ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 2 บทที่ 58 บ้านเรามีที่นาหรือไม่
ตั้งแต่ให้คนนำเงินไปมอบให้เซียวยวี่ เซี่ยยวี่หลัวก็แทบไม่ได้ออกจากบ้านอีก
นางไม่ชอบติดค้างคนอื่น สิ่งที่ติดค้างเซียวยวี่ นางต้องชดใช้ ที่ติดค้างเซียวยิง นางก็ต้องชดใช้ ดังนั้นนอกจากการทำอาหาร งานที่เหลือทั้งหมดในบ้าน เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งก็เป็นคนทำ
เรื่องที่ทั้งสองคนสามารถทำได้ ก็ไม่ได้ให้เซี่ยยวี่หลัวยื่นมือเข้าช่วย เพราะพวกเขารู้ ว่าพี่สะใภ้ใหญ่คัดตำราทุกวันเหนื่อยกว่าพวกเขามากนัก ยิ่งไปกว่านั้น พี่สะใภ้ใหญ่ลำบากเช่นนี้ก็ทำเพื่อพี่ใหญ่
เด็กสองคน โดยเฉพาะเซียวจื่อเซวียน ทุกวันนี้เอาใจใส่เซี่ยยวี่หลัวมาก เมื่อเห็นถ้วยข้างมือเซี่ยยวี่หลัวไม่มีน้ำแล้ว ก็จะเติมน้ำร้อนให้จนเต็ม เตือนให้เซี่ยยวี่หลัวดื่มน้ำมากๆ และยกน้ำร้อนมาให้นางแช่เท้าทุกคืน เซี่ยยวี่หลัวนั่งอยู่ตรงโต๊ะ ขอเพียงยื่นเท้าไปก็สามารถเขียนหนังสือไปพลางแช่เท้าไปพลางได้
ช่วงเริ่มแรกเซี่ยยวี่หลัวยังรู้สึกเกรงใจ หลังจากพูดอยู่หลายครั้ง เซียวจื่อเซวียนยังคงทำตามเดิม เซี่ยยวี่หลัวไม่มีหนทางอื่น ได้แต่ยอมรับ ตอนนี้เวลาของนางมีค่าเท่ากับเงินแต่ละอิแปะ คัดเพิ่มได้สองหน้า ก็สามารถคืนเงินที่เบิกล่วงหน้าได้เร็วขึ้น
เซี่ยยวี่หลัวเขียนได้เร็วและดูดี ทุกครั้งที่เซียวยิงเห็นตำราที่นางคัด ก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก เพียงแต่เซียวยิงคิดว่าเซียวจื่อเซวียนเป็นคนเขียน เอ่ยชมด้วยท่าทางดีอกดีใจต่อหน้าฟ่านซื่ออยู่หลายครั้ง บอกว่าขอเพียงเซียวจื่อเซวียนไปเรียนหนังสือด้วย ในอนาคตย่อมไม่ด้อยกว่าเซียวยวี่
อายุแค่แปดขวบ ลายมือก็ดูชำนาญไม่ด้อยกว่าตนเอง ทั้งยังเทียบชั้นเซียวยวี่ได้ แค่ด้านการเขียนพู่กันก็ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเพิ่มแล้ว เพียงตั้งใจเขียนบทความก็พอ
ฟ่านซื่อเพียงแย้มรอยยิ้มไม่ได้กล่าวอะไร ตอนนี้บ้านสกุลเซียวมีฐานะเช่นนั้น ให้ไปเรียนหนังสือสองคน เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้!
หลังจากเซี่ยยวี่หลัวคัดตำราได้สิบเล่ม เซียวจื่อเซวียนก็นำไปส่งให้เซียวยิง
วันนี้ระหว่างทางไปบ้านเซียวยิง บังเอิญได้พบกับเซียวหมิงจูที่กำลังกลับบ้านหลังซักผ้าเสร็จ
เซียวหมิงจูเห็นเซียวจื่อเซวียนหอบของอยู่ ท่าทางราวกับกำลังถือสมบัติล้ำค่า จึงเอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย “จื่อเซวียน ของในห่อผ้านี่คืออะไรงั้นหรือ?”
เซียวจื่อเซวียนยิ้มพร้อมกล่าว “พี่หมิงจู นี่เป็นตำราจำนวนหนึ่ง ข้าจะนำไปให้พี่เซียวยิง”
เซียวหมิงจูขานตอบว่า “อ่อ” มองเซียวจื่อเซวียนเดินผ่านตัวเองไป
พี่เซียวเป็นคนเรียนหนังสือ ในบ้านเขาเก็บตำราไว้ไม่น้อย เขาจะไปยืมตำราที่บ้านเซียวยิงงั้นหรือ?
เซียวหมิงจูมองแผ่นหลังของเซียวจื่อเซวียนที่เดินจากไปอีกครั้ง ฝีเท้าของเขาทั้งเบาและเร็ว เหมือนจะดีอกดีใจเป็นพิเศษ
ดีอกดีใจ?
เซียวหมิงจูรู้สึกว่าช่างขัดหูขัดตานัก
เมื่อคัดถึงช่วงปลายเดือนสอง นางก็คัดไปสี่สิบถึงห้าสิบเล่มแล้ว
เดิมทีต้องคัดให้ครบหนึ่งร้อยยี่สิบห้าเล่ม ถึงจะชดใช้เงินห้าตำลึงหมด ทว่า ทางเซียวยิงเองคัดตำราเสร็จหมดแล้ว เมื่อคัดเสร็จ เขาก็จะกลับไปในตัวเมือง
ที่เหลืออีกเจ็ดสิบถึงแปดสิบเล่ม คิดเป็นเงินสามตำลึงเศษ ได้แต่ติดค้างไว้ก่อน
เซียวยิงกลัวว่าเซียวจื่อเซวียนจะไม่สบายใจ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน หากร้านหนังสือมีงานให้คัดตำรา ข้าให้เจ้าทำแน่ ลายมือของเจ้าดูดีขนาดนี้ เถ้าแก่ร้านหนังสือต้องอยากให้เจ้าช่วยคัดแน่!”
ตัวอักษรรูปแบบกว่านเก๋อที่เป็นระเบียบสวยงาม ลักษณะงามสง่าสะอาดหมดจด มีมาตรฐาน ดูสบายตา เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าใครอ่านก็รู้สึกชื่นตาชื่นใจ
ตอนที่เซียวจื่อเซวียนบอกต่อวาจาของเซียวยิงให้เซี่ยยวี่หลัวฟัง ในที่สุดเซี่ยยวี่หลัวก็ผ่อนลมหายใจยาว
ในบ้านไม่มีเงินแม้แต่อิแปะเดียว หากเซียวยิงให้คืนเงิน พวกเขาคงคืนไม่ได้แม้แต่อิแปะเดียว ยังดีที่เซียวยิงและเซียวยวี่เป็นสหายที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือในยามยาก ไม่บีบคั้นถึงที่สุด ขอเพียงในวันข้างหน้ายังได้คัดตำราอีก นางย่อมสามารถคืนเงินให้หมดได้สักวัน
ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนคือ ต้องเติมวัตถุดิบในบ้าน
ช่วงหลายวันมานี้ นางสนใจแต่เพียงเรื่องคัดตำรา ไม่ได้ดูแลอะไรภายในบ้านเลย ข้าวและไข่ใกล้จะหมดแล้ว หากไม่เติมของในบ้านอีก ถึงเวลาก็ไม่เหลืออะไรให้กินแล้ว
เพียงแต่ระยะนี้ฟ้าครึ้มฝนตกอย่างต่อเนื่อง เซี่ยยวี่หลัวได้แต่เฝ้าดูฝนฤดูใบไม้ผลิและร้อนใจ ไม่มีกินยังเป็นเรื่องเล็ก หากตากฝนจนป่วย เช่นนั้นคงไม่มีเงินหาหมอจริงๆ
ยังดีที่หลังจากผ่านวสันตฤดูแล้ว ก็ถึงช่วงจิงเจ๋อ[1]
โบราณกล่าวไว้ อสนีวสันตฤดูดังก้อง สรรพสิ่งถือกำเนิด เมื่อถึงยามจิงเจ๋อ ง่วนกับการไถพรวน
เมื่อถึงช่วงจิงเจ๋อ ฟ้าโปร่งแดดดี ภายในหมู่บ้านก็เริ่มครึกครื้น บ้างก็ไถดิน บ้างก็หว่านเมล็ด บ้างก็ใส่ปุ๋ย ในท้องนาท้องไร่ มีคนทำงานอย่างขะมักเขม้นทั้งวัน ครึกครื้นยิ่งนัก
ทุกบ้านเรือนล้วนมีที่นาของตัวเอง!
เซี่ยยวี่หลัวก็รู้สึกอยากทำนาขึ้นมา หากมีที่ปลูกอะไรสักหน่อย ดูแลให้ดี ไม่แน่ว่าพอถึงฤดูเก็บเกี่ยวยังสามารถกินเป็นอาหารได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องเสียเงินไปซื้อ
นางจึงเอ่ยถามเซียวจื่อเซวียน “บ้านเรามีที่นาหรือไม่?”
เซียวจื่อเซวียนตื่นแต่เช้ามาเก็บกวาดลานบ้าน หลังจากได้ฟังคำถามของเซี่ยยวี่หลัว จึงพยักหน้า “มี!”
“เช่นนั้นเหตุใดเราถึงไม่ไปปลูกบ้าง?” คนอื่นๆ ต่างก็ทำงานอย่างขะมักเขม้น
เซียวจื่อเซวียนมองเซี่ยยวี่หลัว ก่อนกล่าวตอบ “พวกเรา… ทำไม่เป็น!”
ปลูกไม่เป็น?
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกประหลาดใจ “พวกเจ้าปลูกพืชไม่เป็น? แล้วพี่ใหญ่ของพวกเจ้าล่ะ?”
หรือว่าเซียวยวี่ก็ปลูกพืชไม่เป็น?
เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยท่าทางเก้อเขิน “พี่ใหญ่… ความจริงก็ไม่เป็นเหมือนกัน!”
พวกเขาเติบโตในตัวอำเภอมาตั้งแต่เด็ก ในเรือนมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ อย่าว่าแต่ปลูกพืชเลย เมื่อถึงฤดูไหนต้องปลูกอะไร พวกเขาต่างไม่มีความรู้ด้านนี้!
เซียวจื่อเซวียนกล่าวอย่างระมัดระวัง ลอบมองสีหน้าของเซี่ยยวี่หลัวอย่างพินิจ ด้วยเกรงว่าเซี่ยยวี่หลัวจะดูแคลนพี่ใหญ่เพราะทำการเกษตรไม่เป็น
เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อก่อนพี่ใหญ่อยากปลูกผัก แต่ท่านไม่ยอมเจ้าค่ะ!”
ก่อนหน้านี้เซียวยวี่เคยมีความคิดอยากไถดินในที่นาของบ้าน เขาทำการเพาะปลูกไม่เป็น แต่เรียนรู้การปลูกผักก็ยังถือว่าพอทำได้ อย่างไรเสียก็เลียนแบบท่าทางของคนอื่น หว่านเมล็ดผัก รดน้ำใส่ปุ๋ย อย่างไรก็โตได้ ปลูกผักอย่างน้อยก็มีอาหารให้กิน
แต่เซี่ยยวี่หลัวไม่เห็นด้วย จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมให้เซียวยวี่ปลูกผัก ต่อให้นางไม่ต้องลงมือแม้แต่น้อยก็ยังไม่ยอม ทั้งยังเหน็บแนมเซียวยวี่ว่าเป็นคนเรียนหนังสือ จะทำไร่ทำนาทำไม ไม่สมฐานะ
เพื่อให้ครอบครัวอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ไม่ให้เซี่ยยวี่หลัวอาละวาด สุดท้ายเซียวยวี่จึงได้แต่ปล่อยไป
เซี่ยยวี่หลัวกุมขมับ “…”
สวรรค์ทรงโปรด!
เจ้าก็เป็นหญิงชนบท ไม่ทำไร่ทำนาเจ้าจะกินอะไร จะวางตัวสูงส่งไปทำไม
“ที่นาบ้านเราอยู่ที่ไหน? ไปกัน เราลองไปดู!”
นางแบกจอบด้ามหนึ่ง เดินตามเซียวจื่อเซวียนเข้าไปในที่นา
เซียวจื่อเซวียนพานางไปยังที่นาอันอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ เซี่ยยวี่หลัวมองตามสายตาของเขา ตรงตีนเขาเป็นที่นาผืนใหญ่ที่ผ่านการไถเตรียมดินแล้ว หลังจากชาวบ้านไถดินและปรับหน้าดินเสร็จ ตอนนี้มีคนจำนวนไม่น้อยหว่านเมล็ดรอคอยให้พืชผลงอกเงย
เซี่ยยวี่หลัวสายตาดีมาก แต่เพ่งมองอยู่นาน ก็ยังไม่เห็นว่าที่นาที่เซียวจื่อเซวียนชี้อยู่ตรงไหน
ห่างออกไปเป็นพื้นที่รกร้างใต้ตีนเขา เซี่ยยวี่หลัวไม่เห็นว่าตรงนั้นมีที่นาเลย!
“อยู่ตรงไหนกัน? ทำไมถึงมองไม่เห็น?”
เซียวจื่อเซวียนไอสองที “พี่สะใภ้ใหญ่ พื้นที่ใต้ตีนเขาที่เต็มไปด้วยหญ้ารกนั่น ก็คือที่นาของเรา!”
เซี่ยยวี่หลัว “…”
คงไม่ใช่ว่าเดิมทีนี่ก็เป็นพื้นที่รกร้าง ยังไม่เคยหักร้างถางพงกระมัง?
[1] จิงเจ๋อ คือ 1 ใน 24 ฤดูของปฏิทินจีน เป็นช่วงที่สัตว์จะตื่นจากการจำศีลในฤดูหนาว ส่วนใหญ่จะตรงกับวันที่ 5-7 มีนาคม ของทุกปี