ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 2 บทที่ 37 ดีกว่าตอนข้าต้มครั้งแรกมากทีเดียว
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 2 บทที่ 37 ดีกว่าตอนข้าต้มครั้งแรกมากทีเดียว
ท้องฟ้าภายนอกหน้าต่างบานเล็กค่อยๆ มืดลง
เงาราตรีมาเยือนอย่างช้าๆ
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา เมื่อถึงช่วงกลางคืน ใจเซี่ยยวี่หลัวก็รู้สึกเศร้าโศก คิดถึงบ้าน คิดถึงชะตากรรมน่าเวทนาของตนเองในอนาคต แต่วันนี้นางกลับรู้สึกปลาบปลื้มและสุขใจ
เซียวจื่อเมิ่งไม่มีความระแวงในตัวนางแล้ว เซียวจื่อเซวียนโตกว่าเล็กน้อย เอาใจยาก แต่อย่างน้อยวันนี้ก็ถือเป็นวันที่ดี เด็กคนนั้นเห็นใจตนเอง
ถือเป็นสัญญาณที่ดี
หากชะตาชีวิตในอนาคตของเด็กสองคนนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ บางทีเซียวยวี่อาจไม่แค้นนางถึงเพียงนั้น และถ้าไม่แค้นนางถึงเพียงนั้น สิ่งที่นางต้องเผชิญในอนาคตก็น่าจะไม่ยากลำบากนัก เซียวยวี่ก็ไม่ต้องสังหารนางเพื่อระบายโทสะ
นางเองก็ไม่ต้องคอยหลบซ่อน และตายอย่างน่าอนาถเช่นนั้น
เซี่ยยวี่หลัวผ่อนลมหายใจยาว ขอเพียงไม่ต้องตาย ถึงเวลาภายหลังไปจากเซียวยวี่ นางก็หาสถานที่สักแห่งหนึ่ง ใช้ชีวิตอย่างสงบแม้จะไม่ร่ำรวยสูงศักดิ์ แต่อาศัยความสามารถของนาง ไม่แน่ว่าเขียนนิยายหรือทำอาหารรสเลิศ ก็ยังสามารถหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ อยู่อย่างสงบสุขไปชั่วชีวิต
ภายในห้องครัว เซียวจื่อเมิ่งตะโกนด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “พี่รอง พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่ารอให้ท่านต้มเสร็จแล้ว ไปฟังนิทานด้วยกัน”
เซียวจื่อเซวียนไม่ได้กล่าวอะไร เมื่อเห็นน้ำในหม้อเดือดแล้ว จึงใส่น้ำเป็นหนที่สอง เขาเพิ่งต้มเกี๊ยวเป็นครั้งแรก กลัวจะทำได้ไม่ดี จึงไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของเซียวจื่อเมิ่ง ภายในใจท่องอยู่ตลอดว่า สอง สอง สอง
เซียวจื่อเมิ่งเห็นพี่รองไม่สนใจตนเอง หลังจากใส่ฟืนเข้าไปเล็กน้อย จึงดึงแขนเซียวจื่อเซวียน กล่าวเป็นเชิงอ้อน “พี่รอง ท่านยังโกรธพี่สะใภ้ใหญ่อยู่งั้นหรือ? วันนี้พวกเราไม่ได้ดูแลพี่สะใภ้ใหญ่ นางยังไม่โกรธพวกเราเลย!”
เซียวจื่อเซวียนถูกอ้อน ได้แต่กล่าวตอบ “ข้าไม่ได้โกรธ!”
เขากล่าวจบก็ผงะไป
เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่เขาเติมน้ำไปกี่ครั้งแล้ว?
หนึ่งครั้งหรือสองครั้งกันนะ?
เซียวจื่อเซวียนไม่ถนัดด้านการทำอาหารนัก ตอนนี้ก็ยิ่งลนลานจำไม่ได้ว่าตัวเองต้มน้ำให้เดือดไปกี่ครั้งแล้ว
สุดท้าย ตอนเขายกเกี๊ยวจานหนึ่งไปที่ห้อง เซี่ยยวี่หลัวเห็นเกี๊ยวก็ถึงกับผงะไป
ต้มเกี๊ยวนานเกินไปจนแผ่นเกี๊ยวเปื่อยขาด ไส้หมูผสมผักจี้ช่ายด้านในทะลักออกมาหมด
ไม่มีตัวที่สมบูรณ์แม้แต่ตัวเดียว
เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้ลงจากเตียง ให้เซียวจื่อเมิ่งตักเกี๊ยวให้จำนวนหนึ่ง ก่อนเริ่มตักกินคำโต
เซียวจื่อเซวียนออกจากห้องครัวก็รู้สึกเคร่งเครียดตลอด ต้มเกี๊ยวจนดูน่าเกลียดเกินไป เมื่อคืนนี้ เกี๊ยวที่เซี่ยยวี่หลัวต้ม แต่ละตัวทั้งอวบทั้งขาว เหมือนเกี๊ยวที่เขาต้มเสียที่ไหน แต่ละอันเปื่อยจนกระจัดกระจายดูน่าเกลียด เขากังวลเล็กน้อย รอคอยให้เซี่ยยวี่หลัวตำหนิเขา
ทว่าเซี่ยยวี่หลัวไม่ได้กล่าวอะไร เพียงยกชามและคีบแผ่นเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งชิ้น เริ่มกินคำโตราวกับไม่เห็นว่าเกี๊ยวถูกต้มจนน่าเกลียดอย่างไรอย่างนั้น
เซียวจื่อเซวียนบิดปลายนิ้วด้วยความตึงเครียด รู้สึกไม่สงบใจ “ท่าน… ท่านไม่ว่าข้าหรือ?”
เกี๊ยวดีๆ ถูกเขาต้มจนอยู่ในสภาพนี้ ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องโกรธทั้งนั้น!
เซี่ยยวี่หลัวกินไส้เกี๊ยวหนึ่งตัว เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางมึนงง “ว่าเจ้าเรื่องอะไร?”
เซียวจื่อเซวียนชี้ไปที่เกี๊ยว กล่าวด้วยท่าทางเก้อเขิน “เกี๊ยว… ข้าต้มมันจนกลายเป็นสภาพนี้”
เซี่ยยวี่หลัวดื่มน้ำแกงคำหนึ่ง “อร่อยมาก!”
เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ พี่รองกำลังบอกว่าเกี๊ยวที่เขาต้มดูไม่ดี”
เซี่ยยวี่หลัวกินเกี๊ยวหมดก็ยื่นส่งชามเปล่าให้เซียวจื่อเมิ่ง กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “พี่รองของเจ้าต้มเกี๊ยวครั้งแรก ก็ทำได้ถึงขนาดนี้นี่ถือว่าไม่เลว อย่างไรเสีย ครั้งแรกที่พี่สะใภ้ใหญ่ต้มเกี๊ยว ยังเทียบพี่รองของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
เซียวจื่อเมิ่งแสดงสีหน้าตกใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ ครั้งแรกท่านก็ต้มเกี๊ยวไม่เป็นงั้นหรือ?”
เซียวจื่อเซวียนก็ประหลาดใจเล็กน้อย เซี่ยยวี่หลัวที่แสดงฝีมือการทำอาหารติดต่อกันหลายวัน จะมีช่วงที่เทียบเขาไม่ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?
“แน่นอนอยู่แล้ว ครั้งแรกที่ข้าต้มเกี๊ยว…” เซี่ยยวี่หลัวหรี่ตาเหมือนย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ครั้งแรกที่ต้มเกี๊ยว ตอนนั้นนางอายุเท่าเซียวจื่อเซวียน หลังจากห่อเกี๊ยวกับคุณปู่และคุณย่าเสร็จ นางอาสาไปต้มเกี๊ยวด้วยตัวเองและไม่ให้ผู้ใหญ่อยู่ด้วย
ทำตามที่คุณย่าบอก ต้มน้ำให้เดือดสามครั้ง นางก็ไปต้ม ทว่าของที่ต้มออกมา…
เมื่อเซี่ยยวี่หลัวหวนคิดถึงอีกครั้ง ก็หัวเราะจนปิดปากไม่ได้ “ข้าใส่น้ำน้อยเกินไป เกี๊ยวทั้งหมดจึงติดกัน แต่ละตัวติดกับตัวอื่นๆ เป็นก้อนๆ เมื่อดึงออก แผ่นเกี๊ยวและเนื้อด้านในล้วนแต่ยังดิบอยู่ แป้งยังไม่ละลาย แต่แผ่นเกี๊ยวด้านนอกต้มจนสุกแล้ว…”
ในภายหลัง คุณปู่กับคุณย่าก็หยอกเย้าเรื่องเกี๊ยวหม้อนั้นนานยี่สิบกว่าปี ขอเพียงถึงช่วงเวลากินเกี๊ยว พวกท่านก็จะกล่าวถึงเรื่องน่าอายของเซี่ยยวี่หลัวในอดีต เมื่อก่อนเซี่ยยวี่หลัวรู้สึกอาย แต่หลังจากโตขึ้นจึงเข้าใจว่าเป็นเพราะพวกท่านทั้งรักและเอ็นดูนาง จึงจดจำทุกเรื่องที่นางทำ
นี่ก็เป็นความรักรูปแบบหนึ่งไม่ใช่หรือ?
เซี่ยยวี่หลัวหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง หัวเราะจนน้ำตาเล็ด
เซียวจื่อเมิ่งได้ฟังก็หัวเราะจนกุมท้อง ด้วยคิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะมีมุมที่น่ารักเช่นนี้ เซียวจื่อเซวียนเห็นทั้งสองคนหัวเราะร่า เมื่องลองนึกภาพเกี๊ยวที่ติดกันเป็นก้อนๆก็หัวเราะ “พรืด” เหมือนกัน
ดูท่าการต้มเกี๊ยวครั้งแรกของเขา ถือว่าทำได้ไม่เลว
หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ เซียวจื่อเซวียนเติมน้ำในโถน้ำร้อน กำชับเซียวจื่อเมิ่งว่าให้แนบบนท้องเซี่ยยวี่หลัว ท่านป้าสี่บอกว่า โถน้ำร้อนที่ร้อนๆ จะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้
เซี่ยยวี่หลัวขึ้นเตียงกอดเซียวจื่อเมิ่งไว้ กำลังจะเริ่มเล่านิทาน เห็นว่าเซียวจื่อเซวียนยังไม่เข้ามา จึงก้มหน้าลงกล่าวอะไรบางอย่างข้างหูเซียวจื่อเมิ่ง เซียวจื่อเมิ่งจึงวิ่งออกไปตามเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวจื่อเมิ่งจูงมือเซียวจื่อเซวียนเข้ามา “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่รองมาฟังนิทานด้วยกันแล้ว”
เซี่ยยวี่หลัวขยับตัวเข้าไปด้านใน ตบพื้นที่ว่างข้างๆ ตัวเอง ส่งสัญญาณให้เซียวจื่อเซวียนเข้ามานั่ง เซียวจื่อเมิ่งถอดเสื้อผ้า เข้าไปนอนอยู่ในอ้อมอกเซี่ยยวี่หลัวนานแล้ว เหลือเพียงศีรษะเล็กที่ยังโผล่อยู่ด้านนอก
เซียวจื่อเซวียนมองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้ขึ้นเตียง นั่งลงตรงโต๊ะข้างๆ
เซี่ยยวี่หลัวรู้ว่าภายในใจเขายังมีกำแพงกั้น ก็ไม่ได้ฝืน กอดเซียวจื่อเมิ่งไว้แล้วเริ่มเล่านิทาน
เล่าถึงตรงที่ซุนวู่คงเรียนรู้วิชาแปลงกายเจ็ดสิบสองร่าง โอ้อวดต่อหน้าศิษย์พี่น้อง โดนพระสุภูติไล่ออกจากเขาหลิงไถ หลังจากกลับไปถึงเขาฮัวกั่ว เรื่องที่เหลือก็ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว
เซียวจื่อเมิ่งตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว เซียวจื่อเซวียนก็แสดงสีหน้าตื่นเต้น
พี่ใหญ่ยังไม่เคยเล่านิทานสนุกขนาดนี้ให้เขาฟังมาก่อน!
เซียวจื่อเซวียนตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหวตลอดคืน
รุ่งสางของเช้าวันต่อมา เซียวจื่อเซวียนก็ตื่นแล้ว
หาบน้ำอยู่หลายถัง หลังจากเติมน้ำในโอ่งจนเต็ม ฟ้าก็ค่อยๆ สว่าง
ภายในบ้านยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เซียวจื่อเซวียนไม่ได้รบกวนพวกนาง หยิบตะกร้าแอบออกประตูไป
เพิ่งเดินไปได้ไม่ไกล ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นจากด้านหลัง “จื่อเซวียน…”
เซียวซานไล่ตามมา
วิ่งจนหายใจเหนื่อยหอบ “เฮ้ ทำไมเจ้าถึงตื่นเช้านัก ฟ้ายังไม่สว่างก็ทั้งหาบน้ำทั้งเก็บผักป่า เจ้าไม่รักชีวิตหรืออย่างไร?”
เซียวจื่อเซวียนมองเขาด้วยความประหลาดใจ
เซียวซานอธิบาย “ยังจะมีใครอีก ก็ท่านแม่ข้าน่ะสิ ท่านแม่เห็นเจ้าตื่นเช้าขนาดนี้มาหาบน้ำ จึงปลุกข้าตื่น ข้าจึงต้องลุก ใครจะไปรู้ว่าเจ้าวิ่งเร็วถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าต้องไล่ตามมาเสียไกล”
เซียวจื่อเซวียนกำลังใช้ความคิด ย่อมไม่ได้ยินเสียงเรียกของเซียวซาน เขายิ้มด้วยท่าทางเก้อเขิน “เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”
เซียวซานคลำก้นที่โดนตีจนเกือบลาย “เซียวจื่อเซวียน ตกลงเจ้าได้กินหมูหรือไม่? เจ้าคงไม่ได้โกหกข้าใช่ไหม? ทำให้ข้านึกว่าสตรีผู้นั้นเปลี่ยนเป็นคนดีแล้วจริงๆ กลับไปข้าโดนท่านแม่ตีจนก้นแทบลาย!”
เซียวจื่อเซวียนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานพบกับโจวซื่อ นางถามเขาว่าได้กินเกี๊ยวหมูหรือไม่ ตอนนั้นภายในใจเขาคิดแต่ว่าเซี่ยยวี่หลัวเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ยังจะเอ่ยถึงเกี๊ยวมื้อนั้นไปทำไม
คิดไม่ถึง เขาไม่ได้พูดความจริง กลับทำให้เซียวซานต้องโดนตี
เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยความรู้สึกผิดเต็มประดา “ขอโทษจริงๆ”
“เมื่อวานท่านแม่ไปหาท่านลุงสี่เพื่อฝากซื้อเนื้อหมูแล้ว ท่านแม่บอกว่าคืนนี้จะห่อเกี๊ยว ให้ข้ามาเรียกเจ้าไปกิน” ความจริงเซียวซานถูกโจวซื่อปลุกให้มาทำเรื่องนี้
เซียวจื่อเซวียนตื้นตันใจยิ่งนัก “ขอบคุณ ไม่ต้องแล้ว” เขารู้ว่าเซียวซานหวังดีต่อตนเอง
“ไม่ต้องอะไรกัน คืนนี้เจ้าไปกินเกี๊ยวที่บ้านข้า หากสตรีผู้นั้นกล้าว่าเจ้าแม้แต่คำเดียว ข้าจะด่านาง!” เซียวซานกล่าวด้วยท่าทางไม่พอใจ “ข้าว่าแล้วเชียว นางมีหรือจะใจดีขนาดนั้น ซื้อเนื้อหมูมาให้เจ้ากิน เห็นแก่ตัว สนใจแต่ตัวเอง”
เซียวจื่อเซวียน “ไม่ใช่อย่างนั้น! นาง… ความจริงไม่ใช่คนแบบนั้น”
เซียวซานผงะไป “เจ้า… แก้ต่างแทนนาง?”
“นางห่อเกี๊ยวหมูใส่ผักจี้ช่ายให้พวกเรากินจริงๆ”
“แล้วเจ้า… ได้กินหรือไม่?”
“กินแล้ว”
ทั้งยังกินถึงสองมื้อ มื้อแรกสีสันกลิ่นรสมีครบ ส่วนมื้อที่สอง ด้านสีสัน… ออกจะฝืนไปบ้าง
“กินจริงหรือ?” เซียวซานซักไซ้ต่อ “ไม่ได้หลอกข้า?”
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง
เซียวซานทอดถอนใจ คลำก้นที่โดนตีจนเกือบลาย “กินแล้วก็ดี ไม่เสียทีที่ข้าโดนตีโดยใช่เหตุ เจ้าได้กินก็พอแล้ว”
เซียวจื่อเซวียนรู้ว่าเซียวซานเห็นเขาเป็นเพื่อนรัก
ภายในใจรู้สึกผิด “ขอโทษด้วย!”
เซียวซานว่า “มีอะไรให้ขอโทษกัน สตรีผู้นั้นอย่างน้อยก็พอมีมโนธรรมอยู่บ้าง รู้จักให้พวกเจ้ากินเนื้อหมู แต่ที่ข้าโดนท่านแม่ตี เจ้าต้องชดใช้ด้วย!”
เซียวจื่อเซวียนหัวเราะ “ชดใช้อย่างไร? ถ้าอย่างไรข้าจะเก็บผักป่าให้เจ้าหนึ่งตะกร้า”
เซียวซานหัวเราะ “ข้าไม่เอาหรอก วันนี้ข้าจะไม่กินอะไรทั้งนั้น เก็บท้องไว้กินเนื้อหมูตอนเย็น”
เขาช่างพึงพอใจง่ายเสียจริง!
เมื่อเซียวจื่อเซวียนเห็นเพื่อนเล่นของตนเองดูน่าขัน จึงหัวเราะตาม
“ไม่อย่างนั้น ข้าเล่านิทานให้เจ้าฟังแล้วกัน”