าถูกพิษนะเจ้าคะ! ”
ฮูหยินเฒ่าถูกพิษอย่างแท้จริง ท่านหมอผู้นี้สามารถวินิจฉัยอาการที่ท่านหมอคนอื่นๆ ดูไม่ออก!
คุณหนู ท่านไม่กลัวหรือ?
หัวใจของกู้ซินเยว่เต้นแรงทันที หันมองจื่อเยียนด้วยแววตาหวาดผวา จื่อเยียนเองก็มองนางด้วยความหวาดกลัว นายบ่าวสองคนหันมองไปทางที่ฮูหยินเฒ่าพักรักษาตัว จากนั้นจึงกลับห้องไปราวกับกำลังหนีอย่างไรอย่างนั้น
ประหนึ่งด้านหลังมีวิญญาณร้ายกำลังไล่ตามพวกนางอยู่
“ยาเหล่านั้นเล่า? ยาเหล่านั้นยังมีอีกหรือไม่? ” เมื่อเข้าไป กู้ซินเยว่ก็จับมือของจื่อเยียน นางออกแรงบีบ หลังมือของจื่อเยียนที่เพิ่งตกสะเก็ดรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา แผลที่เพิ่งตกสะเก็ดถูกข่วนจนเปิดอีกครั้ง
นางเจ็บปวดจนร่างกายสั่นเทิ้ม แต่นางไม่กล้าร้องโอดโอย ได้แต่กัดริมฝีปากพร้อมกล่าวด้วยอาการตัวสั่น “ส่วนที่เหลือเพียงเล็กน้อย วันนี้ วันนี้ใช้หมดแล้วเจ้าค่ะ! ”
เมื่อเห็นว่าไม่มียาแล้ว จิตใจของกู้ซินเยว่ที่วิตกกังวลอยู่ตลอดจึงเบาใจลง นางล้มนั่งลงบนเก้าอี้ “ไม่มีแล้วก็ดี ไม่มีแล้วก็ดี”
เมื่อไม่มีแล้วก็ไม่มีผู้ใดจับจุดอ่อนนางได้
จื่อเยียนมองดูหลังมือของตัวเองที่ตกสะเก็ด
แผ่นสะเก็ดที่ยังไม่ก่อตัวดีหลุดลอกไปแล้ว เหลือเพียงส่วนน้อยที่ยังติดอยู่บนผิวหนัง ใกล้จะหลุดร่วงเต็มที จื่อเยียนตัดสินใจเด็ดขาด ดึงเอาแผ่นสะเก็ดที่เหลือเพียงน้อยนิดออกไป จนเห็นผิวหนังชั้นในที่เป็นสีแดงสดอีกครั้ง
จื่อเยียนที่รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว กลับยังต้องไปปลอบโยนกู้ซินเยว่ “คุณหนู ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ เรื่องยาข้าจัดการแล้ว ไม่มีคนรู้แน่เจ้าค่ะ! ”
กู้ซินเยว่ไม่เห็นความเจ็บปวดของจื่อเยียน เพียงพยักหน้าด้วยอาการเหม่อลอย “ดี ไม่มีแล้วก็ดี”
จื่อเยียนยังอยากกล่าวอะไรอีก แต่เห็นท่าทางเหม่อลอยของคุณหนู นางก็ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไร พูดมากไปมีแต่ผิดมากขึ้น ทำได้เพียงยืนมองกู้ซินเยว่เงียบๆ
สีหน้าของกู้ซินเยว่ดูยินดีเป็นบางครั้ง เศร้าโศกเป็นบางครา จนสุดท้าย สีหน้าก็เต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด