ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 15 บทที่ 488 บ้านตระกูลเซี่ยมีตำแหน่งฮ่องเต้ให้สืบทอดหรือ
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 15 บทที่ 488 บ้านตระกูลเซี่ยมีตำแหน่งฮ่องเต้ให้สืบทอดหรือ
บทที่ 488 บ้านตระกูลเซี่ยมีตำแหน่งฮ่องเต้ให้สืบทอดหรือ
“พี่หญิงใหญ่! ” เซี่ยเมี่ยวเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก เดินขึ้นหน้าไปดึงแขนเสื้อเซี่ยยวี่หลัวด้วยท่าทางออดอ้อน “ข้าไม่ได้พบท่านนานแล้ว คิดถึงท่านมากทีเดียว! ท่านพ่องานยุ่ง มาไม่ได้ จึงให้ข้ากับท่านแม่มาเยี่ยมเยือนท่าน ครั้งก่อนตอนมา ในบ้านนี้ยังเต็มไปด้วยข้าวของรกรุงรัง พอมาตอนนี้ เรือนหลังคากระเบื้องก็ปลูกแล้ว ในบ้านก็ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน พอจะดูออก ว่าพี่หญิงใหญ่มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ! เห็นท่านมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ ข้ากับท่านแม่ก็รู้สึกดีใจ กลับไปจะบอกท่านพ่อกับน้องชาย พวกเขาก็ต้องรู้สึกดีใจมากเช่นกัน! ”
หลู่เจินเห็นบุตรสาวของตนเองมีฝีปากดีเช่นนี้ ก็รู้สึกได้ใจยิ่งนัก
บุตรที่ตนเองบ่มเพาะเลี้ยงดู เหตุใดถึงโดดเด่นเช่นนี้
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวขึ้น “ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว”
“เป็นห่วงอะไรกัน พี่หญิงใหญ่ ท่านเป็นพี่หญิงใหญ่แท้ๆ ของข้า หากข้าไม่เป็นห่วงท่าน จะให้ข้าเป็นห่วงผู้อื่นหรือ! ” เซี่ยเมี่ยวโอบคอเซี่ยยวี่หลัวไว้อย่างสนิทสนม แสร้งทำท่าทางราวกับสนิทสนมกับนางเป็นพิเศษพร้อมกล่าว
เซี่ยยวี่หลัว “…”
นางกับเซี่ยเมี่ยวผู้นี้ สนิทสนมกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“แต่พี่หญิงใหญ่ พวกเราเป็นห่วงท่านอยู่ที่บ้านทุกวัน แต่ท่านกลับไม่เป็นห่วงพวกเราเลย! ” เซี่ยเมี่ยวกล่าวไปกล่าวมา ก็เริ่มว่าเป็นเชิงตำหนิ
เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถาม “พวกเจ้า… ไม่สุขสบายหรือ? ” นางพยายามแสร้งทำทีว่ามีท่าทางเรียบสงบ พยายามหลอกถามจุดประสงค์การมาเยือนของเซี่ยเมี่ยวและหลู่เจิน
“ไม่ดี ไม่ดี ไม่ดีเลยสักนิด! ” เซี่ยเมี่ยวร่ำไห้โวยวายพร้อมกล่าว “ท่านไม่เป็นห่วงพวกเราเลย เสียทีที่เป็นพี่หญิงใหญ่ของข้า แต่ท่านกลับไม่สนใจพวกเราเลยสักนิด! ที่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้น ท่านกลับไม่ถามไถ่ ข้าเสียใจยิ่งนัก เศร้าใจยิ่งนัก! ”
รอจนเซี่ยเมี่ยวกล่าวจบแล้ว หลู่เจินที่อยู่ข้างจึงกล่าวเป็นเชิงตำหนิ “เมี่ยวเมี่ยว เจ้ากล่าวเช่นนี้กับพี่สาวของเจ้าได้อย่างไร? ยังไม่รีบเช็ดคราบน้ำตาอีก! พี่สาวของเจ้าเห็นแล้วจะรู้สึกไม่ดี! ”
เซี่ยยวี่หลัวไหวคิ้วทีหนึ่ง “ที่บ้านเกิดเรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ? ”
เซี่ยเมี่ยวเห็นหลู่เจินส่งสัญญาณ จึงกล่าวด้วยท่าทางเศร้าใจ “ช่วงก่อนหน้านี้ ท่านพ่อเป็นหวัด นอนป่วยนานกว่าครึ่งเดือน อาการป่วยยังไม่หาย ก็ออกไปทำงานแล้ว ท่านแม่เกลี้ยกล่อมเขานับครั้งไม่ถ้วน ให้เขาพักผ่อนสักสองวัน แต่ท่านพ่อบอกว่าหากเขาไม่ทำงาน ทุกคนก็จะไม่มีข้าวกิน พี่หญิงใหญ่ ท่านพ่อลำบากถึงเพียงนั้น ข้าที่เป็นบุตรสาว กลับไม่สามารถช่วยท่านพ่อแบ่งเบาภาระได้ ภายในใจข้ารู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก! ”
หลู่เจินเช็ดขอบตา ก่อนกล่าว “เจ้าเพิ่งอายุสิบเอ็ดปี ต่อให้เจ้ารู้สึกเศร้าใจเพียงใด แล้วจะทำอะไรได้ น้องชายของเจ้าก็อายุยังน้อย คิดอยากตามไปทำงานด้วย แต่แบกไม่ได้หามไม่ไหว ใครจะให้เขาทำงานเล่า! ”
เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถาม “ท่านพ่อหายดีหรือยัง? ”
“หายแล้ว แต่ยังมีอาการไออยู่บ้าง ท่านหมอบอกว่าต้องกินยาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อขจัดโรคให้สิ้น ทั้งยังต้องกินของดี บำรุงร่างกาย ไม่เช่นนั้นต่อไปจะมีโรคตกค้าง กลายเป็นอาการป่วยเรื้อรัง พอแก่ตัวก็จะเจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้! ” เซี่ยเมี่ยวกล่าว
“เช่นนั้นก็หาหมอมาจ่ายยาให้ท่านพ่อ แล้วซื้อของให้เขากินเพิ่มสิ! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวตอบ
“เฮ้อ…” หลู่เจินทอดถอนใจ “ในบ้านมีคนต้องกินข้าวถึงสี่คน มีเงินพอเลี้ยงปากท้องให้อิ่มก็ถือว่าไม่เลวแล้ว จะมีเงินเหลือไปซื้อของดีได้อย่างไร”
เซี่ยยวี่หลัวขานตอบทีหนึ่ง “เช่นนั้นก็ค่อยๆ รักษา เดี๋ยวก็หายดีเอง”
หลู่เจิน “…” ที่ข้ากล่าวมาเจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ?
เจ้าจะพูดเรื่องให้เงินบ้างไม่ได้เชียวหรือ?
หากเป็นเซี่ยยวี่หลัวในอดีต จะไม่กล่าวอะไรมาก หยิบเงินออกมาหนึ่งถึงสองตำลึงทันที ตอนนี้เป็นอะไรไป เหตุใดถึงไม่ตอบบทสนทนาด้วยซ้ำ
“ทว่า…” จู่ๆ เซี่ยยวี่หลัวก็ปริปาก
หลู่เจินรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก ดวงตาพลันลุกวาว “ทว่าอะไร? ” พูดเรื่องจะให้เงินเร็วเข้า!
“เมี่ยวเมี่ยวกับคุนคุนล้วนเติบใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ท่านคอยดูแลอยู่ที่บ้านทั้งวัน ท่านสามารถออกไปทำงานกับท่านพ่อได้ ช่วยงานท่านพ่อ อย่างไรก็คงสามารถแบ่งเบาภาระของท่านพ่อได้บ้าง ท่านพ่อจะได้ไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนั้น” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
รอยยิ้มบนใบหน้าหลู่เจินพลันแข็งทื่อ “ฮะฮะ…”
นางควรโต้แย้งอย่างไร?
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจโต้แย้งได้!
หลู่เจินไม่ได้กล่าวอะไรกลับไป เซี่ยเมี่ยวพาเข้าประเด็นเรื่องเงินแล้ว แต่ในเมื่อเซี่ยยวี่หลัวไม่เอ่ยปากเอง หลู่เจินจะเอ่ยปากได้อย่างไร
เวลานี้ บรรยากาศดูค่อนข้างอึมครึม
“คือ จริงด้วย ครั้งหน้าข้าจะออกไปทำงานกับบิดาของเจ้า ให้เขาไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนั้น! ” หลู่เจินคิดอยู่นาน สุดท้ายก็กล่าวออกมาเช่นนี้
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า “อืม! ” ไม่กล่าวอะไรอีก
เซี่ยเมี่ยวเองก็กัดริมฝีปาก หันมองเซี่ยยวี่หลัวด้วยความประหลาดใจ
ก่อนจะมา นางกับมารดาลองแสดงกันหนึ่งหนระหว่างทางมาแล้ว พวกนางคิดไว้แล้วว่าเซี่ยยวี่หลัวจะตอบกลับเช่นไร และพวกนางควรกล่าวเช่นไร พาเข้าหัวข้อสนทนาที่พวกนางต้องการให้เซี่ยยวี่หลัวกล่าวตอบ
ทว่า เหตุใดเซี่ยยวี่หลัวถึงไม่ตอบเล่า?
บางทีอาจเพราะเซี่ยยวี่หลัวฟังไม่เข้าใจจริงๆ กระมัง
สองแม่ลูกหันสบตากัน ไม่คิดย่อท้อแม้แต่น้อย พยายามมากยิ่งขึ้น
“ยวี่หลัว เจ้าก็รู้ว่าบิดาของเจ้าเป็นเช่นไร บิดาของเจ้าเหนื่อยยากลำบากทุกวัน เขาอายุมากแล้ว เขาคนเดียวต้องเลี้ยงดูถึงสี่คน ลำบากเกินไป”
เซี่ยยวี่หลัวตกใจเป็นอย่างมาก “อะไรกัน ท่านพ่อทำงานอยู่คนเดียวหรือ? คนอื่นๆ พิการหรือ? ”
“เจ้าสิพิการ ข้ากับท่านแม่และน้องชายมีแขนมีขาดีๆ อยู่ เจ้ามาด่าพวกเราได้อย่างไร! ” เซี่ยเมี่ยวไม่อาจเสแสร้งต่อไปได้ นางเป็นคนอารมณ์ร้อน จึงก่นด่าออกมาทันที
เซี่ยยวี่หลัวหันมองเซี่ยเมี่ยว ก่อนหันมองหลู่เจินที่อยู่ข้างๆ ก่อนกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ในเมื่อพวกท่านล้วนมีแขนมีขา ล้วนสามารถทำงานได้ เหตุใดถึงให้ท่านพ่อหาเลี้ยงชีพคนเดียวเล่า? เช่นนี้จะต่างอะไรกับพิการงั้นหรือ? ”
หลู่เจินกล่าวอะไรไม่ออก รีบกล่าว “ไม่ไม่ไม่ ที่บ้านบิดาของเจ้าหาเงินคนเดียว แต่งานบ้านทั้งภายในและภายนอก ล้วนเป็นพวกเราที่ทำ พวกเราทำเอง! ”
“เช่นนั้นก็ถูกแล้ว ท่านพ่อหาเงินคนเดียว พวกท่านทำงานบ้านงานเรือน รอให้เซี่ยคุนเติบใหญ่ ก็สามารถตามท่านพ่อออกไปทำงานได้แล้ว ท่านพ่อจะได้ไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนั้น”
เซี่ยคุนปีนี้อายุเก้าขวบแล้ว อยู่ที่บ้านราวกับเป็นฮ่องเต้ก็มิปาน คิดจะให้เด็กคนนั้นทำงานหรือ?
เว้นเสียแต่พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก!
หลู่เจินมีหรือจะตัดใจได้ ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน
ไม่ได้พบเซี่ยยวี่หลัวนาน เด็กคนนี้… นางรู้สึกว่าไม่อาจคาดเดาความคิดได้เลย!
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เพียงแต่เมี่ยวเมี่ยวกับคุนคุนอายุยังน้อย คุนคุนต้องเรียนหนังสือ ทั้งยังต้องจ่ายค่าเล่าเรียน ต้องกินอยู่ที่สถานศึกษา เครื่องใช้เครื่องเขียนมีอย่างไหนบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน! แต่ละวันท่านพ่อของเจ้าลืมตาตื่นขึ้นมาก็คิดแต่เรื่องเงิน! นอกจากนั้น เงินที่ต้องใช้ก็ไม่ใช่หนึ่งหรือสองอีแปะ ต้องพึ่งบิดาของเจ้าเพียงคนเดียว เจ้าก็รู้แล้วว่าบิดาของเจ้าลำบากเพียงใด! ” หลู่เจินกล่าว
“นั่นสิ หากตอนนั้นท่านพ่อมีเมี่ยวเมี่ยวเพียงคนเดียวก็คงดี เมี่ยวเมี่ยวไม่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน หลังจากเติบใหญ่ ยังจะได้สินสอด มีแต่ได้ไม่มีเสีย แต่ใครใช้ให้พวกท่านมีบุตรชายเล่า? ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เลี้ยงไม่ไหวก็อย่ามีแต่แรกสิ! ”
หนังตาของหลู่เจินกระตุกทีหนึ่ง “…”
“หากข้าไม่มีคุนคุน บิดาของเจ้าก็ไร้ซึ่งทายาทน่ะสิ เจ้ากับเมี่ยวเมี่ยวล้วนเป็นสตรี ต่อไปอย่างไรก็ต้องออกเรือน คงสืบทอดตระกูลเซี่ยไม่ได้กระมัง ตระกูลเซี่ยมาถึงรุ่นบิดาของเจ้า อย่างไรก็ควรมีคนสืบทอดตระกูลต่อจริงหรือไม่! ” หลู่เจินคิดอยู่นาน ในที่สุดก็หาประโยคที่คิดว่าทำอย่างไรเซี่ยยวี่หลัวก็ไม่มีทางโต้แย้งได้แล้ว
เซี่ยยวี่หลัวขานตอบทีหนึ่ง “ตระกูลเซี่ยมีตำแหน่งฮ่องเต้ให้สืบทอดหรือ? ”
หลู่เจิน “…”