ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 2 บทที่ 35 เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด
“เซียวยวี่จะชอบใครก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ว่าเขาจะชอบใครก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรา เจ้าชอบเซียวยวี่ แอบมอบผ้าเช็ดหน้าแบบนี้ให้เขา แล้วยังโดนเซี่ยยวี่หลัวจับได้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากเซี่ยยวี่หลัวมาเอาเรื่องถึงที่ ต่อไปเจ้ายังจะออกเรือนได้อย่างไร!” ท่านป้าสี่ตำหนิด้วยความโมโหที่บุตรสาวไม่เอาไหน
“ข้าจะไม่ออกเรือน ต่อให้ออกเรือน ข้าก็จะแต่งกับอายวี่เท่านั้น!” เซียวหมิงจูตะคอก
“แล้วหากเขาไม่แต่งกับเจ้าล่ะ?”
“ไม่มีทาง เขาถูกบีบบังคับให้แต่งกับเซียยวี่หลัว เขาไม่ได้อยากแต่ง ต้องมีสักวันที่เขาพบว่า บนโลกใบนี้ คนที่รักเขาที่สุด มีเพียงข้า! มีแต่อยู่กับข้า เขาถึงจะมีความสุข!” เซียวหมิงจูหน้ามืดตามัวกล่าว สีหน้าของนางมุ่งมั่นราวกับว่าชั่วชีวิตนี้จะแต่งกับเซียวยวี่เท่านั้น
“เจ้า…” ท่านป้าสี่โมโหจนแทบคลั่ง “ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าแต่งกับเซียวยวี่! เจ้าตัดใจซะเถอะ!”
เซียวหมิงจูไม่เข้าใจ “ท่านแม่ ท่านชอบอายวี่มาตลอดไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านถึงไม่ยินยอมให้ข้าแต่งกับเขา!”
ท่านป้าสี่อ้ำอึ้ง “ข้า… ข้า…”
นางอ้ำอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่อาจบอกสาเหตุได้ จู่ๆ กลิ่นไหม้ก็ลอยมาแตะจมูก ที่แท้อาหารที่ผัดอยู่ในกระทะไหม้เกรียมแล้ว
ท่านป้าสี่ทั้งโมโหทั้งร้อนรน เพียงกล่าวกับเซียวหมิงจูว่า “เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด” แล้วรีบรุดเข้าไปในห้องครัว
เซียวหมิงจูไม่เข้าใจ แม้กระนั้นก็ไม่อาจส่งผลกระทบหรือสั่นคลอนการตัดสินใจของนางได้เลย
ชั่วชีวิตนี้นางจะแต่งกับเซียวยวี่เพียงคนเดียว เซียวยวี่อยู่กับนางถึงจะมีความสุข
เซียวจื่อเซวียนนำน้ำตาลทรายแดงกลับบ้าน ทำตามที่ท่านป้าสี่บอก ต้มน้ำร้อน เทน้ำตาลทรายแดงลงไป เคี่ยวอยู่พักหนึ่งแล้วตักออกมา ยกไปถึงหน้าประตูห้อง
เซียวจื่อเซวียนไม่ได้เข้าไป ให้เซียวจื่อเมิ่งเข้าไป
เซียวจื่อเมิ่งผลักเปิดประตู จมูกของเซียวจื่อเซวียนที่ไวต่อกลิ่นก็ได้กลิ่นคาวเลือด
หวนคิดถึงระดูที่ท่านป้าสี่บอก รวมถึงอาการของเซี่ยยวี่หลัวที่เซียวจื่อเมิ่งบอกว่าใบหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษก็มิปาน เซียวจื่อเซวียนรู้สึกเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา
เซียวจื่อเมิ่งยกน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงเข้าไปในห้อง วางไว้ตรงหัวเตียง ก่อนเอ่ยเรียกเซี่ยยวี่หลัวเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่…”
เซี่ยยวี่หลัวลืมตาด้วยท่าทางอ่อนเพลีย เมื่อเห็นว่าเป็นเซียวจื่อเมิ่ง จึงถามด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง “มีอะไรงั้นหรือ? จื่อเมิ่ง?”
เซียวจื่อเมิ่งเห็นใบหน้าซีดเซียวของเซี่ยยวี่หลัว จึงตกใจสะดุ้ง “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน… ท่านยังไหวไหม?”
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้าน้อยๆ ปลอบโยนเซียวจื่อเมิ่ง “จื่อเมิ่งไม่ต้องกลัว พี่สะใภ้ใหญ่นอนครู่หนึ่งก็จะดีขึ้น ไม่เป็นอะไร!”
สีหน้าขาวซีดขนาดนี้ เป็นโรคอะไรกันแน่!
แม้แต่ท่านป้าสี่ก็บอกว่าอีกสองวันก็จะดีขึ้น ทว่าสภาพของพี่สะใภ้ใหญ่ที่เป็นแบบนี้ จะดีขึ้นจริงหรือ?
เซียวจื่อเมิ่งเกาะอยู่ตรงหัวเตียงพร้อมกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราเคี่ยวน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงมา ท่านดื่มสักนิดดีไหมเจ้าคะ?”
น้ำต้มน้ำตาลทรายแดง?
เซี่ยยวี่หลัวลืมตา “น้ำต้มน้ำตาลทรายแดงมาจากที่ไหน? เจ้าเป็นคนต้ม? เจ้ายังเล็ก อย่าแตะต้องฟืนไฟ ระวังไฟจะไหม้บ้าน”
นางกล่าววาจาเย้าหยอก เพียงเพราะเป็นห่วงกลัวว่าเซียวจื่อเมิ่งจะทำเรื่องพวกนี้ไม่ไหว
เซียวจื่อเมิ่งรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา พี่สะใภ้ใหญ่ปวดขนาดนี้ ยังเป็นห่วงนางอยู่เลย แต่วันนี้ตอนเช้านางกลับออกไปข้างนอกกับพี่รอง ทิ้งให้พี่สะใภ้ใหญ่ที่น่าสงสารอยู่บ้านเพียงลำพัง เมื่อเซียวจื่อเมิ่งคิดถึงตรงนี้ ขอบตาก็ขึ้นสีแดง
“พี่รองพาข้าไปถามท่านป้าสี่ ท่านป้าสี่บอกว่าท่านต้องดื่มน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงถึงจะหาย พี่รองซื้อน้ำตาลทรายแดงกลับมาก็ต้มให้ท่าน พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านลุกขึ้นมาดื่มน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงดีไหม? หรือจะให้จื่อเมิ่งป้อนท่านดีเจ้าคะ?”
เซี่ยยวี่หลัวลุกไม่ไหวจริงๆ ปวดท้องเป็นระลอก เลือดลมพลุ่งพล่าน ปวดจนแทบจะเป็นลมหมดสติ
นางฝืนแย้มรอยยิ้มอย่างยากลำบาก “ดีสิ เช่นนั้นให้จื่อเมิ่งป้อน!”
เซียวจื่อเมิ่งตักขึ้นมาหนึ่งช้อน กลัวว่าจะร้อน ก่อนจะยื่นไปตรงริมฝีปากเซี่ยยวี่หลัว นางจึงใช้ปากเล็กเป่าก่อน เมื่อเห็นท่าทางน่ารักของนาง หัวใจของเซี่ยยวี่หลัวก็แทบละลาย
นางอ้าปากดื่มน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงในช้อนตักน้ำแกงที่ทั้งอุ่นและหวาน
หลังจากดื่มน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงร้อนๆ หนึ่งถ้วย เซียวจื่อเมิ่งก็เช็ดปากให้เซี่ยยวี่หลัวด้วยความเอาใจใส่ ก่อนเอ่ยถามเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่ ท้องของท่านหายดีหรือยัง?”
นี่ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก
นางพยักหน้ายิ้มพร้อมกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณจื่อเมิ่งมาก”
เซียวจื่อเมิ่งเชื่อที่นางกล่าวมา ผ่อนลมหายใจยาวรู้สึกดีใจยิ่งกว่าอะไร “ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ เดี๋ยวข้าจะป้อนท่านอีก”
เซี่ยยวี่หลัวกล่าว “ยังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่ รีบไปกินข้าวเที่ยงเถิด กินอิ่มแล้วถึงจะมีแรงดูแลพี่สะใภ้ใหญ่”
เซียวจื่อเมิ่งขานตอบ “ได้เจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่รอก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”
เมื่อเห็นเซียวจื่อเมิ่งถือถ้วยออกจากห้องไป เซี่ยยวี่หลัวจึงแย้มยิ้ม
นางเอื้อมมือคลำท้อง หลังจากดื่มน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงลงไปหนึ่งถ้วย ช่วงท้องที่เย็นเยียบก็อบอุ่นแล้ว น้ำต้มน้ำตาลทรายแดงนี่เหมือนยาวิเศษจริง อาการปวดทุเลาลงไม่น้อย
เซี่ยยวี่หลัวหรี่ตา ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น เซียวจื่อเซวียนยกของเดินเข้ามา อาจเพราะสัมผัสได้ว่าเซี่ยยวี่หลัวกำลังมองอยู่ เซียวจื่อเซวียนก็หันมองไปทางเซี่ยยวี่หลัว
สายตาของทั้งสองสบประสานกัน เซียวจื่อเซวียนหน้าแดง กล่าวด้วยอาการอ้ำอึ้ง “ข้า… ข้า…”
“ข้า” อยู่นานสองนาน ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
เซี่ยยวี่หลัวไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกล่าวอะไร แต่นางต้องขอบคุณเขา
“ขอบคุณที่เจ้าซื้อน้ำตาลทรายแดงให้ข้า อร่อยมาก ข้าสบายขึ้นมากแล้ว!” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยความตื้นตันใจ
เซียวจื่อเซวียนหน้าแดงอีกครั้ง เพียงกัดปากกล่าวว่า “ไม่เป็นไร” ก็วิ่งออกไป
เมื่อเข้ามาอีกครั้ง ก็มาพร้อมกับเซียวจื่อเมิ่ง
เซียวจื่อเมิ่งยกชามกับตะเกียบ เซียวจื่อเซวียนยกข้าวและน้ำแกง เขายังเลียนแบบวิธีการของเซี่ยยวี่หลัว ต้มผักจี้ช่ายมาด้วย
“พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเรามากินที่นี่ได้ไหมเจ้าคะ?” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส
เซี่ยยวี่หลัวยิ้ม “ได้แน่นอน”
นางนอนมาตลอดช่วงเช้า ไม่อยากนอนแล้ว มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน ก็รู้สึกว่าไม่น่าเบื่อ
เซียวจื่อเมิ่งตักข้าวและน้ำแกงด้วยท่าทางดีอกดีใจ มาอยู่ข้างกายเซี่ยยวี่หลัวอีกครั้ง เกาะอยู่ตรงขอบเตียง ตักข้าวขึ้นมาหนึ่งช้อนยื่นส่งไปที่ริมฝีปากเซี่ยยวี่หลัว “พี่สะใภ้ใหญ่ กินข้าวกัน”
เซี่ยยวี่หลัวคิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะป้อนข้าวให้กินก็ผงะไปชั่วขณะ จากนั้นจึงรู้สึกดีใจ “จื่อเมิ่งเป็นเด็กดีจริงๆ แต่เจ้ากินก่อนเถิด รอเจ้ากินเสร็จแล้ว ค่อยมาป้อนพี่สะใภ้ใหญ่ก็ได้”
เซียวจื่อเมิ่งไม่ขยับ “ไม่ ข้าป้อนพี่สะใภ้ใหญ่ก่อน ท่านกินเสร็จแล้ว ข้าค่อยกิน”
เซี่ยยวี่หลัวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อ้าปากกินอาหาร
เซียวจื่อเซวียนคีบผักมาให้เป็นระยะ เขาก้มหน้าไม่กล้ามองตาเซี่ยยวี่หลัว เซี่ยยวี่หลัวเพียงคิดว่าเขายังหวาดกลัวและมีอคติต่อนาง จึงไม่ได้ถามอะไร
เซี่ยยวี่หลัวกินข้าวหมดหนึ่งชาม ร่างกายอบอุ่นขึ้นแล้ว
ลูบท้องกลมด้วยความรู้สึกดียิ่ง “อิ่มท้องดีจริงๆ จื่อเมิ่ง ขอบคุณเจ้ามาก ทำไมเจ้าถึงรู้ความได้ถึงเพียงนี้!”
นางกล่าวเกินจริงไปมาก ลูบท้องกลมพลางแสดงสีหน้าพึงพอใจ
เซียวจื่อเซวียนแอบมองผู้ที่นอนอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง สีหน้าอีกฝ่ายดูพึงพอใจเหมือนแมวขี้เกียจเช่นนั้น
ช่างงดงามเสียจริง!