ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 15 บทที่ 496 บิดาในนาม มาหาแล้ว
บทที่ 496 บิดาในนาม มาหาแล้ว
วันคืนที่สุขสบายเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ภายในบ้านก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาอีกหนึ่งกลุ่ม
บุรุษสอง สตรีสอง สตรีสองคนนั้นเซี่ยยวี่หลัวย่อมเคยพบมาก่อน หลู่เจินและเซี่ยเมี่ยว พวกนางกำลังมองนางด้วยท่าทางได้ใจ
ส่วนคนที่เป็นผู้นำเป็นบุรุษวัยกลางคนช่วงท้องโต บุรุษผู้นั้นถลึงตาโตดุจกระดิ่งทองแดง จ้องมองนางด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด ข้างๆ มีเด็กผู้ชายอายุเก้าถึงสิบปียืนอยู่ สีหน้าท่าทางราวกับไม่แยแสเรื่องใดๆ เขากำลังย่อตัวอยู่บนพื้น นับมดด้วยความเบื่อหน่าย
ยามเงยหน้ามองเซี่ยยวี่หลัวเป็นครั้งคราว แววตาเต็มไปด้วยประกายดูหมิ่นเหยียดหยามถึงขีดสุด
เซี่ยยวี่หลัวไม่ต้องคิด ก็คาดเดาฐานะของบุรุษสองคนนี้ได้แล้ว
บุรุษท้องโตผู้นั้น ดูท่าคงเป็นเซี่ยจู่ฟา บิดาที่ก่อนหน้านี้เป็นหวัด ล้มป่วยมานานกว่าครึ่งเดือน ทว่าดูประหนึ่งคนที่ป่วยมาครึ่งเดือนที่ไหนกัน นางหันมองเซี่ยคุน เขาตัวอ้วนราวกับหมูตัวหนึ่งเช่นกัน อายุไล่เลี่ยกับเซียวจื่อเซวียน หากทั้งสองคนยืนข้างกัน เกรงว่าจะตัวอ้วนเท่ากับเซียวจื่อเซวียนสองคนทีเดียว
“นางเด็กบ้า เห็นพ่อมาแล้วยังไม่เชิญข้าเข้าไปอีก! ” เซี่ยจู่ฟาพุ่งมา เบียดเซี่ยยวี่หลัวออก พุ่งพรวดเข้าไปทันที
ไม่ต้องเชิญ อีกฝ่ายก็บุกเข้าไปแล้ว!
เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้ขวาง เพียงมองดูเขาวิ่งเข้าไปในห้องของเซียวยวี่
หลู่เจินและเซี่ยเมี่ยวก็วิ่งตามเข้าไป
ครั้งก่อนพวกนางมา ก็คิดอยากไปดูเรือนหลังคากระเบื้องสองห้องที่ปลูกใหม่เช่นกัน แต่ที่ไหนได้ เซี่ยยวี่หลัวกลับทำสีหน้าซังกะตายตั้งแต่ต้นจนจบ อย่าว่าแต่พาพวกนางเดินดูเลย แม้แต่น้ำชายังใช้น้ำในแม่น้ำ หน็อย น่าเจ็บใจนัก!
เกรงว่าเซี่ยจู่ฟาจะหนักกว่าสองร้อยจิน อ้วนเกินไป ขณะวิ่งจึงทำให้เนื้อทั่วกายสะบัดไปมาตามแรงโยก
ส่วนเซี่ยคุนก็ไม่ได้ดีกว่ากันมากนัก บนกายเต็มไปด้วยเนื้อและไขมันส่วนเกิน พอวิ่งแล้วดูคล้ายก้อนเนื้อที่กำลังกลิ้งไปมาอย่างไรอย่างนั้น
หากบอกว่าเซี่ยจู่ฟาเป็นหมูอ้วนตัวหนึ่ง เช่นนั้นเซี่ยคุนก็เป็นลูกหมูน้อยที่มีน้ำหนักกว่าร้อยจิน วิ่งแล้วเนื้อบนกายสะบัดไปมาดัง “ตึกตึกตึก” คล้ายหมูสองตัวกระมัง
เซี่ยยวี่หลัวส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
ประหนึ่งว่าหมูแก่ตัวหนึ่ง กำลังพาลูกหมูตัวหนึ่งที่ตามอยู่ด้านหลังไปกินอาหาร!
เซี่ยยวี่หลัวหัวเราะเยาะอย่างเปิดเผย หลู่เจินได้ยินเข้า จึงหันกลับมากล่าวด้วยท่าทางดุดัน “เซี่ยยวี่หลัว เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจ หมาป่าเนรคุณอย่างเจ้า รอให้บิดาเจ้าตีเจ้าให้ตายเถิด! ”
เซี่ยยวี่หลัวเบ้ปาก ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะทำลายข้าวของในห้องเซียวยวี่จนเสียหาย จึงตามเข้าไป
ภายในห้องของเซียวยวี่ นอกจากชั้นวางตำรา และอุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะ ก็ไม่มีสิ่งของอื่นอีก
หลู่เจินดูทางนั้นที จับทางนี้ที ไม่เจอสิ่งของมีค่าแม้แต่อย่างเดียว จึงเพ่งเล็งไปทางอุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะ
“คุนคุน จานฝนหมึกของเจ้าเสียแล้วไม่ใช่หรือ? พี่เขยของเจ้ามีอันหนึ่ง นำกลับไปให้เจ้าใช้! ” หลู่เจินชูจานฝนหมึกในมือขึ้น
นั่นคือจานฝนหมึกที่เซี่ยยวี่หลัวซื้อให้เซียวยวี่จากแผงขายตำราภาพวาด เป็นของเก่าหลายปีแล้ว แค่ดูก็รู้ว่าเป็นของเก่า! แต่เพราะเป็นของที่เซี่ยยวี่หลัวซื้อ เซียวยวี่จึงเห็นเหมือนสมบัติล้ำค่า เก็บจานฝนหมึกที่เคยใช้ไว้ทั้งหมด ใช้เพียงอันนี้ ดูแลรักษายิ่งชีพ!
เซี่ยยวี่หลัวกำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเซี่ยคุนกล่าวด้วยความรังเกียจ “จานฝนหมึกอันนี้เก่าเกินไปแล้วกระมัง ใครอยากได้กัน เพื่อนร่วมเรียนของข้าล้วนแต่ใช้จานฝนหมึกที่ได้มาจากเมืองหลวง ทั้งสวยทั้งดูดี หากข้านำอันนี้ไปใช้ ต้องถูกเพื่อนร่วมเรียนของข้าหัวเราะเยาะจนฟันแทบหลุดแน่”
หลู่เจินวางจานฝนหมึกกลับไปช้าๆ “ข้าก็แค่เห็นว่าไม่ต้องเสียเงินนี่นา! ”
แต่บุตรชายบอกว่าไม่เอา เช่นนั้นก็ไม่เอา
“จานฝนหมึกที่เพื่อนร่วมเรียนของเจ้าใช้ ซื้อมาอันละเท่าไหร่หรือ? ” หลู่เจินไม่อยากให้บุตรชายของตัวเองแพ้ให้ผู้อื่นในด้านนี้
“มีทั้งของดี ของทั่วไป และมีของระดับต่ำที่สุด” เซี่ยคุนกล่าว “ของดีแพงกว่าร้อยตำลึง…”
หลู่เจินสูดลมหายใจเฮือก “แม่เจ้า แพงถึงขั้นนั้นเชียว บ้านเราจะซื้อได้อย่างไร! ”
“ยังมีของทั่วไป ราคาเพียงสามสิบถึงสี่สิบตำลึง ของแย่สุดอย่าพูดถึงเลย อย่างน้อยก็ราคาเจ็ดถึงแปดตำลึง แต่คงไม่ให้ข้าซื้อของแย่ที่สุดไปกระมัง? เพื่อนร่วมเรียนของข้า อย่างต่ำสุดก็ใช้ของทั่วไป ข้าไม่อยากโดนพวกนั้นล้อว่าบ้านข้ายากจน! ” เซี่ยคุนโยกตัวที่มีน้ำหนักกว่าร้อยจิน เขาไม่อยากยืน ยืนแล้วเหนื่อยเกินไป จึงหาที่นั่งนั่งลง
หลู่เจินบุ้ยปาก มองดูเซี่ยยวี่หลัวที่ยืนอยู่หน้าประตู “วางใจได้ เราจะซื้อของทั่วไป ซื้อให้เจ้าแน่! ”
หลังจากเซี่ยจู่ฟาพุ่งพรวดเข้าไป ก็ไม่ได้รื้อค้นข้าวของเช่นเดียวกับหลู่เจิน เขาเพียงมองดู ลองมองจนทั่วว่ามีของดีอะไรหรือไม่
แต่เซียวยวี่จะมีของดีได้อย่างไร!
ปกตินอกจากใช้เงินซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนและตำรา ด้านข้าวของที่ไม่จำเป็น เซี่ยยวี่หลัวก็ไม่อาจตัดใจใช้เงินแม้แต่อีแปะเดียว!
ของตกแต่งจำนวนหนึ่ง ล้วนเป็นกิ่งไม้แห้งที่นางเก็บมาจากภูเขา ประกอบกับไหดินเก่าเรียบง่าย หรือไม่ก็เป็นลูกสนที่เก็บมาจากภูเขา นางตัดแต่งเล็กน้อย ก็ถือเป็นงานฝีมือ
เซี่ยจู่ฟามองหมดแล้ว เรือนนี้ถึงแม้จะหลังใหญ่ แต่นอกจากตำรา ก็ไม่มีข้าวของอื่นที่มีค่าอีก จึงเกิดเพลิงโทสะในใจอย่างอดไม่ได้ “นี่ยวี่หลัว เจ้าใช้ชีวิตอย่างอัตคัดถึงเพียงนี้เลยรึ ภายในบ้านไม่มีของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียวเชียวหรือ? ”
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวตอบ “ใช่แล้ว เซียวยวี่จะเล่าเรียน ต้องใช้เงินทองจำนวนไม่น้อย ซื้อตำราซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียน ค่าใช้จ่ายสูงมากทีเดียว”
เซี่ยจู่ฟาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยไขมัน ทำสีหน้าบึ้งตึง “สอบไม่ผ่านก็ไม่ต้องสอบแล้ว สอบมาสี่ปียังสอบไม่ผ่าน เขาไม่เหมาะจะเล่าเรียน ท่านตาของเจ้าช่างตาบอดนัก ที่หมายตาคนเช่นนี้! ”
ในที่สุดเซี่ยยวี่หลัวก็เหยียดกายยืนตัวตรง กำหมัดไว้แน่น เมื่อครู่พวกเขารื้อค้นข้าวของ เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้ว่าอะไร อย่างไรเสียรื้อค้นแล้วนางค่อยเก็บก็ได้ แต่วาจาของเซี่ยจู่ฟา กลับทำให้เซี่ยยวี่หลัวเกิดเพลิงโทสะลุกโชน!
“ใช่แล้ว ตอนนั้นท่านตาช่างตาบอดนัก ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าก่อนหน้านี้เคยตาบอดมาหนหนึ่ง เลือกคนที่ใช้ไม่ได้มาครั้งหนึ่งแล้ว! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอย่างเย็นเยียบ
เซี่ยจู่ฟาผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบสนอง “นางเด็กบ้า เจ้ากล้าด่าว่าข้าใช้ไม่ได้! ”
“ท่านใช้ไม่ได้หรือ? ท่านใช้ได้! ” เซี่ยยวี่หลัวรีบกล่าวด้วยท่าทางว่าง่าย
เซี่ยจู่ฟาเห็นว่าบุตรสาวคนนี้เห็นตัวเองราวกับเป็นหนูที่เห็นแมวก็มิปาน จึงหัวเราะอย่างได้ใจ เพียงแต่ ลองคิดถึงประโยคเมื่อครู่ เหตุใดถึงรู้สึกว่าผิดปกติ!
แต่ผิดปกติตรงไหน เขาก็อธิบายไม่ถูก
เขาใช้ไม่ได้ที่ไหนกัน? เขาใช้ได้!
เพียงแต่ เขาใช้ได้ เหตุใดวาจานี้ถึงฟังขัดหูนักเล่า?