ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 2 บทที่ 56 อาเซวียนคงถูกบีบบังคับ
เซียวยวี่อยากดื่มมาก แต่เขาไม่ได้เสียมารยาท หันไปกล่าวขอบคุณเซียวเหลียงด้วยความตื้นตัน หลังจากตักน้ำแกงมาจำนวนหนึ่ง ก็ยกถ้วยขึ้นจิบอย่างระมัดระวัง กัดกินเนื้อไก่คำเล็ก ท่าทางสง่างามไม่รีบร้อน และไม่กินอย่างตะกละตะกลาม นี่เป็นสิ่งที่บิดามารดาอบรมสั่งสอนเขามาตั้งแต่วัยเยาว์จนซึมซับเข้าถึงกระดูก
เซียวเหลียงเป็นคนในหมู่บ้านสกุลเซียวเหมือนกัน เมื่อก่อนก็สนิทสนมกับบิดามารดาของเซียวยวี่อยู่บ้าง ถึงจะไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่พวกเขาต่างก็แซ่เซียว ต่างก็เป็นคนหมู่บ้านสกุลเซียว ตั้งแต่เซียวยวี่พาน้องชายและน้องสาวมาอยู่ที่หมู่บ้านสกุลเซียว เขาและบิดาของเขาก็จะดูแลเซียวยวี่เป็นครั้งคราว
เหมือนอย่างอาหารมื้อนี้ ก็เป็นเพราะบิดาเขากำชับไว้ก่อนมา
เซียวเหลียงเองก็ไม่คัดค้าน ตอนนี้การค้าของเขาถือว่าไม่เลว ค่าอาหารมื้อหนึ่ง เขาสามารถออกได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้สึกสงสารเด็กสามคนอย่างแท้จริง!
เซียวเหลียงก็ดื่มน้ำแกงหนึ่งคำ
น้ำแกงไก่หอมเหลือเกิน!
เดิมทีเซียวเหลียงคิดอยากดื่มสุรา แต่ดื่มคนเดียวก็ไม่มีความหมายอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ เซียวเหลียงรู้สึกเกรงใจเด็กคนนี้เล็กน้อย
ไม่รู้เพราะเหตุใด เซียวยวี่ผู้นี้ บนกายมีบรรยากาศกดดันที่ทำให้ผู้อื่นไม่อาจดิ้นรนให้หลุดพ้น ทำให้ไม่กล้ากระทำการส่งเดชต่อหน้าเขา
เมื่อเห็นคนที่นั่งตรงข้ามก้มหน้าเล็กน้อย ดื่มน้ำแกงด้วยบุคลิกสง่างาม นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องดุจหยก มือข้างหนึ่งถือถ้วย อีกข้างตักเนื้อไก่ บุคลิกเรียบร้อยจนไม่เหมือนกำลังกินอาหาร ทว่าเหมือนกำลังอ่านตำราเขียนพู่กันอย่างไรอย่างนั้น
เซียวเหลียงตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย
คนที่เคยเรียนหนังสือ ช่างแตกต่างกับคนไม่เคยเรียนหนังสือโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก กิริยาท่าทางหรือการเคลื่อนไหว ล้วนต่างกันราวฟ้ากับดิน!
มองกิริยาท่าทางของเซียวยวี่ เมื่อก่อนบิดาของเซียวยวี่เคยเรียนหนังสือ ในภายหลังเข้าไปในตัวอำเภอ แต่งงานกับสตรีที่นั่น เด็กที่พวกเขาอบรมสั่งสอนจึงมีกิริยาท่าทางดูดี
หากบุตรของเขาถูกกักตัวอยู่ในนั้นห้าวัน เกรงว่าหลังจากออกมาคงกินอย่างตะกละตะกลามจนกินวัวได้แทบทั้งตัว
หลังจากเซียวยวี่ดื่มน้ำแกงและกินเนื้อไก่แล้ว กระดูกไก่ถูกวางกองไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ ในท้องรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก จากนั้นจึงหยิบตะเกียบขึ้น คีบอาหารที่อยู่ตรงหน้าตนเองขึ้นมากิน
เซียวยวี่ไม่หมุนโต๊ะ เซียวยวี่ไม่มีทางหมุนโต๊ะเอง หรือคีบอาหารที่อยู่ห่างจากตนเองเด็ดขาด
เด็กคนนี้ ได้รับการอบรมมาอย่างดีจริง
หวนนึกถึงตอนที่บิดามารดาของเซียวยวี่ยังไม่จากโลกนี้ไป พวกเขาพาเซียวยวี่มาเยี่ยมญาติ เซียวเหลียงก็เคยพบเด็กคนนี้ อายุยังน้อยก็มีความสามารถน่าชื่นชม รู้จักวางตัว ในหมู่บ้าน ทุกคนต่างกล่าวขานว่าในอนาคตหมู่บ้านสกุลเซียวจะมีขุนนางใหญ่
ใครบ้างไม่ประจบประแจงบิดามารดาของเขา!
หวนคิดถึงท่านลุงท่านป้าของเซียวยวี่ ตอนที่บิดามารดาของเขายังอยู่ ทั้งสองครอบครัวไปมาหาสู่กันเป็นประจำ ความสัมพันธ์ดีเสียยิ่งกว่าอะไร แต่หลังจากบิดามารดาของเขาจากไป…
เวลาเปลี่ยนผันทุกสิ่งเปลี่ยนไป วัตถุคงเดิมแต่บุคคลไม่เหมือนเดิม!
เซียวเหลียงลอบถอนหายใจอยู่ในใจ หมุนโต๊ะทีหนึ่ง อาหารอีกจานหนึ่งไปอยู่ตรงหน้าเซียวยวี่ เซียวยวี่จึงคีบอาหารตรงหน้าตัวเอง
เซียวเหลียงรู้สึกเสียดายนัก หากบิดามารดาของเซียวยวี่ไม่ด่วนจากไป คาดว่าเซียวยวี่คงสอบติดได้เป็นบัณฑิตหลายปีแล้ว แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า
ชะตาชีวิตของแต่ละคนถูกสวรรค์กำหนดไว้ตั้งแต่ถือกำเนิดแล้ว บางทีนี่คงเป็นชะตาชีวิตของเซียวยวี่!
สิ่งที่เซียวเหลียงคิดอยู่ในใจ เซียวยวี่ไม่รู้แม้แต่น้อย
ช่วงหลายวันมานี้เขาไม่ได้กินอะไรมากนัก เมื่อเห็นอาหารดี เขาก็กินอิ่มเพียงแปดส่วน จากนั้นจึงวางตะเกียบลง
“กินเสร็จแล้วงั้นหรือ?” เซียวเหลียงเห็นเซียวยวี่กินอาหารไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว คิดว่าเด็กคนนี้คงหิว จึงคิดแต่จะให้เขากินให้อิ่ม ไม่ได้กล่าวอะไรกับเขาเช่นกัน
ใครจะรู้ ว่านี่เกิดจากการอบรมสั่งสอนของบิดามารดาเซียวยวี่ตั้งแต่ตอนเขายังเด็ก ยามกินอาหารไม่พูดคุย ยามนอนหลับไม่พูดคุย ถึงแม้จะหิวมาก แต่เขาก็ควบคุมตัวเองได้ดี ไม่กินมากเกินไป
“กินอิ่มแล้ว ขอบคุณท่านอาเซียวเหลียง!” เซียวยวี่กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ เช็ดริมฝีปากอย่างระมัดระวัง บนริมฝีปากแทบไม่มีคราบอาหาร เพราะเขากินด้วยความระวังเป็นพิเศษ
เซียวเหลียงก็วางชามกับตะเกียบลง ใช้แขนเสื้อเช็ดปาก เรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองอะไร
“กินอิ่มแล้วก็ดี” เซียวเหลียงกล่าว “เจ้าเข้ามาในตัวอำเภอนานหลายวัน เคยไปที่บ้านท่านลุงของเจ้าหรือยัง?”
เซียวยวี่มีท่านลุงคนหนึ่งอาศัยอยู่ในตัวอำเภอ
เซียวยวี่สีหน้าไม่เปลี่ยน “ข้ามาถึงก็รีบไปสอบ จึงยังไม่ได้ไปเลย!”
“อ่อ เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ในตัวอำเภอต่ออีกระยะหนึ่งหรือจะออกเดินทางไปตัวมณฑลเลย? ได้ยินมาว่ายังเหลือเวลาอีกระยะหนึ่งก่อนจะถึงการสอบระดับมณฑลใช่หรือไม่?”
เซียวยวี่กล่าวเสียงเรียบ “ไปเร็วจะได้หาสถานที่พักอาศัยที่ดีหน่อย ทั้งยังได้ทบทวนตำรา”
เซียวเหลียงพยักหน้า “ก็จริง ไปเร็วหน่อยก็ดี หาสถานที่ดีๆ พักอาศัย ถึงเวลาสอบจะได้ไม่ต้องเร่งรีบ”
เซียวยวี่คิดถึงแผ่นป้ายขนาดใหญ่ที่เห็นก่อนหน้านี้ “ท่านอาเซียวเหลียง ท่านมาหาข้ามีธุระอะไรหรือไม่?”
เขาไม่คิดว่า ที่เซียวเหลียงมาหาเขา ทั้งยังตั้งใจทำแผ่นป้ายขนาดใหญ่ เพียงเพื่อให้มากินอาหารมื้อนี้แน่
แม้ว่าเซียวเหลียงจะอายุมากกว่าเซียวยวี่ไม่น้อย สามารถเป็นบิดาของเซียวยวี่ได้ด้วยซ้ำ แต่เดิมทีเขาก็เป็นนายพราน ไม่เคยเรียนหนังสือ เป็นคนตรงๆ ยังดีที่หลายปีมานี้ทำการค้ากับผู้อื่น จึงคิดซับซ้อนขึ้นบ้าง
ถึงกระนั้น เขาก็ไม่คิดจะใช้ความคิดซับซ้อนกับเด็กคนหนึ่ง จึงกล่าว “มีธุระเล็กน้อย!”
เขานำถุงเงินถุงหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ดันไปให้ “อันนี้ให้เจ้า!”
เซียวยวี่นั่งตัวตรงประหนึ่งด้ามพู่กัน สายตามองถุงเงินนิ่งๆ
หลังจากวางถุงเงินลงบนโต๊ะ ก้อนเงินและเหรียญอิแปะด้านในกระทบกันเสียงใสกังวาน
ในนั้นมีเงิน!
เซียวยวี่ขาดเงินมาก
ทว่า เขาเพียงกวาดตามองแวบหนึ่ง ก็ละสายตามองไปทางอื่นอย่างนิ่งสงบ แผ่นหลังเหยียดตรงราวกับกิ่งไผ่ ปฏิเสธน้ำเสียงเด็ดขาด “ท่านอาเซียวเหลียง ครั้งก่อนท่านปู่เซียวเคยให้ข้ายืมเงินห้าตำลึง เงินนี่ข้ารับไว้ไม่ได้!”
เขาได้รับบุญคุณจากครอบครัวท่านปู่เซียวแล้ว หากรับเงินถุงนี้ไว้อีก เช่นนั้นเขาคงชดใช้บุญคุณไม่หมด
เซียวเหลียงเพิ่งเข้าใจ เด็กคนนี้เข้าใจผิดแล้ว
ต้องโทษที่ตนเองไม่ได้บอกกล่าวให้ชัดเจน
เซียวเหลียงรีบกล่าว “ไม่ๆๆ เงินนี่ข้าไม่ใช่คนให้!”
“ข้ารู้สึกขอบคุณยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นของใครก็รับไม่ได้!” เซียวยวี่ปฏิเสธด้วยวาจาหนักแน่น ใบหน้าฉายประกายแน่วแน่ แฝงเร้นด้วยความมุ่งมั่นเด็ดขาด
เขากินอาหารหนึ่งมื้อแล้ว จะไม่รับทานจากผู้อื่นอีก เขายากจนก็จริง แต่ก็ไม่ได้จนถึงขั้นที่จะรับทานจากผู้อื่นอย่างไม่มีศักดิ์ศรี
กล่าวจบ เขาลุกขึ้นขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ของเซียวเหลียงอีกครั้ง สะพายหีบไม้ไผ่กำลังจะออกไป
เซียวเหลียงร้อนใจ “เงินนี่คนที่บ้านเจ้าเป็นคนให้ เงินที่คนในบ้านให้ เจ้าคงจะรับไว้ได้ใช่หรือไม่?”
เซียวยวี่หันกลับมาด้วยความตกตะลึง “ท่านหมายถึงอาเซวียนกับอาเมิ่ง?”
เซียวเหลียงพยักหน้า
มีเด็กสองคน แต่ไม่ได้กล่าวถึงอีกคนหนึ่ง
สายตาของเซียวยวี่ที่มองเซียวเหลียงหันไปมองถุงเงินบนโต๊ะ ไม่ได้เดินขึ้นหน้า แต่ขอร้องเซียวเหลียง “ท่านอาเซียวเหลียง เงินนี่ข้ายิ่งรับไว้ไม่ได้ เด็กสองคนนั้น ต้องใช้เงินนี่ซื้ออาหาร!”
เด็กโง่สองคนนั้น เขามอบเงินห้าตำลึงไว้ให้พวกเขา หรือว่าพวกเขา… ให้ท่านอาเซียวเหลียงนำเงินจำนวนนั้นมาให้
เขาเคยบอกไว้แล้ว เขาอยู่ข้างนอกจะดูแลตัวเองให้ดี!
เซียวเหลียงแบมือ “เงินนี่ ข้านำกลับไปไม่ได้แน่นอน”
“ท่านอาเซียวเหลียง เด็กสองคนนั้นไม่มีเงินก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!” เซียวยวี่ร้อนรนจิตใจ ใบหน้าที่ดูดีขมวดคิ้วมุ่น
เซียวเหลียง “ข้ารู้ แต่เด็กสองคนปรึกษากันแล้ว บอกว่าอย่างไรก็ต้องนำมาให้เจ้า ทั้งยังบอกข้าว่าห้ามนำกลับไปเด็ดขาด”
เซียวยวี่ร้อนใจ น้ำเสียงฟังดูร้อนรน “ทำไมพวกเขาถึงโง่นัก ไม่มีเงิน พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร!”
เขาร้อนรนราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อนก็มิปาน หากไม่ใช่เพราะยังต้องสอบ ตอนนี้เขาแทบอยากติดปีกบินกลับไปหมู่บ้านสกุลเซียว เพื่อดูแลเด็กสองคนนั้นดีๆ
ท่านพ่อท่านแม่จากไปแล้ว ตอนนี้เขาเหลืออาเซวียนและอาเมิ่งเป็นคนในครอบครัวแค่สองคน
เซียวเหลียงเห็นเซียวยวี่ร้อนรนจิตใจ ก็งุนงงไม่เข้าใจ “เด็กๆใช้ชีวิตกันดีมากทีเดียว ข้าเห็นว่าตอนนี้จื่อเมิ่งเติบโตอย่างดี ทั้งขาวทั้งอวบอ้วน ภรรยาของเจ้าดูแลได้ดีมาก!”
เซียวยวี่ผงะไป “ท่านว่าใครดูแล?”
“ภรรยาของเจ้าไง เซี่ยยวี่หลัว” เซียวเหลียงชี้ถุงเงิน “เงินนี่นางก็เป็นคนให้ข้านำมาให้ เป็นเรื่องที่พวกเขาสามคนปรึกษาหารือกันแล้ว เจ้าจะให้ข้านำกลับไปได้อย่างไร ภรรยาของเจ้าบอกให้ข้านำมาส่งให้ถึงมือเจ้าให้ได้ กลัวว่าข้าจะหาเจ้าไม่พบ แผ่นป้ายนั่นนางก็เป็นคนให้ข้าตระเตรียม!”
เซียวเหลียงชี้ไปยังแผ่นไม้ข้างๆ ที่ใช้หมึกสีแดงเขียนตัวอักษรเซียวยวี่ไว้
เซี่ยยวี่หลัว?
เซียวยวี่รู้สึกตกตะลึงยิ่ง ดูแผ่นไม้ ดูถุงเงิน ก่อนหันมองเซียวเหลียง ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ท่านอาเซียวเหลียงกล่าวมา
“เอ้า นี่คือจดหมายที่จื่อเซวียนเขียนให้เจ้า ถ้าอย่างไรเจ้าก็ลองดู!” เซียวเหลียงนำจดหมายที่เซียวจื่อเซวียนเขียนให้เซียวยวี่ออกมา
รอยหมึกของตัวหนังสือเข้มบ้างอ่อนบ้าง ตัวหนังสือมีทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก ลายเส้นพู่กันยาวบ้างสั้นบ้าง นั่นเพราะขาดการขัดเกลา
เซียวยวี่มั่นใจว่านี่คือลายมือของเซียวจื่อเซวียน
จดหมายสั้นมาก มีเพียงสามถึงสี่ประโยค ใช้ตัวหนังสือแทบทั้งหมดที่เขาเคยเรียนมา
ในจดหมายเขียนไว้ว่า ตอนนี้เขาและจื่อเมิ่งสบายดีมาก กินอิ่มท้อง ได้ใส่เสื้อผ้าอบอุ่น ทั้งยังบอกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ดีต่อพวกเขามาก ให้เขาวางใจไปสอบ อย่าได้กังวล
พี่สะใภ้ใหญ่ดีต่อพวกเขามาก?
ความคิดแรกของเซียวยวี่คือ หรือว่าอาเซวียนโดนเซี่ยยวี่หลัวก่นด่าทุบตีอีก?
จากนั้นจึงขู่เข็ญบีบบังคับให้อาเซวียนเขียนจดหมายจากทางบ้านที่แม้แต่ผียังไม่มีทางเชื่อขึ้นมา!
“นางบีบบังคับให้อาเซวียนเขียนใช่หรือไม่?” เซียวยวี่ขมวดคิ้วมุ่น แววตาฉายประกายวิตก และอารมณ์โมโหที่ฝืนสะกดไว้
กับเซี่ยยวี่หลัว เขามีความรู้สึกขอบคุณ แต่ก็มีความโกรธแค้น!